วันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ตู้อาถรรพณ์

"หมิว" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากหอพักเพื่อน

ฉันไปค้างกับเพื่อนที่หอพักของเธอเพื่อเตรียมตัวสอบ เมื่อภาคปลายที่เพิ่งผ่านมาเราดูหนังสือและทำรายงานกลุ่มด้วยกัน

หอพักที่ว่านี้อยู่ย่านรามคำแหงค่ะ เป็นหอใหม่ ราคาแพงแต่สะอาดสะอ้าน ความปลอดภัยก็ดูใช้ได้ เขาใช้ระบบคีย์การ์ดตลอด มันทำให้ฉันนึกถึงคดีฆาตกรรมคดีหนึ่งที่มีผู้ร้ายใส่เสื้อเบอร์ 10 คอยเตร่อยู่แถวหน้าประตูหอ พอมีคนมาเสียบกุญแจเปิดประตูมันก็ตามเข้าไปหน้าตาเฉย...และไปฆ่าผู้หญิงคนหนึ่งตายคามือ!

ฉันบอกกับปอน เพื่อนที่เช่าหอว่าอยู่คนเดียวไม่กลัวอะไรเหรอ มันถามกลับว่าจะให้กลัวอะไรล่ะ? ถึงยังไงก็ต้องอยู่เพราะบ้านอยู่ต่างจังหวัดโน่น

ถ้าเป็นฉันละก็นะ กลัวทั้งผีทั้งขโมยเลยละ ยิ่งได้เห็นข่าวฆ่ากันตายแบบนี้ฉันยิ่งเสียขวัญ อย่างแรกเราอยู่คนเดียว เราจะแน่ใจได้ยังไงว่าปลอดภัยดีแล้ว อย่างที่สองห้องที่เราอยู่นี่เคยมีคนตายมาก่อนรึเปล่าเราก็ไม่รู้

หอพักที่ข้างบ้านฉันเคยมีพนักงานธนาคารถูกฆ่าหมกศพไว้บนเตียงแล้วขึ้นอืดส่งกลิ่นคลุ้ง คนอื่นถึงได้รู้ว่ามีฆาตกรรมและพบศพ ส่วนห้องนั้นปิดทิ้งไว้ไม่กี่เดือนก็มีผู้หญิงคนหนึ่งมาเช่าต่อ และเธอก็อยู่มาจนบัดนี้โดยไม่รู้เลยว่าห้องที่เธออยู่ เตียงที่เธอนอนเคยมีศพสยองนอนอยู่ตั้งสามวันสามคืน!

ห้องของปอนนี่ก็เถอะ ฉันไม่ค่อยไว้ใจเลย จำได้แต่ว่ามาวันแรกๆ ฉันได้กลิ่นอับๆ ยังไงพิกล บรรยากาศก็อึดอัด นี่ถ้าไม่ต้องมาทำรายงานฉันจะไม่มาเลยล่ะ...อยู่บ้านดีกว่า

คุณเคยไหม เวลาไปที่ไหนสักแห่งแล้วที่นั้นมันมีอะไรเฮี้ยนๆ คุณจะรู้สึกถึงมันได้! ฉันก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน...รู้สึกตลอดเวลาว่าในห้องไม่ได้มีแต่ฉันกับปอนสองคนเท่านั้นแต่ยังมีใครอยู่ด้วย...

ผู้หญิง!? ใช่...ผู้หญิงสาว อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเรานี่แหละ!

"ปอน...แกอยู่แกไม่เคยเห็นอะไรเรอะ?" ฉันอดรนทนไม่ไหว เพราะขนลุกซู่ๆ อยู่ตลอดเวลาโดยไม่มีเหตุผล

"แกจะทักขึ้นมาทำไม?" ปอนย้อนถามอย่างกึ่งขันกึ่งรำคาญ "ผีก็อยู่ส่วนผี คนก็อยู่ส่วนคน ไม่เห็นต้องคิดอะไรมาก ว่าแต่ถ้าคิดว่านอนที่นี่ไม่ได้ก็กลับบ้านไปเลยนะ"

แน่ะ...นังปอนมันไล่ฉัน! แต่ฉันไม่กลับหรอก...คืนนั้นเรานอนกันตีหนึ่ง ปอนหลับก่อน ส่วนฉันอาบน้ำแล้วเดินกลับมาขึ้นเตียง

มองไปรอบๆ ห้องที่ไม่กว้างขวางนัก มันดูวังเวงยังไงบอกไม่ถูก ด้านในสุดเป็นประตูกระจกที่เปิดออกไปยังระเบียงแคบๆ ฉันนึกสยองว่าเดี๋ยวมองไปๆ จะเห็นใครมายืนทะมึนอยู่ตรงนั้น ฉันเลยเดินไปรูดม่านปิด

โอ! แย่จัง...ยิ่งแย่ใหญ่เลยค่ะ พอปิดม่านมันหดหู่เหมือนกำลังอยู่ในงานศพ นังปอนก็นอนหลับไม่รู้เรื่อง ฉันมองมันแล้วก็อิจฉา นึกสงสัยว่ามันอยู่ในห้องนี้ได้ไงคนเดียวมาตั้งนานสองนาน? เอ...รึว่าฉันคิดบ้าไปเอง! เฮ้อ...จะมาป่วนให้เพื่อนกลัวผีซะแล้วซิเรา...ไม่เอาน่ะ! มันอยู่ของมันดีๆ จะให้มันร้อนที่ไปได้

คิดปลงแล้วก็ปีนขึ้นเตียง ซุกหมอน ดึงผ้าแพรเพลาะขึ้นมาถึงใต้คาง ไม่ได้ดับไฟหัวเตียงหรอก เปิดไว้อย่างนั้นแหละ

ฉันนอนไม่หลับ ตามองไปที่ตู้เสื้อผ้าเล็กๆ ตรงปลายเตียง ที่จริงมันอยู่ห่างจากปลายเท้าของฉันนิดเดียวเอง ฉันหดเท้าขึ้นมาอย่างเสียวไส้ขณะจ้องมองที่ตู้ใบนั้น...

เอ...จะว่าไปแล้วมันเหมือนอะไรนะ...อะไรที่น่ากลัว? อึ๋ย...โลงศพ!!

จริงๆ นะคะคุณ ความหนาความกว้างของมันช่างใกล้เคียงกับโลงจริงๆ ด้วย

พอคิดถึงตรงนี้ประตูก็เปิดแอ๊ดดด...ออกมาซะงั้น ฉันหดเท้าเข้ามาอีก นอนตัวงออยากหลับตา แต่รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ในตู้...อยู่หลังประตูที่เปิดแง้มออกได้เอง

ฉันเห็นผู้หญิงผมยาว ใส่ชุดดำ!

คุณพระช่วย! ฉันไม่ได้ตาฝาดนะ ฉันเห็นจริงๆ เธอยืนหน้าคว่ำ ตาคว่ำ ทำท่าจะออกมาหาฉัน...แล้วภาพสยองก็หายไปเหมือนประสาทหลอน...ฉันเขย่าตัวปอนให้ตื่น มันงัวเงียลุกขึ้นถามว่าอะไร? ฉันพูดไม่ออก ได้แต่ชี้ไปที่ตู้

"ฮือ...มันเปิดได้เองอย่างนี้ทุกคืนแหละ" ปอนบอกเสียงง่วงๆ พลางตัวหลับต่อ "ถ้ากลัวก็ไปปิดสิ แต่มันจะเปิดเองอีกนะ"

มันไม่กลัวแต่ฉันกลัวแทบตาย! ไม่เอาแล้ว พรุ่งนี้กลับบ้านดีกว่า ไม่อยู่แล้ว ปอนอยู่คนเดียวได้ก็ช่างมันเถอะ...มันเก่ง!!







ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ ข่าวสด

คืนขวัญหาย

สมัยเด็กผมอยู่ซอยอินทรพิทักษ์แถววงเวียนใหญ่ ธนบุรีนี่เอง ถึงแม้ยามค่ำคืนจะมืดสลัวและเปล่าเปลี่ยว แต่พวกผมเดินเข้าๆ ออกๆ ตั้งแต่จำความได้จนอายุ 12-13 ขวบแล้วครับ ถือว่าเป็นถิ่นของเราเอง ไม่ต้องเกรงกลัวอันใดให้เสียเวลา

อ้อ! แต่ต้องยอมรับว่าไม่ค่อยไว้วางใจ หรือหวาด ระแวงอะไรบางอย่างที่ไม่ว่าเด็กคนไหนก็กลัวเหมือนๆ กันทั้งนั้น...กลัวผีไงครับ! บรื๋อออ...

ถึงแม้ว่าเกิดมาจะไม่เคยโดนผีหลอกซักครั้งเดียว แต่ไอ้ความกลัวภูตผีปีศาจที่เราไม่รู้จักนี่เป็นเรื่องช่วยไม่ได้จริงๆ ไม่ว่าเด็กคนไหนก็คนนั้น ลองไต่ถามดูเถอะครับ รับรองว่าร้อยทั้งร้อยกลัวผีกันทั้งนั้นแหละคุณเอ๋ย

วันดีคืนร้าย ผมกับเพื่อนซี้ชื่อไอ้นงก็โดนผีหลอกเข้าเต็มเปา!

ลืมบอกไปว่า "ไอ้นง"นี่เป็นผู้ชายนะครับ ไม่ใช่กระแดะชื่อนงนุชหรือนงคราญแบบผู้หญิงสมัยนั้น แต่มันชื่อ "ทนง"ครับ แหม...ฟังดูแมนซะไม่มี แต่เพื่อนฝูงชอบเรียกง่ายๆ ว่า "ไอ้นง?

สาเหตุเพราะค่ำนั้นเราอยากไปดูหนังที่เฉลิม เกียรติใกล้ๆ บ้าน ค่าดูคนละ 4 บาท 50 สตางค์ แต่อาศัยว่าเราคุ้นหน้าคุ้นตากับคนเฝ้าประตูก็เลยซื้อตั๋วแค่ใบเดียว เงินที่เหลือเก็บเอาไว้หม่ำก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นกับไอศกรีมกะทิสดชุ่มฉ่ำก่อนกลับบ้าน

ที่ว่าซื้อตั๋วใบเดียวแต่เข้าได้สองคนน่ะไม่ใช่ว่าได้นั่งเก้าอี้คนละตัวนะครับ แต่ต้องนั่งเบียดกันบนเก้าอี้ไม้แข็งโก๊กตัวเดียว แถมใกล้จอซะจนต้องหันซ้ายหันขวามองตามดารา ไอ้นงมันถึงกับออกปากว่า "ใกล้จอจนกูเกือบเอื้อมมือไปจับนมนางเอกได้เลยว่ะ?

ก็ทะลึ่งตึงตังตามประสาเด็กผู้ชายกับเพื่อนฝูง ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าใครเห็นว่าบาดหูบาดตาก็ต้องขอประทานอภัยอย่างแรง

"นักเลงป่าสัก"คือหนังบู๊เลือดท่วมจอสุดมันส์ พระเอกคือสมบัติกับนาท นางเอกคืออรัญญากับนัยนา เวลาฉากบู๊สะบั้นหั่นแหลกจะมีเสียงตบมือตีตีน เป่าปากเปี๊ยวป๊าว บ่งบอกถึงความสะใจแฟนหนังบู๊วัยมันส์ได้เป็นอย่างดี

เกือบสามชั่วโมงแน่ะกว่าหนังจะจบ เราออกมาโจ้ของโปรดแถวร้านแผ่นเสียงโรสซาวด์ตราดอกกุหลาบ ที่ทุกวันนี้กลายเป็นบริษัทใหญ่โตคือ อาร์เอสนั่นไงครับ

อิ่มหนำสำราญเรียบร้อยก็ชวนกันตีต๊อกเลี้ยวซ้ายกลับบ้าน!

จากแสงสีสดสวย สว่างไสว รถรากับผู้คนคึกคักน่าอบอุ่น กลับต้องเดินเข้าซอยอันมืดสลัว เงียบเชียบ อากาศในฤดูหนาวค่อนข้างเยือกเย็น...มีแต่เสียงฝีเท้าของเราดังเป็นเพื่อนเท่านั้น จนผมต้องหันหลังไปดูว่าจะมีใครเข้าซอยบ้านมา พอจะทำให้อุ่นใจได้บ้าง แต่ก็ไม่มีเลยแม้แต่คนเดียว

เท่ากับในซอยเปล่าเปลี่ยวน่าวังเวงใจ หน้าถังทุกร้านปิดสนิทหมดสิ้น...มีแค่เราสองคนตุหรัดตุเหร่เหมือนวิญญาณพเนจรร่อนเร่ไปตามลำพัง เล่นเอาปากคอแห้งผากจนต้องก้าวเท้าเร็วขึ้น

ก๊อกๆ ๆ

เสียงฝีเท้าดังขึ้นข้างหลัง ตอนแรกยังคิดว่าเป็นเสียงสะท้อนของรองเท้าเราเอง แต่เมื่อเราหยุดเดินเสียงนั้นก็ยังดังต่อไป แถมใกล้เข้ามาทุกที...เล่นเอาไอ้นงที่คงใจคอไม่ค่อยดีเหมือนกันถึงกับถอนใจเฮือกด้วยความโล่งอก

"ได้เพื่อนแล้วโว้ยเรา..."ว่าแล้วมันก็หันไปมองพร้อมๆ กับผม ปรากฏว่าเป็นชายร่างใหญ่ในชุดสีทึบกำลังเดินตามมาช้าๆ ท่าทางไม่รีบร้อนอะไร...แน่ล่ะ! ผู้ใหญ่อย่างเขาคงไม่มามัวหวาดกลัวเรื่องภูตผีปีศาจ เหมือนเด็กๆ อย่างเราแน่นอน!

น่าแปลกอย่างที่เขาเดินช้าๆ แต่กลับประชิดเราเข้ามาทุกที ขณะที่กลิ่นสาบสางกระจายมาเข้าจมูก เกือบพร้อมๆ กับหมาเจ้ากรรมที่ก้นซอยก็โก่งคอหอนโจ๋วเสียงเยือกเย็นจับใจ

"ไม่รู้จะเห่าหอนหาพ่อหาแม่อะไรของมัน"ไอ้นงด่าพึม เร่งก้าวยาวๆ โดยมีผมตามติด แต่เสียงฝีเท้าของชายประหลาดนั่นก็กระชั้นเข้ามาทุกที

กลิ่นเหม็นเหมือนหนูเน่ายิ่งตลบอบอวลมาเข้าจมูกจนแทบสำลัก ไอ้นงหันขวับไปมองอีกครั้ง คราวนี้เสียงเหมือนสำลักลมหายใจดังขึ้น ทำให้ผมต้องหันไปดูมั่ง แต่ก็ยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร จนกระทั่งเสียงสั่นเครือแทบจะร้องไห้ของไอ้นงดังกระเส่า

"มึงเห็นมั้ย? มันเดินมาได้ยังวะ...ก็ขามันไม่มีทั้งสองข้าง!?

นรกเป็นพยาน! ผมรู้สึกเหมือนมีน้ำเย็นเฉียบสาดโครมลงบนหัว เมื่อเห็นชายที่เดินตามหลังเรามาติดๆ นั่นมีร่างกายแค่ลำตัวท่อนบนเท่านั้นเอง!

โลกกำลังถล่ม ฟ้ากำลังทลาย สีเขียวๆ แดงๆ แตกกระจายเต็มหน้า เสียงไอ้นงร้องไห้โฮ...ส่วนผมวิ่งเตลิดไม่คิดชีวิต เสียงหมายิ่งเห่าหอนดังขรมถมเถ...พอเข้าบ้านได้ก็ล้มแผละ น้ำตาร่วงพรูเพราะสุดจะทนได้ไหว ...ตั้งแต่นั้นมาเราไม่ยอมกลับบ้านค่ำๆ มืดๆ อีกเลยครับ...บรื๋อส์!!









ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ ข่าวสด

รถผีสิง

'แต้ว' เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากรถมือสอง

พ่อของฉันซื้อรถมือสองมาขับ แน่ะ! คุณๆ คงจะเดากันแล้วล่ะซิว่ามันต้องมีผีสิงไม่งั้นฉันจะเอามาเล่าทำไม?

ฉันก็ไม่รู้ว่าจะเรียกมันว่าอะไรเหมือนกัน มันอาจจะเป็นผีหรือพลังงานที่ร้ายกาจจากนรกขุมไหนสักขุมที่ผุดขึ้นมาก่อกรรมทำเข็ญ ฉันไม่อาจรู้ได้ รู้แต่ว่าครั้งแรกที่เห็นรถคันนี้ฉันก็หนาวเยือกไปทั้งตัว ทั้งๆ ที่เป็นเดือนเมษายนที่มันร้อนสุดๆ

มันเป็นรถยุโรปสี่ประตูสีน้ำเงินเข้มเกือบดำ ตัวถังหนาแข็งแกร่ง ภายในกว้างขวางนั่งสบายเหมาะสมกับครอบครัวเราที่มี พ่อแม่และลูกสองคน คือฉันกับน้องชาย ซึ่งยังเรียนอยู่มัธยมต้นทั้งคู่ อ้อ! แถมเจ้าลูกอม หมาพันธุ์ชิสุ-น่ารักเป็นบ้าเป็นหลังอีกหนึ่งตัวเล็กๆ

ตอนที่พ่อขับรถเข้าบ้านน่ะ ฟ้ามืดลงทันใดเหมือนมีเมฆฝนลอยมาบังดวงอาทิตย์ แต่เอ...ฉันมองขึ้นไปท้องฟ้าก็แจ่มแจ๋วดีนี่นา ตอนนั้นราวบ่ายสองโมงที่ร้อนอบอ้าวน่าดู ฉันกับต๋องน้องชายวัยสิบสองยืนมองอยู่ตรงหน้าบ้าน มีลูกอมมาจ้องกับเขาด้วย

พอรถแล่นเข้ามา ลูกอมถอยหลังและส่งเสียงขู่เบาๆ พริบตาเดียวมันก็วิ่งปรู๊ดหายเข้าบ้านไปเลย ส่วนฉันกับต๋องยังยืนอยู่ที่เดิมจนพ่อจอดรถเรียบร้อยแล้วลงมายิ้มอย่างภูมิใจ

รถคันนี้ยังดูใหม่เอี่ยม ราคาก็ไม่แพง ไม่ต้องเอามาซ่อมหรือแต่งอะไรเลย แต่แทนที่จะชอบใจ ฉันกลับอึดอัดพิกล ยิ่งตอนเข้าไปลองนั่งฉันก็ยิ่งไม่สบายใจโดยไม่มีสาเหตุอะไรทั้งนั้น...ฉันว่ารถคันนี้มันมีชีวิต! ถ้าเทียบเป็นคนนะ มันไม่น่าคบเลยละ มันดูเจ้าเล่ห์เหี้ยมเกรียมถึงขั้นฆาตกรยังไงยังงั้นเชียว!

อย่าหัวเราะซิคะ ฉันสัมผัสได้อย่างนั้นจริงๆ

เดี๋ยวคุณจะรู้ว่าฉันคิดไม่ผิด!!

เย็นวันนั้น พ่อบอกให้เราขึ้นรถ พ่อจะพาไปกินข้าวข้างนอก แม่นั่งคู่พ่อซึ่งเป็นคนขับ ฉันนั่งข้างหลังพ่อและต๋องนั่งข้างหลังแม่ เจ้าลูกอมอยู่บ้านกับตุ่น สาวใช้

ทันทีที่ตุ่นเปิดประตูใหญ่ รถก็ทะยานออกไป มีแมวดำวิ่งตัดหน้าเห็นชัดๆ แมวดำตัวโต ตาวาววาบๆ แม่ร้องอุทานเสียงหลง พ่อเบรกตัวโก่งแต่ไม่ทันการณ์...เชื่อไหมคะ ล้อหน้าของรถทับหัวแมวดังโพละ! ไม่น่าเป็นไปได้ คุณก็รู้ว่าแมวมันวิ่งเร็วจะตาย แย่จัง...ฤกษ์ไม่ดีซะแล้ว!

เราจอดรถลงมาดูแมว ภาพที่เห็นมันสยองมาก เลือดเต็มไปหมด มันกระจายอยู่พื้นถนนตรงล้อรถ ฉันหันกลับไปมองและเห็นว่าหน้ารถมันเหมือนหน้าปีศาจ ตาลุกโพลงสองข้าง กระจังหน้าและกันชนนั้นฉันเห็นเป็นปากที่แสยะยิ้ม!

อีก 2-3 วันต่อมา เราไปพิษณุโลกเพื่อกราบคุณปู่คุณย่าวันสงกรานต์...

เราเดินทางตอนกลางคืน มีแม่นั่งคู่กับพ่อและต๋องนั่งหลังแม่ ฉันนั่งหลังพ่อเหมือนเดิม คราวนี้มีลูกอมนอนอยู่ตรงกลางระหว่างฉันกับต๋อง มันทำท่าเหมือนกลัวอะไรบางอย่าง...หมอบนิ่งแต่ดวงตาส่ายไปมา แล้วอยู่ดีๆ มันก็คลานขึ้นมาบนตักฉัน

'เหมียว...' เสียงแมวร้องลากยาว เราได้ยินกันทุกคน มันดังอยู่ในรถเรานี่แหละแอร์ก็หนาวเยือกลงกะทันหัน!

ทันใดนั้น พ่อของฉันมีอาการแปลกไป ไม่เหมือนคนเดิม...คนที่ขับรถดี ใจเย็น ระมัดระวังเรื่องความปลอดภัยเสมอมา แต่ตอนนี้พ่อฮึดฮัด ถอนใจเหมือนโมโหอะไรสักอย่าง มือกำพวงมาลัยแน่นและเหยียบคันเร่งปาดซ้ายปาดขวา แซงคันแล้วคันเล่าอย่างน่ากลัว...แม่เอ็ดตะโรให้พ่อหยุด แต่ดวงตาพ่อจ้องเขม็งไปข้างหน้า เกร็งไปทั้งตัวเหมือนอยากกินเลือดกินเนื้อใคร สักคน

เจ้าลูกอมตัวสั่นเหมือนฉันกับน้องชาย แม่นึกยังไงไม่รู้ ถอดสร้อยพระของแม่ไปคล้องคอพ่ออย่างฉับไว รถไถลไปตรงไหล่ทางแล้วจอดสนิท

พ่อบอกว่าหน้ามืดไปเฉยๆ และกึ่งรู้ตัวกึ่งไม่รู้ตัว ไม่เคยเป็นอย่างนี้เลย แม่บอกให้พ่อตั้งสติดีๆ อย่าถอดพระ ค่อยๆ ประคองไปเรื่อยๆ พ่อทำตาม แต่พวกเราใจไม่ดีเลยค่ะ...ฉันกลัวแทบร้องไห้

อย่างไรก็ตาม เรามาถึงบ้านคุณปู่คุณย่าอย่างปลอด ภัย เราคุยกันถึงเรื่องรถด้วย ปรากฏว่าก็คิดเช่นเดียวกับฉัน ว่ารถคันนี้มันยังไงก็ไม่รู้

คุณย่าพาเราไปวัดที่รู้จักมักคุ้นกันอย่างดี และขอให้พระท่านช่วยพรมน้ำมนต์ ปัดรังควาน คนแก่ในวัดคนหนึ่งที่นั่งทางในได้ บอกกับเราว่ารถคันนี้เคยชนคนตาย...เป็นรถที่มีพลังในด้านมืด!

เมื่อเรากลับกรุงเทพฯ พ่อก็บอกเราว่าไม่ไหวแล้ว ไม่สบายใจ...ในที่สุดก็จัดการขายรถคืน และฉันกับน้องก็ใช้บริการรถเมล์กันตามเคย เราไม่รู้สึกลำบากเลยสักนิด โล่งใจด้วยซ้ำ...ถึงยังไงก็ยังดีกว่ามีรถผีสิงอยู่ในบ้าน จริงมั้ยคะ?





ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ ข่าวสด

ควายธนู

"แพรทอง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากอิทธิฤทธิ์ของควายธนูเมืองกำแพงฯ

เมื่อเอ่ยถึงเครื่องรางของขลังชนิดหนึ่ง ที่คนไทยเราเชื่อถือกันมาตั้งสมัยโบราณ นั่นคือ "ควายธนู" เชื่อว่าบางท่านคงจะเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน แต่อีกหลายๆ ท่านอาจจะงุนงง ไม่ทราบว่าเป็นอะไรกัน?

ถ้ากล่าวรวมๆ ถึงเครื่องรางแล้ว ควายธนูถือเป็นของขลังชนิดหนึ่ง พอๆ กับหุ่นพยนต์หรือกุมารทองนั่นแหละค่ะ ประโยชน์คือใช้ป้องกันตัวเองและครอบครัว หรือไม่ก็ใช้ทำร้ายศัตรู ส่วนจะมากน้อยเพียงไรก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของเรา

สมัยเด็กดิฉันอยู่จังหวัดกำแพงเพชร หรือ "เมืองชากังราว"

เป็นบ้านเมืองเก่าแก่มากๆ รุ่งเรืองมาตั้งแต่สมัยทวารวดี เป็นที่ตั้งของเมืองโบราณหลายเมือง เช่น ชากังราว, นครชุม, ไตรตรึงษ์และเมืองเทพนคร เป็นต้น

กำแพงเพชรเป็นเมืองหน้าด่านของสุโขทัย เดิมชื่อชากังราว มีฐานะเป็นเมืองลูกหลวง เป็นเมืองที่ต้องรับศึกสงครามในอดีต ปรากฏหลักฐานอยู่ทั้งกำแพงคูเมือง, ป้อมปราการและวัดโบราณ เป็นเสน่ห์ดึงดูดใจให้นักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศไปเยี่ยมชมเป็นประจำ

สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงบันทึกเรื่องเมืองกำแพงฯ ไว้ว่า

"เป็นกำแพงเมืองที่เก่าแก่มั่นคง และยังมีความสมบูรณ์มาก และเชื่อว่าสวยงามที่สุดในประเทศไทย"

พวกเราชาวกำแพงฯ ล้วนมีความภูมิใจมากค่ะ เมื่อองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมสหประชา ชาติ (UNESCO) ให้ขึ้นทะเบียนไว้ในบัญชีมรดกโลก เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ.2534

ขออวดคำขวัญประจำจังหวัดกำแพงเพชรหน่อยนะคะ

"กรุพระเครื่อง เมืองคนแกร่ง ศิลาแลงใหญ่ กล้วยไข่หวาน น้ำมันลานกระบือ"

เมืองกำแพงฯ โด่งดังทั้งเรื่องพระเครื่องสุดยอด กับกล้วยไข่อร่อยสุดๆ ครอบครัวดิฉันทำสวนกล้วยไข่มาหลายชั่วคนแล้วค่ะ กินกระยาสารทกับกล้วยไข่ ถ้าเป็นคนสมัยนี้ก็ต้องบอกว่า...เป็นอะไรที่อร่อยสุดๆ ซะไม่มี!

ขณะนั้น พ่อกับลุงเป็นคนดูแลสวนกล้วย ส่วนอายังเป็นวัยรุ่น เพื่อนเยอะ นิสัยชอบเที่ยวเตร่แทบทุกวัน พวกพี่ๆ คือพ่อกับลุงก็ตามใจเห็นว่าเป็นน้องคนเล็ก แต่ปู่ดิฉันบอกให้ช่วยกันตักเตือนดูแล หาไม่จะนำเรื่องเดือดร้อนมาให้

จริงด้วยค่ะ วันหนึ่งพบว่ากล้วยในสวนถูกฟันยับ ทั้งที่ยังเครืออ่อนๆ อยู่ทั้งนั้น!

ได้ความว่าอาเล็กไปมีเรื่องกับพวกในสวนใกล้ๆ เลยโดนแก้แค้นด้วยวิธีนี้ ปู่บอกให้ทำเฉยๆ ไว้ จะจัดการป้องกันให้เอง ไม่ต้องกลัว!

ปู่ดิฉันอายุหกสิบเศษแล้ว ได้ชื่อว่าเก่งกาจทางคาถาอาคมและวิชาไสยศาสตร์รอบตัว ห้องของปู่อยู่ริมสุด ไม่ค่อยมีใครกล้าไปนอกจากปู่เรียก ดิฉันเคยเข้าไปเมียงๆ มองๆ เห็นอับทึบมีโต๊ะหมู่บูชากับมีดและไม้ หน้าโต๊ะมีกระบอกไม้ไผ่ผ่าครึ่ง ดาบเล่มใหญ่แขวนไว้ที่ข้างฝา

วันต่อมา สวนเราก็โดนบุกรุกมาฟันกล้วยทิ้งแบบรังแก แต่คราวนี้ไม่มากเหมือนครั้งแรก พ่อกับลุงไปดูแล้วบอกว่าเห็นเลือดหยดเป็นทางแล้วหายไป

ปู่ชวนพวกเราเดินไปเรื่อยๆ ราวกับจะรู้จุดหมายดี นั่นคือบ้านลุงขำกับป้าถ้วน ได้ยินเสียงครางโอยๆ มาจากในเรือน สองผัวเมียออกมาคุกเข่าไหว้ปู่ บอกว่าขอชีวิตลูกชายด้วยเถิด ต่อไป "ไอ้แผ้ว" คงจะไม่กล้าไปลองดีที่สวนของเราอีกแล้ว

ดิฉันได้ยินปู่สั่งให้เรียกนายแผ้วออกมา...คู่อริของอาเล็กนั่นเอง!

นายแผ้วยกมือไหว้ขอโทษ เห็นเลือดซึมที่ชายโครงขวาเป็นดวงๆ ปู่สั่งให้ลุงขำกับป้าถ้วนชดใช้ค่าเสียหาย ทั้งสองก็ทำตามโดยดี

ก่อนจะกลับ ปู่ส่งขวดน้ำมันเล็กๆ เท่าขวดยานัตถุ์ให้ บอกว่าใช้ทาแผล...ถ้าขืนทำชั่วอีกครั้งมีหวังโดนควายขวิดไส้ทะลัก ตายคาที่แน่ๆ เล่นเอานายแผ้วหน้าขาวซีด ตัวสั่นเทาไปเลยค่ะ

เมื่อกลับถึงบ้าน พ่อกับลุงแยกกันไปทำงานเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปู่พาดิฉันเข้าไปในห้อง หยิบควายตัวเล็กๆ จากพานหน้าโต๊ะพระ เป็นควายที่ทำจากฟางข้าว มัดด้วยเชือกขาวๆ ทั้งตัว...คิดว่าคงเป็นสายสิญจน์แน่ๆ มาให้ดิฉันดู

เมื่อเห็นดิฉันยังงุนงง แต่ทำหน้าแหยงๆ ปู่ก็ยิ้มแล้วบอกว่า...นี่ไง ควายธนูที่ปู่ส่งมันไปเฝ้าสวนเมื่อคืนนี้เอง

ดิฉันหายสงสัยแล้วเมื่อเห็น "เขา" ข้างหนึ่งของ "ควายธนู" ยังมีเลือดแดงๆ ติดอยู่...และติดหูติดตาดิฉันมาจนถึงทุกวันนี้เลยค่ะ!





ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ ข่าวสด

'ดี-ร้าย' ใจกำหนด ??

คนไทยเราให้ความสนใจกับเรื่องราว “ความเชื่อ” ที่สืบทอดกันมาเรื่อย ๆ นับแต่โบราณกาลจนปัจจุบัน ดังนั้น...แม้เมืองไทยยามนี้จะมีปัญหาใหญ่ ๆ ทั้งทางการเมือง-เศรษฐกิจ-สังคม ที่น่าเป็นห่วง แต่...กระแส “นกแสกผี” ก็สามารถที่จะแทรกเข้ามาครองพื้นที่ความสนใจของคนไทยได้อย่างแพร่หลายในวง กว้าง

“ลางบอกเหตุ” “ลางดี-ลางร้าย” ยังมีคนไทยเชื่อกันอยู่ และกับ “สัตว์” คนไทยก็เชื่อกันว่า “บอกเหตุ” ได้ ?!? ทั้งนี้ กรณี “สัตว์บอกเหตุ” เป็นลางดี-ลางร้ายนี้ ก็มีสัตว์หลายชนิดที่เชื่อกันว่าบางพฤติกรรมของมันนั้นสามารถบ่งบอกสิ่งที่ จะเกิดได้ ซึ่งจะว่าไปแล้วกรณีที่มีการพิสูจน์หรือติดตามเก็บข้อมูลกันอยู่ในเชิง “วิทยาศาสตร์” ที่เกี่ยวโยงกับ “ปรากฏการณ์ธรรมชาติ” ก็ดูจะคล้าย ๆ กันอยู่เหมือนกัน ไม่ ว่าจะเป็นสัตว์อย่าง... มด, แมลงต่าง ๆ, กบ, หิ่งห้อย, นก, สัตว์ป่าต่าง ๆ ฯลฯ กับการที่จะเกิด... ฝนตก, น้ำท่วม, น้ำป่า หรือแม้แต่ แผ่นดินไหว

อย่างไรก็ตาม กล่าวสำหรับความเชื่อของคนไทยเรื่องลางดี-ลางร้ายที่จะเกิดกับคนอันเนื่อง จากพฤติกรรมของสัตว์นั้น ก็ยกตัวอย่างเช่น... จิ้งจก ก็มีความเชื่อเรื่องจิ้งจกร้องหรือ “จิ้งจกทัก” ก่อนจะออกจากบ้าน ก็จะมีทั้งแบบที่เชื่อว่าเป็นลางดีและลางร้าย ซึ่ง “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” เคยนำเสนอไปบ้างแล้วเมื่อไม่นานมานี้

ตุ๊กแก เมื่อมาอยู่ในบ้าน คนโบราณส่วนหนึ่งเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับวิญญาณบรรพบุรุษมาช่วยคุ้มครอง แต่ถ้า “ตุ๊กแกร้องตอนกลางวัน” ตั้งแต่เช้ามืดถึงก่อนพลบค่ำ เชื่อว่าเป็นการบอกเหตุร้าย และบางคนก็มีสูตรความเชื่อนอกเหนือจากนี้โดยนับจำนวนครั้งการร้องของตุ๊กแก แล้วจึงตีความว่าเป็นลางดีหรือลางร้ายกันแน่

แมว และสัตว์อื่น ๆ ถ้าเป็น สีดำ ถ้าก่อนออกจากบ้านมันวิ่งตัดหน้าจากด้านขวาไปซ้าย เชื่อกันว่าเดินทางจะมีอันตราย เจออัปมงคล ต้องแก้เคล็ดโดยเปลี่ยนไปออกทางอื่น และกับ “แมวดำ” ใครเคยดูหนังไทยแนวผี ๆ สมัยก่อนคงจะคุ้น ๆ กับฉากแมวดำกระโดดข้ามโลงศพแล้วทำให้เกิด “ผีเฮี้ยน”

ผึ้ง ถ้า “ผึ้งทำรังในเขตบ้าน” เชื่อว่าเจ้าของบ้านจะมีโชค และเชื่อว่าถ้าไปไล่ทำลายรังจะเกิดหายนะ, สัตว์ป่าต่าง ๆ ถ้าเข้ามาในเขตบ้านจากทางทิศเหนือและตะวันตก เชื่อว่าจะให้ลาภ แต่ถ้าเป็นทิศอื่น ๆ จะอัปมงคล, ตัวเงินตัวทอง-ตะกวด-เหี้ย เชื่อว่าเป็นอัปมงคล แต่ถ้าเข้าบ้านให้พูดแต่สิ่งดี ๆ ก็เชื่อว่าจะแก้เคล็ดให้เกิดสิ่งดี ๆ ได้ ที่ว่ามาก็ตัวอย่างความเชื่อเรื่อง “สัตว์บอกเหตุ” และกับ “นก” ก็มีความเชื่อเรื่องการ “บอกเหตุ” เช่น... “นกถ่ายมูลรดหัว” จะเป็นนกอะไรก็ตาม ถ้าคนอยู่บริเวณบ้านแล้วนกบินมาถ่ายรดหัว เชื่อว่าจะมีเหตุร้ายให้เดือดร้อน และถ้ากำลังจะออกจากบ้านแล้วโดนนกถ่ายรดหัว เชื่อว่าจะไปเจออันตราย อุบัติเหตุ

อีกาดำ จริง ๆ แล้วกาชนิดต่าง ๆ เป็นนกที่อายุยืน แต่กลับมีความเชื่อว่า “กาดำเป็นนกนำสารจากดินแดนแห่งความตาย” บางคนก็มองมันเป็นสัญลักษณ์ของความ “ดุร้าย-สกปรก-ขี้ขโมย” ซึ่งกับสถานที่สำคัญ ทางการเมืองของไทยอย่าง ทำเนียบรัฐบาล ก็เคยมีอีกาดำมาทำพฤติกรรมแปลก ๆ ให้ฮือฮา ให้วิพากษ์วิจารณ์กันอยู่เนือง ๆ อย่างเช่นบินมาจิกตีกันบนยอดตึกไทยคู่ฟ้า ภายในทำเนียบฯ

กับ พฤติกรรมแปลกของนกที่เกิดที่ทำเนียบฯ ก็เคยมีเหตุ “นกเอี้ยงตามจิกตีตัวเหี้ยขนาดใหญ่” ราวกับโกรธแค้นสุด ๆ ซึ่งก็วิจารณ์กันแซดว่าเป็นอาเพศ-ลางไม่ดี และนักการเมืองซีกรัฐบาลขณะนั้นก็ถูกแนะนำให้แก้เคล็ด

สำหรับ นกแสก นี่ดูจะโดนหนักหน่อย เพราะถูกเชื่อว่าเป็น “นกผี” ซึ่งนอกจากกรณีที่เพิ่งเป็นข่าวดังแล้ว โบราณก็เชื่อกันว่าถ้านกแสกบินผ่านหลังคาบ้านแล้วร้อง หรือเกาะหลังคาบ้านไหน “เป็นลางบอกเหตุว่าจะมีคนตาย” ซึ่งก็มีเรื่องเล่าที่ไม่มีการยืนยัน ประมาณว่าบางคนกำลังป่วยหนักอยู่ พอเจอลางแบบนี้ก็ยิ่งใจเสียไปเลย !!

ทั้งนี้ กับเรื่องลางบอกเหตุจากสัตว์นี้ ถ้าจะว่ากันในเชิงจิตวิทยา ดร.วัลลภ ปิยะมโนธรรม นักจิตวิทยา บอกว่า... ถ้าเป็นเรื่องของเสียงนกแสกที่ร้องตอนกลางคืน ทางด้านจิตวิทยาแล้วเสียงจะเป็นรูปธรรม เป็นเหมือนตัวแทนของอารมณ์ ซึ่งความมืดของเวลากลางคืนที่เงียบสงัดจะควบคู่กับความกลัวของมนุษย์อยู่ แล้ว ยิ่งมีเสียงร้องที่ฟังดูน่ากลัวของสัตว์ต่าง ๆ ก็ยิ่งทำให้เป็นการ “กระตุ้นอารมณ์ความกลัวของมนุษย์” ให้มีมากขึ้นไปอีก

นักจิตวิทยา ระบุอีกว่า... เรื่องของเสียงนั้นเป็นเรื่องของความรู้สึกทางความคิด เมื่อมีเสียงที่กระตุ้นอารมณ์กลัว จิตของมนุษย์ก็จะอุปาทานไปเอง ทำให้เกิดอาการ “หลอน” ได้ ยิ่งเป็นเสียงร้องของสัตว์ในเวลากลางคืนที่มักจะฟังดูโหยหวน ก็ยิ่งกระตุ้นความกลัวของมนุษย์ เพราะเสียงโหยหวนจะคู่กับความน่ากลัว อย่างเช่นเสียงของสุนัขที่เห่าหอนหาคู่ในเวลากลางคืนที่มีผลกับอารมณ์ของคน “ทำให้นึกถึงเรื่องผี” ก็คล้าย ๆ กรณีเสียงนกแสก

“ความเชื่อว่า พฤติกรรมของสัตว์เป็นลางบอกเหตุ มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ และไม่ได้มีเฉพาะในประเทศไทย แต่มีอยู่ทั่วโลก ซึ่งจากเรื่องความเชื่อนั้น ก็นำไปสู่เรื่องของจิตใต้สำนึกสะสม สัตว์ที่ถูกกำหนดว่าเป็นลางบอกเหตุร้าย อาจจะมีส่วนเชื่อมโยงกับการที่เคยคุกคามมนุษย์ หรือเกี่ยวพันในเหตุการณ์ร้าย ๆ มาก่อน จึงถูกตั้งหรือกำหนดให้เป็นลางบอกเหตุร้าย” ...ดร.วัลลภระบุทิ้งท้ายในทางหลักจิตวิทยา ณ ที่นี้...มิใช่จะมาหักล้างความเชื่อเรื่อง “ลาง-สัตว์บอกเหตุ” เป็นแต่เพียงสะท้อนถึงความเชื่อ...ควบคู่กับศาสตร์จิตวิทยา “ดี-ร้าย” บางทีก็ “จิตใจมนุษย์” นี่แหละ...ที่ “กำหนด”.



ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ ข่าวสด

นรกบนดิน

'แคน' เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากฝันสยองสุดขีด ถึงแม้จะแน่ใจว่ามันเป็นแค่ความฝันเท่านั้น...ความฝันไร้สาระอย่างที่มีคำพูดเก่าๆ ว่า 'กินมากก็ฝันมาก' หรือไม่ก็เป็นเพราะความคิดสับสนฟุ้งซ่านก่อนจะหลับ ทำให้ความคิดที่บางครั้งก็บ้าๆ บอๆ แต่บางคราวก็น่าสยองติดตามไปถึงความฝันก็เป็นได้

ไม่ต้องพูดถึงทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ ที่เชื่อว่าเกิดจากความทรงจำเก่าๆ ที่เราคิดว่าลืมไปแล้ว แต่ในสมองซีกที่เก็บความจำไว้ไม่ได้หลงลืมไปด้วย จนถึงความวิตกกังวลต่างๆ ก็ทำให้เก็บมาฝันได้เป็นตุเป็นตะ

คนโบราณเชื่อว่าความฝันก็เป็นลางบอกเหตุชนิดหนึ่ง ที่มาตักเตือนหรือบอกกล่าวให้รู้ล่วงหน้าว่ากำลังจะมีอะไรเกิดขึ้น! จึงทำให้มีผู้รู้ซึ่งมักเป็นคนชราเป็นผู้ 'แก้ฝัน' คือทำนายว่าฝันอย่างนี้จะเป็นอย่างนั้น เช่น สาวโสดฝันเห็นงูจะต้องได้พบเนื้อคู่ ยิ่งเห็นงูนั้นมารัดเนื้อรัดตัวจนตระหนกอกสั่น ถึงกับร้องวี้ดว้ายจนสะดุ้งตกใจตื่น...เชื่อได้เลยว่าจะต้องได้แต่งงานในเร็ววัน

ใครฝันเห็นอาจมหรือสิ่งโสโครก ยิ่งในฝันนั้นรู้สึกขยะแขยงมากแค่ไหน รับรองว่าจะได้รับโชคลาภก้อนใหญ่แน่นอน! เพื่อไม่ให้เสียเวลาของท่านผู้อ่าน ผมขอเล่าความฝันน่าขนหัวลุกของตัวเองสู่กันฟัง...รับรองว่าแปลกประหลาดสุดๆ แถมไม่เคยพบเห็นว่ามีการทำนายทายทักเกี่ยวกับความฝันพิลึกกึกกืออย่างความฝันของผมอีกต่างหาก

คืนเกิดเหตุเป็นเวลาที่ฝนตกพรำๆ มาตั้งแต่หัวค่ำ ผมเข้านอนในห้องชั้นล่างเพียงผู้เดียวตามประสาชายโสดที่เพิ่งเรียนจบมาได้ปีเศษๆ อาศัยอยู่กับพ่อแม่ในบ้านแถวตรอกจันทน์นี่เอง

ฤดูฝนอาจจะทำให้รถราติดขัดไปไหนมาไหนไม่สะดวก แต่ดีอย่างที่อากาศเย็นสบาย ขึ้นเตียงได้ไม่นานก็หลับอุตุ จมดิ่งลงไปในห้วงเหวมืดดำ ร่างกายได้พักผ่อนหย่อนคลาย หยุดพักจากการโลดเต้น วุ่นวายด้วยปัญหาต่างๆ ตามวิสัยของมนุษย์ทั่วไป

จู่ๆ ผมก็ไปเดินเตร่อยู่แถวสถานีขนส่งต่างจังหวัด ขณะนั้นเป็นเวลาบ่ายแดดครึ้ม ไม่รู้ว่าตัวเองไปมายังไงหรอกครับ แต่รู้แน่ว่ากำลังรอรถบขส.กลับกรุงเทพฯ รู้ด้วยว่าอยู่จังหวัดหนึ่งในภาคกลางตอนเหนือ แต่ขอไม่เอ่ยชื่อในที่นี้เพื่อความเหมาะสม เพราะอาจจะมีปัญหาติดตามมาง่ายๆ

ผู้คนค่อนข้างบางตา กระจัดกระจายอยู่ในตลาดเวิ้งว้าง ไม่มีใครสนใจใคร ผมเดินตรงเข้าไปจนสุดทางก็เห็นศาลเจ้าทึบๆ ตั้งเด่น แต่ทางด้านขวามือนั้นก็มีสิ่งหนึ่งสะดุดตาสะดุดใจอย่างจังๆ

โลงศพที่ตั้งแบบขวาง มีดอกไม้และธูปเทียนส่งกลิ่นหอมเอียนๆ มาด้วย เห็นแล้วรู้สึกปากคอแห้งผากชอบกล รีบหันกลับจะออกเดินไปทางเก่า ที่อาจจะเลี้ยวซ้ายไปทะลุออกถนนอีกสายหนึ่งได้...แต่แล้วก็ต้องชะงักงันอยู่กับที่

เอี๊ยดดดด....!!

เสียงบาดหูทำให้หันขวับไปมองก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อเห็นฝาโลงขยับเขยื้อน แล้วหลุดผลัวะออกมาจนเห็นเท้าและท่อนขาขาวซีดคู่หนึ่งกำลังขยับไปมา...ก่อนที่จะลุกโงนเงนน่าขนลุก

ศพผู้หญิงผมยาว! ผมจ้ำอ้าวมาจนถึงทางแยกแคบๆ แบบในตลาดทั่วไป หางตายังเหลือบเห็นร่างที่มีผ้าขาวพันรอบคล้ายๆ ตราสัง ดูเผินๆ เหมือนมัมมี่ เดินโยกเยกมาทางเดียวกับผม แต่ไม่เห็นมีใครที่ผ่านไปมาแสดงความตื่นเต้นหรือสนอกสนใจแม้แต่คนเดียว

จนกระทั่งผมชนโครมเข้ากับใครคนหนึ่ง!

คุณพระช่วย เป็นร่างสูงใหญ่ของเด็กสาวไว้ผมม้า ผิวขาว นัยน์ตาแคบยาว ใบหน้าปุปะด้วยปลาสเตอร์ กำลังกอดรัดผมเอาไว้แน่นหนาจนดิ้นไม่หลุด กลิ่นเหม็นสาบสางคละคลุ้ง...ไม่มีใครหันมองตามเคย

'ขอเงินกินข้าว...เอาเงินมา...' เสียงแหบโหยดังคล้ายคำรามเบาๆ ผมเหงื่อแตกพลั่ก ใจเต้นโครมคราม รีบควักกระเป๋าเสื้อหยิบแบงก์ใบละ 20 ส่งให้ด้วยมือสั่นเทา...มัมมี่ก็ก้าวเข้ามาหยุดอยู่ใกล้ๆ คราวนี้กลิ่นเหม็นเน่ายิ่งเล่นงานจนผมแทบจะเป็นลม!

'เอามาอีก...' เสียงกระหึ่มของมัมมี่ดังขู่เข็ญ กระชากแบงก์ใบละ 50 บาทจากกระเป๋าผมแล้วยัดใส่มือเด็กสาวผู้มีหน้าตาและสารรูปไม่แตกต่างกับผีนรก...น่าสยดสยองพองขนพอกัน

ผมขบฟันกลั้นเสียงสะอื้น...เหลียวหาคนช่วยเหลือแต่ไม่พบเลย ราวกับคนอื่นๆ มองไม่เห็นเหตุการณ์สยองที่กำลังอุบัติขึ้นต่อหน้าต่อตา...จนกระทั่งมัมมี่เดินโยกเยกไปทางด้านซ้ายโดยไม่สนใจอะไรอีกต่อไป ผมได้แต่หลุดปากว่า...ผีนั่นลุกจากโลงมาได้ยังไง?

'ไม่ต้องยุ่ง! อีนั่นมันเพ้อเจ้อไปวันๆ อย่าเสือก!'

และแล้วผีสาวก็ผลักผมโครมเดียวหงายหลังผลึ่ง ก่อนจะทะลึ่งขึ้นมาร้องโหวกโหวยอยู่บนเตียงตัวเอง...ตัวสั่นงันงกจนหลับไม่ลงทั้งคืน ทุกวันนี้ผมยังกลัวว่าจะฝันแบบนั้นอีกเลยครับ!



ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ ข่าวสด

วิญญาณแม่

'พัชรา' เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากวันสอนพิเศษ

ดิฉันเป็นครูโรงเรียนประถมแห่งหนึ่งกลางกรุงเทพฯ นี่เองค่ะ เป็นโรงเรียนเอกชนแต่ค่าเทอมไม่แพงมาก ดังนั้นจึงมีผู้คนทุกระดับพาลูกหลานมาเรียน แม้จะมีแค่ชั้นอนุบาลถึงประถมศึกษาปีที่ 6 เท่านั้นก็ตาม

ผู้ปกครองล้วนวางใจในการเรียนการสอนที่นี่ ซึ่งเป็นที่เลื่องชื่อว่าวิชาแข็งและเข้มข้น เด็กที่เรียนจบ ป.6 จะเป็นเด็กเก่งพร้อมเรียนต่อระดับมัธยม ไม่ว่าจะไปสอบเข้าที่ไหนก็ไม่ผิดหวัง

ดิฉันเป็นครูสอนวิชาภาษาไทย และทำหน้าที่ประจำชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ด้วยค่ะ เด็กห้องดิฉันอยู่ระดับปานกลางแต่นิสัยไม่เครียดและก็ไม่ดื้อ เกือบทุกคนจะเรียนพิเศษตอนเย็น ซึ่งปกติโรงเรียนจะเลิกสามโมงครึ่ง แต่พวกเรียนพิเศษจะเลิกตอนห้าโมงเย็น จะว่าไปแล้วสิ่งที่สอนก็คือการบ้านนั่นเองค่ะ

เด็กพวกนี้จะทำการบ้านเสร็จที่โรงเรียนเรียบร้อยเลย คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องเหนื่อยเคี่ยวเข็ญเองที่บ้าน ได้ข่าวว่าถ้าให้ไปทำการบ้านเองละก็กว่าจะได้นอนก็โน่น...ไม่สองยามก็ตีหนึ่ง คุณพ่อคุณแม่จึงยินดีให้ลูกเรียนพิเศษกันทั้งนั้น

ถึงแม้จะมีกำหนดเวลาว่า การสอนพิเศษตอนเย็นนั้นเลิกห้าโมง แต่ก็มีนักเรียนหลายคนโดยเฉพาะห้องที่เรียนอ่อน ทำการบ้านไม่เสร็จ คุณครูบางคนก็ขยันกวดขัน ทั้งเด็กทั้งครูบางห้องจึงกลับเย็นย่ำค่ำมืด อย่างห้อง ป.6 ของครูติ๊ก ห้องที่เด็กเรียนอ่อนที่สุด คะแนนต่ำและบางคนมีปัญหา

ครูติ๊กเป็นครูที่รักและหวังดีต่อเด็กๆ อย่างยิ่ง ดิฉันรับประกันได้ เธอสู้อุตส่าห์เสียสละเวลาอยู่สอนเด็กๆ อย่างอดทน ส่วนมากกว่าจะกลับได้ก็เกือบทุ่มแน่ะค่ะ ถ้าเป็นฤดูร้อนก็ค่อยยังชั่วเพราะฟ้าจะเริ่มมืดพอดี แต่ถ้าเป็นฤดูหนาวราวห้าโมงครึ่งก็มืดตึ๊ดตื๋อแล้ว

เรื่องขนหัวลุกของเราเกิดขึ้นในตอนค่ำของเดือนธันวาคมปีกลาย!

วันนั้นดิฉันมีงานเยอะ แม้เด็กนักเรียนห้องดิฉันจะกลับไปหมดแล้ว แต่ดิฉันก็นั่งตรวจงานต่อ ทั่วทั้งตึกปิดไฟหมดแล้ว แต่ดิฉันรู้ว่าห้องครูติ๊กซึ่งอยู่ชั้นบนของดิฉันยังมีนักเรียนเหลืออยู่อีก 2-3 คน ครูติ๊กบอกว่าถ้าเสร็จแล้วจะมาตามดิฉันเองเพื่อกลับบ้านด้วยกัน

บ้านเราไปทางเดียวกันค่ะ บางทีเราอาจจะแวะไปกินข้าวแถวๆ นี้ก่อนก็ได้

หนึ่งทุ่มสิบห้านาทีครูติ๊กเดินลงมา สีหน้าท่าทางเธอเหนื่อยไม่เบาเลย ดิฉันรีบเก็บข้าวของแล้วหยิบกระเป๋าเดินออกจากห้อง โดยปิดไฟและปิดประตูเรียบร้อย จากนั้นก็ลงบันไดกันมาสองคน ลานตึกข้างล่างโล่งยาวตลอด ดูมืดสลัวเพราะเปิดไฟนีออนไว้แค่ดวงเดียว

ทันใดนั้น ดิฉันเหลือบไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งรูปร่างท้วมๆ ผมดัดสั้นพองฟู สวมชุดทำงานแบบราชการ นั่งอยู่ที่เก้าอี้ซึ่งเป็นที่นั่งของบรรดาผู้ปกครอง เธอนั่งเพียงลำพังในบรรยากาศเงียบเหงาวังเวง เราต้องเดินผ่านเธอในระยะใกล้ และขณะที่กำลังจะถึงตัวเธอครูติ๊กก็สะดุ้งโหยง ชะงักฝีเท้าอย่างตกอกตกใจ สีหน้าเหมือนถูกผีหลอก ปากสั่นระริก ดิฉันนึกว่าเธอตกใจที่จู่ๆ ก็เห็นผู้ปกครองมานั่งอยู่อย่างนั้น

'คุณแม่ยังไม่กลับเหรอคะ? ลูกอยู่ไหนล่ะคะ?' ดิฉันถามแต่ครูติ๊กกระตุกมืออย่างแรง เธอหลับตาปี๋แล้วฉุดดิฉันรีบเดินจนแทบวิ่ง มีอาการสติแตก ร้องหวีดแล้ววิ่งเตลิดไปถึงหน้าประตูแล้วล้มลงกองกับพื้นถนน...

คุณพระช่วย! ครูติ๊กหายใจหอบและเริ่มร้องไห้ แต่ก็ยังละล่ำละลักให้ดิฉันรีบเรียกแท็กซี่ ดิฉันประคองเธอลุกขึ้น พอดีแท็กซี่แล่นมาคันหนึ่ง ไม่ช้าเราก็นั่งรถออกจากหน้าโรงเรียน อาการครูติ๊กค่อยดีขึ้นหน่อย เธอขอให้ดิฉันตามไปส่งถึงบ้าน ดิฉันก็ไม่ขัดข้อง

เมื่อถึงบ้านครูติ๊ก เธอกินยาลมและนั่งสงบสติอารมณ์พักใหญ่ จากนั้นก็เล่าให้ฟัง

'ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่คน! เขาตายแล้ว...' ครูติ๊กเสียงระโหยเต็มที...

เรื่องมีอยู่ว่า เธอผู้นั้นเป็นคุณแม่ของเด็กนักเรียนชั้นป.6 เมื่อสองปีก่อน เด็กคนนี้มีปัญหาทางบ้าน พ่อแม่แยกกัน เด็กซึมเศร้า ไม่เรียน ไม่ทำการบ้าน ครูติ๊กจึงเชิญเธอมาในเย็นวันหนึ่งเพื่อคุยกันเรื่องนี้ แต่เธอถูกรถชนตายคาที่ ครูติ๊กจึงรู้สึกผิดมาตลอด...ถ้าไม่ใช่เพราะเชิญเธอมา เธอก็คงไม่ตายสยองอย่างนี้หรอก

ครูติ๊กจำได้แม่น เพราะยามมีชีวิตอยู่ได้คุยกันเสมอ!

ดิฉันฟังแล้วทั้งกลัวทั้งสงสาร มันสะเทือนใจอย่างบอกไม่ถูก สิ่งที่เราเห็นแสดงว่าเธอยังห่วงลูกของเธออย่างมาก จิตใจเธอผูกพันกับการมาคอยรับลูกอยู่เสมอ แม้จะเหลือเพียงวิญญาณ...เธอจะรู้ไหมนะว่าลูกเธอได้เข้าโรงเรียนมัธยมแล้ว และกำลังเรียนอยู่ชั้น ม.2

ดิฉันกับครูติ๊กเป็นไข้สูงกันทั้งคู่ในวันรุ่งขึ้น...และจากนั้นมาเราไม่ยอมกลับบ้านค่ำๆ มืดๆ อีกเลย ห้าโมงปุ๊บปิดหนังสือ บอกเด็กๆ กลับบ้านทันทีและอย่างเคร่งครัดเชียวละค่ะ!







ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ ข่าวสด

บ้านที่ ผี วิญญาณ ชอบอยู่

เคยสงสัยมั้ยว่าทำไมบ้านบางหลังถึงมีคนเจอผีบางหลังไม่เคยเจอ เป็นไปได้มั้ยว่าลักษณะของบ้านที่แตกต่างกันเป็นตัวกำหนด เหมือนกับคนเราบางคนชอบบรรยากาศแบบภูเขา บางคนชอบทะเล ผีเองก็เคยเป็นคนมาก่อนรสนิยมที่ว่าก็เลยติดตัวไป ทำให้ผีเลือกบ้านที่ตัวเองชอบ และนี่คือสุดยอดเคล็ดลับ “จัดบ้านอย่างไรให้ผีชอบอยู่ หรือวิธีการสร้างบ้านผีสิง นั่นเอง” พร้อมแล้วไปดูกันเลย

1.เลือกทำเลอาถรรพ์เช่น บ้านตรงกันข้ามโบสถ์ วิหาร วัด ศาลเจ้า โรงพยาบาล สุสาน เสา เครื่องหมายจราจร มีปล่องไฟ เป่าลมพุ่งมาหาบ้าน หรือที่เปลี่ยวๆห่างจากชุมชน ถ้าบ้านใครอยู่ในที่ดังกล่าว เรียกได้ว่ามีชัยไปกว่าครึ่งในการเชิญผีมาอยู่เลยทีเดียวล่ะ

2.สร้างด้วยไม้เป็นหลัก สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเรื่องของความเป็นธรรมชาติ เพราะต้นไม้ก็เป็นสิ่งมีชีวิตประเภทหนึ่งเหมือนกัน และในบ้านมีเสาเอกให้ด้วยก็แหล่มเลย

3.ทำบริเวณบ้านให้รกครึ้มไปด้วยแมกไม้พฤกษานานาพันธุ์ แถมด้วยต้นไม้ต้องห้ามประเภท ตะเคียน ไทร ซ่อนกลิ่น อะไรพวกนี้ยิ่งถูกใจสุดๆ

4. ฝืนหลักฮวงจุ้ยเท่าที่สามารถทำได้ ยิ่งเยอะยิ่งชอบอยู่ ในศาสตร์ทางวิชาฮวงจุ
้ยได้กล่าวถึงลักษณะของบ้านที่มักจะมีผีหรือคนในบ้านมักจะเห็นผี ดังนี้

- ประตูหน้าบ้านมีพลังอิมมาก หมายถึงมีความมืดมาก และทิศทางของหน้าบ้านหันไปทางทิศ ตะวันตกเฉียงใต้ ตรงช่วง 210 องศา-240 องศา หรือหันไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ตรงช่วง 30 องศา-60 องศา ซึ่งทางฮวงจุ้ยจะเรียก 2 ทิศทางนี้ว่า ประตูผี


- บ้านที่มีแสงสว่างไม่พอ ภายในบ้านมีบรรยากาศมืด ๆ สลัว ๆ โดยเฉพาะทิศ ตะวันตกเฉียงใต้และทิศ ตะวันออกเฉียงเหนือมีความมืดมาก ก็จะกระตุ้นให้เกิดพลังอิมมากขึ้น โอกาสเจอผีก็มีสูงตามไปด้วย

- บ้านที่มีรูปทรงของบ้านยาวกว่าปกติ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นบ้านธาตุไม้ อาทิเช่น บ้านห้องแถวมี ทางเดินตรงกลางมืด ๆ ผีก็ชอบอยู่ด้วย

- การสร้างห้องพระตรงกับห้องน้ำ, ประดับประดาด้วยของอัปมงคลต่างๆเช่น เขากระทิง นอแรด, การทำกำแพงให้เก่าสกปรกขึ้นราและทุกวิถีทางที่ทำให้บ้านโทรมที่สุด ฯลฯ


เป็นยังไงกันบ้างสำหรับ การจัดบ้านให้น่าอยู่(สำหรับผี) เป็น D.I.Y. ที่ใครก็ทำได้ ลองทำกันดูนะ อย่าลืมส่งต่อให้คนที่ท่าน(ไม่)รัก ขอให้มีความสนุกกับเพื่อนใหม่ในบ้านนะ........โบร๋ววววว

เหตุเกิดเพราะลองดี ZATIKA

เข้าเรื่องเลยน่ะค่ะวันนั้นประมาณวันที่ 29 ม.ค. พวกเราก้อไปดู ZATIKA กัน


มันก้อเหมือนเคยชอบไปดูบ้างร้างตามพาสาวันรุ่นอ่ะค่ะ ไปถึงก้อจอดรถยืนคุยกะยามที่เฝ้าที่นั้นว่ามีอะไรเกิดขึ้นข้าง..


สักพักหลานชายยามก้อเดินมามาฟั่งด้วย ก้อเราให้ฟังว่าตอนกลางคืนจะได้ยินเสียงกรีด ด ดบ้างก้อร้องให้ช่วยด้วย...แล้วหลานของยามก้อเอารูปจากโทรศัพท์ให้ดู...ก้อ ตกใจเล็กน้อยค่ะ...ตรงหน้าต่างเหมือนมีคนยืนอยู่ 2 คน อีกบานก้อ้หมือนมีคนยืนอ้าปากอยู่


..ก้อสร้างบรรยกาศดีค่ะ..แล้วเค้าก้อบอกว่าเมื่อ 2-3 วัน ฝรั่งมาถ่ายรูปตรงทางเข้าก้อติดมีคนยืยอยู่ข้างหลังพวกเค้า..ฝรั่งถึงกะ งง ไปเลยค่ะ..พอตอนดึกเราก้อได้มีโอกาสเดินเข้าไปสำรวจภายในกัน..ก้อไม่มีอะไร เกิดขึ้นเเค่รู้สึกอึดอัด


..และมีกลิ่นเหม็นสาปเฉย ๆ พอออกมา ก้อมีอาสากู้ภัยมาถามว่าเป็นไงบ้างเจออะไรหรือป่าวเราบอกว่า..ไม่เจอแค่อึด อัด..พี่เค้าบอกว่า..ก้อใช่สิ..เค้าวิ่งออกมาตรงทางออกนิมันก้อเลยอึดอัด เป็นธรรมดา


..ตรงทางออกตายกันเยอะ..เราก้อขนลุกเลย


..กลับบ้านทันทีไว้จะมาเล่าให้ฟังอีน่ะค่ะยังมีอีก ก*

Credit : www.shockfmclub.com

เขื่อนกินคน

เรื่องนี้เกิดขึ้นที่จังหวัด 101 ในหมู่บ้านเล็กๆนอกตัวเมือง ตอนหนูอายุ 10 ขวบ ตอนนี้หนูอายุ 18 แล้วค่ะ ก่อนอื่นหนูอยากบอกว่า หนูเกิดและโตที่กรุงเทพค่ะ นานๆทีพ่อแม่ จะพาหนูกับพี่กลับไปเยี่ยมย่าที่ต่างจังหวัด


เรื่องมันเกิดขึ้นตอน..หนูกลับไปเยี่ยมย่าที่หมู่บ้าน เผอิญช่วงนั้นเป็นช่วงปีใหม่ ที่หมู่บ้านข้างๆหมู่บ้านหนูมันจะมีเขื่อนเก็บน้ำอยู่ เป็นเขื่อนขนาดใหญ่ เหมือนเขื่อนทั่วๆไปค่ะ ทุกช่วงเทศกาลต่างๆผู้คนมักจะมาเที่ยวเล่นน้ำ


ตกปลาที่นี่กันเป็นประจำ และ หนูก็เป็นอีกคนที่ไปที่นั่น แต่ตอนนั่นหนูยังไม่รู้ประวัติของเขื่อนนี้ วันนั้นหนูไปเล่นน้ำที่เขื่อนกับพ่อ 2 คน หนูขอบอกก่อนว่า..หนูไปที่นั่นเป็นครั้งแรกครั้งแรกที่หนูเข้าไป หนูรู้สึกใจคอไม่ค่อยดีสักเท่าไร


แต่หนูก็ไม่ได้เอะใจอะไรค่ะ ที่เขื่อนมันจะมีภูเขารอบล้อมเป็นแนวยาวมาก จากประตูทางเข้าเขื่อน เราจะมองเห็นถนนเป็นทางเชื่อมจากหน้าประตูไปสู่ตีนภูเขา ที่ตั้งของสำนักงานเขื่อน แล้วบังเอิญวันนั้นที่หนูไปเนี่ยเขาอนุญาตให้มีการตกปลา


เก็บหอย กัน ด้วยความที่เรา 2 คนพ่อลูกไม่รู้ว่าเขาอนุญาตให้ตกปลา เราเลยไม่ได้เอาอุปกรณ์ตกปลาติดมือไปด้วย พ่อเลยถามว่าเอาไง หนูเลยบอกว่าเราเก็บหอยเอาก้อได้นี่ พ่อเลยไปตะเตรียมหาถุงแถวๆนั้นมา 2 ใบ


จากนั้นเรา 2 คนพ่อลูกก็จัดการลงน้ำเก็บหอยกันไปตามปกติ โดยหนูอยู่ห่างจากพ่อประะมาณ 2-3 เมตร ตอนนั้นหนูกำลังก้มเก็บหอยไปเรื่อยๆแล้วอยู่ดีๆหนูก็รู้สึกเหมือนมีใครมาดึง ขาหนู หนูก็สะบัดๆออกจนหลุด


แล้วดำน้ำลงไปดูก็ไม่มีอะไร หนูโผล่จากน้ำขึ้นมาก้มเก็บหอยต่อ รู้สึกเหมือนมีคนมาดึงขาอีก หนูก็สะบัดๆออก เป็นอยู่อย่างนี้ 3 ที พอครั้งที่ 4 ทีนี้แหละค่ะ มันลากหนูลงน้ำ ลากลงไปๆเรื่อยๆ หนุก็ดำผุดดำว่ายขึ้น


ร้องให้พ่อช่วย มีจังหวะหนึ่งตอนใกล้จะจมน้ำหนูเห็นหน้าผู้หญิง ซีดขาว หน้าเขาเหมือนโกรธจัดมาก มือเขาก็ดึงขาหนูไปเรื่อยๆ จากนั้นหนูก็หมดสติไปเลย ตื่นขึ้นมาอีกที เห็นแต่พ่อตบหน้า เรียกหนูอยู่


หนูเรียกพ่อแต่พ่อลุกขึ้นวิ่งไปทางสำนักงานของทางเขื่อนแล้ววิ่งกลับมา พร้อมกับธูปและไม่ขีด พ่อมานั่งคลุกเข่าข้างๆโคกหินแล้วพรึมพร่ำอะไรสักพัก ก็ลุกขึ้นมาหาหนูแล้วบอกว่าจะพากลับ ระหว่างกลับบ้านหนูถามพ่อทำไร


พ่อบอกว่าพ่อขอขมาเจ้าที่เจ้าทางและภูตผีวิญญาณที่อาศัยอยู่ในเขื่อน... พอตกค่ำ หนูเลยไปถามย่า ว่า ที่เขื่อนมันมีอะไรเหรอ ย่าเลยบอกว่าที่เขื่อนอ่ะ เขาเรียกว่าเขื่อนกินคน ผู้คนที่มาจากต่างถิ่นมาเล่นน้ำที่นี่มักจะจมน้ำตาย ก่อนที่หนูมาก็ตายไปเยอะ


ย่ายังบอกอีกว่า วันดีคืนดีถ้าเขื่อนมันอยากกินคน เขื่อนจะกลายเป็นสีเลือด ดึกจะมาเสียงร้องโหยหวนมาก บางคนก็ว่ามีคนไปหว่านแหก็จะได้ยินเสียงปี่ เสียงฆ้อง เสียงกลองอยู่ใต้น้ำลึก บางคนก็ว่าตอนดึกๆวันพระจะมีวิญญาณผู้หญิงเดินอยู่ตามถนนเขื่น


ตามภาพอ่ะค่ะ ตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องหนูก็ไม่ลงเล่นน้ำที่นั่นอีกเลยจนถึงปัจจุบัน

Credit : www.shockfmclub.com

อาถรรพณ์"นรกซานติก้า" ที่ดินนี้มีตำนาน..."เลือด"!

จากที่ดินทำเลทองย่านเอกมัย เพียงชั่วข้ามคืนของวันแรกที่ย่างเข้าสู่ศักราชใหม่ปี 2552 กลับกลายเป็นสุสานของเหยื่อเพลิงนรก นำมาสู่การผูกโยงถึงความเชื่อของชาวบ้านที่อาศัยอยู่ใกล้กับ "สุสานซานติก้าผับ" ด้วยความหวาดผวา และบอกเล่าถึงเรื่องราวอาถรรพณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงลางร้ายบอกเหตุที่อาจจะเป็นสาเหตุที่นำมาสู่โศกนาฏกรรมครั้งนี้


แม้ลางร้ายบอกเหตุจะมีหลายประการ แต่ข่าวลือที่พูดกันว่า ที่ดินบริเวณนี้เคยเป็น "กุโบร์เก่า" หรือ "สถานที่ฝังศพชาวมุสลิม" มาก่อนนั้น กลับไม่ใช่เรื่องจริง!! ตามที่ "ซินแส" ท่านหนึ่งออกมาเปิดเผยต่อสังคม

"สุธี ผลทวี" ทายาทของเจ้าของที่ดินมาตั้งแต่รุ่นดั้งเดิม ออกมายืนยันว่า แม้ที่ดินแถวนี้จะเป็นชุมชนของพี่น้องมุสลิม แต่ที่ดินทั้งหมดนี้เป็นที่มีโฉนด ไม่ใช่ที่สาธารณะ จึงไม่มีทางเป็นกุโบร์เก่ามาก่อนได้

ถึงแม้จะไม่ใช่ที่กุโบร์เก่า แต่ทายาทของเจ้าของที่ดิน เล่าว่า เรื่องราวความเฮี้ยนบนที่ดินผืนนี้ มีการเล่าขานกันมาตลอด โดยเกิดขึ้นหลังจากขายที่ดินให้แก่แม่ทัพเรือที่เข้ามาอยู่เมื่อกว่า 40 ปีก่อน ต่อมาแม่ทัพเรือคนนี้ถูกภรรยาฆ่าตายภายในบ้าน หลังจากนั้น ชาวบ้านก็มักจะเห็นเงาคนเดินไปเดินมาอยู่ในบ้านร้าง จนต้องทำพิธีทางศาสนากันมาตลอด ต่อมาแม้จะมีความพยายามเข้ามาใช้ประโยชน์จากที่ดินผืนนี้หลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยทำสำเร็จ และปล่อยรกร้างว่างเปล่ามานาน ก่อนจะมาเปิดเป็นสถานบันเทิง "ซานติก้าผับ" เมื่อกว่า 5 ปีที่แล้ว

"ที่ตรงนี้เป็นของคุณยายมาก่อน ซึ่งคุณยายขายต่อให้แม่ทัพเรือ ซึ่งท่านเป็นคนเจ้าชู้ ภรรยาจึงเกิดการหึงหวง ต่อมาแม่ทัพเรือคนนี้ถูกภรรยาฆ่าตายภายในบ้าน หลังจากนั้นชาวบ้านก็มักจะเห็นเงาของคนเดินไปเดินมาอยู่ในบ้านร้าง จนต้องมีการทำพิธีทางศาสนากันมาตลอด แม้กระทั่งซานติก้าก็เหมือนกัน ที่ดินตรงนี้แต่เดิมเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน ที่บอกว่าเป็นกุโบร์เก่านั้นไม่ใช่อย่างแน่นอน ที่ดินเดิมของซานติก้าเป็นของคนญี่ปุ่นมาก่อน แต่เจ้าของคนเดิมตายไป ลูกหลานก็เลยให้ซานติก้าเช่าที่ดินผืนดังกล่าว ซานติก้าก็ยังเชิญไปอ่านบทสวดให้ประจำ โดยส่วนตัวไม่เชื่อเรื่องผีปีศาจ แต่ก็ไม่ลบหลู่ แม้ทางซานติก้าไม่ได้ทำพิธีพวกเราก็ทำให้อยู่ดี เพราะอยู่ใกล้กัน ต้องช่วยเหลือกัน" ทายาทเจ้าของที่ดินกล่าว

นอกจากเรื่องราวความอาถรรพณ์ของที่ดินตามความเชื่อแล้ว ลางร้ายบอกเหตุที่เกี่ยวกับการออกแบบภายในซานติก้าผับ ก็เป็นอีกความเห็นหนึ่งที่เจ้าของบ้านฝั่งตรงข้ามซานติก้าผับรายนี้บอกว่า การปรับโฉมใหม่ มีการตกแต่งภายในร้านด้วยไม้กางเขนขนาดใหญ่และทำเลียบแบบโลงศพ ซึ่งเขามองว่าไม่เหมาะสม เช่นเดียวกับป้ายประชาสัมพันธ์งานกู๊ดบาย และเคานท์ดาวน์ขนาดใหญ่ ที่ทางผับออกแบบให้ดีเจมีน้ำตาเป็นสายเลือดและนักร้องมีคราบน้ำตาเป็นสีดำ

"เห็นภาพที่ออกมาเห็นแล้วก็ตกใจ กลัวว่าจะเป็นการบ่งบอกถึงลางร้าย แต่ก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดเหตุร้ายแรงขึ้นขนาดนี้" สุธีกล่าวด้วยอาการสลด

ขณะเดียวกัน ชาวบ้านแถวนี้หลายคนถึงกับนอนไม่หลับ พวกเขายอมรับว่า กลัวเจอผี บ้างก็ยังติดตากับภาพสลดใจที่เกิดขึ้น การแผ่เมตตา หรือแม้แต่ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ตายจึงเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้สบายใจ

อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านส่วนใหญ่ยังเชื่อว่า เหตุร้ายครั้งนี้น่าจะเป็นเพราะอุบัติเหตุและความประมาท มากกว่าจะเป็นเพราะเรื่องราวความอาถรรพณ์ แต่ถึงจะไม่เชื่อ ชาวบ้านละแวกนี้ก็ไม่เคยหลบหลู่ โดยตั้งใจว่าจะหมั่นทำบุญให้ผู้ตายอย่างสม่ำเสมอ และหากเป็นไปได้ ที่ดินผืนนี้ไม่อยากให้มีใครมาสร้างเป็นผับอีก

"เราก็อยู่แบบถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน เขาก็ปฏิบัติกับเราดี เด็กในละแวกนี้ก็มีงานทำ ถึงเวลาที่ร้านของเขาครบรอบก็มีเลี้ยงละแบร์ตามศาสนา ช่วงงานวันเด็กก็มีแจกจักรยานทำอะไรให้ ช่วยเหลือกัน ที่จริงที่ดินตรงนี้เป็นของ ผบ.ทร.เก่า สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ในความรู้สึกผมปล่อยวางนะ มีฝรั่งคนหนึ่งมาจากภูเก็ต ผมก็ถามว่าญาติเสียหรือเปล่า เขาก็บอกว่ามาสวดมนต์ให้ผู้เสียชีวิตชาวต่างชาติ เจ้าของเดิมตั้งใจทำเป็นคอนโด แต่ไม่ได้ทำ เพราะเจอพิษทางเศรษฐกิจ จริงๆ แล้วที่ดินตรงนี้ไม่ใช่ของซานติก้านะ แต่ทางซานติก้าเขาเช่าอยู่ ไม่ใช่ที่ของเขา" ฉลอม เพ็ชรหิน ชาวบ้านในพื้นที่ซานติก้าผับ ย้อนเรื่องราวในอดีต

ไม่ต่างไปจาก ภาณุภัทธ มีสถานทรัพย์ ชาวบ้านในพื้นที่ใกล้เคียงซานติก้าผับ สะท้อนความเชื่อว่า ลางบอกเหตุก็ดูที่รูปดีเจภูมิ ที่มีเหมือนเลือดไหลออกจากตา แล้วพื้นหลังก็สีดำหมดเลย เห็นตั้งแต่แรกก็ว่าจะไปทักว่ามันไม่เป็นมงคลเลย ก็ไม่นึกว่าเรื่องมันจะขนาดนี้ เวลาเคานท์ดาวน์เขาก็จะจุดพลุลุกใหญ่ๆ จุดเรื่อยๆ เป็นระยะ ปกติวันที่ 31 มกราคม เขาจะเปิดถึง 6 โมงเช้า แต่ปีนี้เขาเลิกกิจการพอดี ก็เลยมีนักท่องเที่ยวแอบเอาไปจุดข้างในลูกหนึ่ง

"เขาว่าในร้านที่เพิ่งตกแต่งปรับโฉมใหม่ไม่นานนี้ ก็มีรูปเหมือนโลงศพ แล้วก็มีไม้กางเขนขนาดใหญ่อยู่อันหนึ่งข้างใน มันก็เป็นเรื่องสุดวิสัย เพราะเจ้าของเองยังนึกไม่ถึงว่าจะเป็นแบบนี้ แล้วคนก็ไม่รู้ว่าทางด้านหลังก็มีประตูทางออกอีกทาง ก็เลยมากรูกันอยู่ที่ประตูทางเข้าด้านหน้าหมดเลย" ภาณุภัทธกล่าวในตอนท้าย

ไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้น ณ "ซานติก้าผับ" ในค่ำคืนแห่งการฉลองเทศกาลปีใหม่ จะเป็นอุบัติเหตุ หรือเป็นอาถรรพณ์ ทว่าความจริงคือ เหตุการณ์ครั้งนี้ต้องสังเวยด้วย 61 ชีวิต และเจ็บกว่า 2 ร้อยคน
-ขอบคุณภาพและข่าวจากหนังสือพิมพ์ คม ชัด ลึก

วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2555

ผีเฮี้ยนที่ห้างดัง

ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนนะว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง จะพยายามไม่เอ่ยถึงสถานที่ชัดเจน เพื่อผลกระทบ…..ตอนนี้ก็ยังมีให้เห็นและเป็นอยู่….เคยโทรไปออนแอร์นานแล้วกับพิธีกรผีๆ กพล ทองพลับ เมื่อสิบกว่าปีมาแล้วครับ….ซึ่งญาติผมเป็นส่วนหนึ่งของเจ้าหน้าที่ทำงานด้าน วิศวกร ออกแบบ ก่อสร้าง…ไม่ขอเอ่ยนาม ห้างหนึ่งในกรุงเทพมหานครได้ทำการก่อสร้างและมีบริษัทรับเหมาทั้งออกแบบและก่อสร้าง ควบคุม ดูแลงาน…ได้มีการก่อสร้างตามขั้นตอนตามแบบแปลนที่วางไว้ จากชั้น 2 ไปชั้น 3 ขอย้ำนะครับว่า จากชั้น 2 ไปชั้นที่ 3 ….เรื่องเกิดตรงนี้… หลังจากสร้างเสร็จแล้ว มีการย้ายเข้าไปอยู่ของทางร้านค้าต่างๆ เป็นทั้งแบบดีพาร์ท และแบบให้เช่า อยู่ได้ไม่นานครับ เจ้ง ความว่า กลางคืน ทั้งยาม ทั้งแม่บ้าน เจอกันทุกราย เช่น หุ่นเดินได้ แม่บ้านทำความสะอาดที่มาทำงานก่อนห้างเปิด เจอคนนั่งร้องให้ เสื้อผ้าลอยได้ คนวิ่งเข้าไปในต้นเสา …ทีแรก นึกว่าเป็นขโมย ต้องตามยามมาค้นหา แต่ก็หาไม่เจอ…ช่วงห้างเลิก…วงจรปิดจับภาพคนได้ นึกว่าขโมยแอบเข้ามา ค้นหา ไม่เจอครับ พอมีการเปลี่ยนเจ้าใหม่ ก็ต้องมีการปิดปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ออกแบบภายในใหม่ โดยวิศวกรกลุ่มเดิม มาคุมงาน…หลังจากห้าทุ่มแล้ว พวกวิศวกรพากันขึ้นไปทานข้าวที่ห้องอาหารชั้น5 …ซึ่งปิดปรับปรุงเหมือนกัน แต่ก็ยังมีโต๊ะเก้าอี้ให้นั่ง โดยการซื้ออาหารมาทานเองครับ เหล่าคนงานที่มาตกแต่งร้านก็พากันกลับหมดแล้ว กลุ่มพวกวิศวะพากันนั่งทานอาหารกันอยู่นั้น เหลือบไปเจอผู้หญิงวัยกลางคนท่านหนึ่งนั่งหน้าเศร้าอยู่ในมุมมืด..มองมาทางกลุ่มที่ทาน ข้าวอยู่ หัวหน้า พูดกับลูกน้องว่า..ใครวะ ดึกๆ ดื่นๆ ยังไม่กลับอีก มานั่งอยู่ตรงนั้น ไปเรียกเขามาทานข้าวด้วยกันซิ…แล้วก็ให้ลูกน้องไปเรียก หญิงวัยกลางคนคนนั้นมาทานข้าวด้วย พี่ๆๆ ทำไมยังไม่กลับอีก มาทำอะไรอยู่ตรงนี้หรือ…ไม่มีเสียงตอบรับจากหญิงวัยกลางคนก็เลยสำทับกับคำถามเดิมอีกครั้ง…พี่ๆ ทำไมยังไม่กลับอีก มาทำอะไรอยู่ตรงนี้…หัวหน้าให้ผมมาเรียกไปทานอาหารด้วยกัน…มาม๊ะ มาทานอาหารด้วยกัน..เสียงหญิงคนนั้น พูดช้าๆเสียงออกทำนองอิสานว่า..บ่ไปหรอก..ให้หัวหน้าเธอมาทานที่นี่ซิ ฝ่ายลูกน้องก็ตะโกนไปบอกหัวหน้าที่นั่งห่างไม่ใกลเท่าไหร่ ประมาณสัก 5-6 เมตร ว่า หัวหน้า ..เธอไม่ไปหรอก เธอให้พวกเรา มาทานที่โต๊ะของเธอ…จะบ้าเรอะ พวกเราเยอะกว่า จะให้ย้ายไปที่คนน้อยกว่าได้ไง..มานั่งที่นี่ด้วยกันซิ..ผู้หญิงคนนั้นได้ยิน ค่อยๆหันหน้ามาทางหัวหน้าและกลุ่มวิศวะอย่างช้าๆมองแบบตาขวางๆหน้าเศร้าๆ แล้วพูดขึ้นมาว่า หัวหน้าไม่เจอกันตั้งนานยังใจดำเหมือนเดิมนะ….หัวหน้า งง ..ป้ารู้จักผมหรือ ทำไมผมไม่รู้จักป้าเลย….ทำไมจะไม่รู้จักละ ป้าตอบ เออ แล้วป้าเป็นใคร อยู่ที่ไหน มาทำอะไรที่นี่…เสียงจากหญิงลึกลับพูดมาว่า..เวลาผ่านมาไม่นาน ทำเป็นจำหนูไม่ได้ ก็หนูติดอยู่ที่ต้นเสาชั้นสอง ที่หัวหน้าไม่ยอมเอาหนูออกมาไง…เสียงตอบจากป้า ….แค่นั้น ละ…หัวหน้าวิศวะ วิ่งป่าราบ ก่อนเพื่อนเลย ลูกน้องที่นั่งอยู่ด้วย ก็วิ่งตาม…ไป และถามหัวหน้าข้างนอกตึกว่า วิ่งทำไมหรือ…หัวหน้าตอบว่า…มันไม่ใช่คน……………..แล้วก็เลยเล่าเรื่อง ที่เกิดขึ้นพลางสำทับไปว่า…ห้ามแพร่งพราย…ไม่งั้นเดือดร้อนกันทั่ว…จนกว่าเราจะหมดพันธะจากการเป็นที่ปรึกษาของบริษัทนี้ก่อน… เรื่องที่ปกปิดเป็นความลับ คือว่าห้างแห่งนี้ตอนก่อสร้าง ได้มีคนงานเป็นหญิงวัยกลางคนชาวอิสาน ได้ตกไปในเสาเอกหรือเสาหลัก ตอนเทปูน…มาเจอตอนที่เขาแกะบล็อกออกจากเสา จึงรู้ว่า มีคนอยู่ข้างใน…จะเอาออกก็ไม่ได้ ต้องทำการรื้อใหม่ทั้งชั้น จะสูญเสียงบไปหลายสิบล้านบาท…จึงหาวิธีแก้ โดยการโบกปูนฉาบทับไปเลยและปิดเป็นความลั สุดยอด…สอบถามถึงคนที่ติดอยู่ข้างใ เป็นใคร สุดท้ายจึงรู้ว่าเป็นเมียคนงานที่ทำงานอยู่ที่นี่…ฝ่ายผู้รับเหมาและวิศวะเลยต้องหาวิธีโดยไม่ต้องรื้อ…ทำไงหรือครับ เสนอเงินจำนวนหนึ่ง ให้ฝ่ายสามี…แล้วก็ฉาบปูนทับไปเลย ไม่มีการเอาศพออก….เรื่องก็เงียบไป….แต่อย่างว่าละครับ…มันเลยเป็นอาถรรณ์ ใครมาบริหารห้างนี้ เจ้งแล้ว เจ้งอีก ผมก็เคย ไปดูให้เห็นกับตามาแล้ว…แต่คนที่มาอยู่ใหม่ เจ้าใหม่ คงไม่รู้แน่ๆ ……ทุก วันนี้ ก็ยัง เฮี้ยนไม่เลิกครับ……สงสารเจ้าของใหม่ แม่บ้าน และยาม ที่เขาไม่รู้..ต้องเจอดี

สุสานผีดุ

การค้าขายแบบเร่ร่อน เป็นการค้าที่ต้องเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ เป็นหมู่คณะ บางครั้งต้องจากบ้านเป็นปีก็มีเมื่อมีงานพิธีที่ไหน เราก็เห็นพวกเขาที่นั่นเสมอ เช่นเดียวกับชาวอำเภอพรหมคีรี ซึ่งเป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดนครศรีธรรมราช ที่จะล่องเรือมาขายของในตลาดที่ผ่านเป็นประจำทุกปี ปีหนึ่งๆ ก็จะมากันหลายลำเรือ ของที่มาขายนั้นมีสารพัดอย่าง เรื่องที่ผมจะมาเล่าให้ฟังนี้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานแล้วซึ่งเป็นเรื่องที่ปู่เล่าให้ฟัง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในตำบลบางควาย ในสมัยก่อน เมื่อมีคนตายลูกหลานและญาติๆ จะนำร่างของคนตายไปทำพิธีในป่าลึกห่างไกลจากหมู่บ้านนับสิบกิโลเมตร ในยุคสมัยคุณทวดของผมอำเภอนี้ยังไม่เจริญไม่มีถนนลาดยาง รถราต่างๆ ก็ไม่มี ต้องเดินแบบบุกป่าฝ่าดงตลอดทางท่ามกลางสัตว์ดุร้าย งูเงี้ยว เขี้ยวขอมากมาย บางครั้งกว่าจะถึงที่หมายก็มืดค่ำ การนำร่างของคนตายนั้นจะใช้วิธีแบกไปโดยมีคนหาม 4 คน ผู้ติดตามที่จะไปทำพิธีนั้นมีเฉพาะพระและญาติพี่น้องเท่านั้น เมื่อถึงที่หมายก็จะเป็นสุสานที่มีแต่โครงกระดูกอยู่เกลื่อนกลาด เพราะศพนั้นจะตั้งบนดอนสูง ไม่มีการเผาหรือฝัง แม้กระทั่งโลงใส่ศพก็ไม่มี คนสมัยนั้นเชื่อกันว่าถ้านำเอาร่างคนตายใส่โลงวิญญาณคนตายจะไม่มีที่ไปและจะวนเวียนไม่มีทางออก ในปัจจุบันสุสานไร้นามถูกทำลายไปเกือบหมดแล้วเพราะเป็นสุสานที่มีความน่ากลัวและหลอกหลอนผู้คนอยู่ไม่เว้นแม้กลางคืนหรือกลางวัน เย็นวันหนึ่งซึ่งเป็นวันที่ชาวอำเภอพรหมคีรีจะล่องเรือมาขายอาหารในตลาด ในปีนี้พวกเขาล่องเรือมาทางสายน้ำใหม่ซึ่งจะต้องผ่านสุสานไร้นามแห่งหนึ่ง น่าแปลกที่ยามสนธยานั้นท้องฟ้าที่แดงฉานกลับมืดอย่างรวดเร็ว อากาศที่ร้อนระอุเปลี่ยนเป็นอากาศที่เย็นเยือกอย่างรวดเร็ว ในขณะนั้นบางคนในเรือม่อยหลับไปแล้วเหลืออยู่เพียง 4 – 5 คนเท่านั้นที่ยังไม่หลับ เวลา 4 ทุ่ม เรือได้แล่นมาถึงตลาดโต้รุ่งที่มีแสงไฟตะเกียงสว่างไสว เสียงพ่อค้าแม่ขายขายของกันดังเอะอะ ผู้คนเดินขวักไขว่มากมาย น่าสนุกสนาน คนที่ยังตื่นอยู่ในเรือรีบไปจอดเทียบท่าเพื่อที่จะเข้าไปชมตลาดแห่งนั้น โดยหารู้ไม่ว่ากำลังเจอดีเข้าแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปอย่างปกติคนเรือทั้ง 5 ชักชวนกันไปกินขนมจีน ทุกคนก้มหน้าก้มตากินอย่างเอร็ดอร่อยโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง หลังจากที่อิ่มหนำสำราญดีแล้วก็ไปชมหนังตะลุง เวลาผ่านไปถึงเวลากลับเรือ ก่อนจะกลับก็ต้องมีของติดไม้ติดมือไปคนละอย่าง โดยพวกเขาเลือกซื้อข้าวหลามไปฝากคนในเรือ เมื่อเรือเริ่มห่างจากตลาดโต้รุ่งออกไป คนที่ไปเที่ยวตลาดยังสนุกสนานอยู่จึงหันไปดูตลาดเพื่อจะจำไว้ว่าเคยมาสถาน ที่แห่งนี้ แต่ตลาดที่พวกเขาเห็นนั้นอันตรธานไปเสียแล้วมีแต่ความมืดและเงียบสงัด ทุกคนหันมามองหน้ากันอย่างตื่นกลัว พลันทั้ง 5 คน ก็เกิดอาการง่วงเหงาอย่างรุนแรงและผล็อยหลับไป ตอนเช้าทั้งหมดตื่นขึ้นมาอย่างมึนงง และไม่รู้ว่าตนได้หลับไปเมื่อใด คนที่ไปเที่ยวตลาดเริ่มมีอาการคลื่นไส้และอาเจียนออกมาอย่างยั้งไม่อยู่ อะไรกันนี่! สิ่งที่พวกเขาอาเจียนออกมาทั้งหมดนั้นคือ สายสิญจน์ที่มีเลือดและน้ำหนองผสมอยู่อย่างมากมาย ข้าวหลามก็กลับกลายเป็นโครงกระดูก ทั้งหมดต่างก็เสียขวัญและตกใจแทบสิ้นสติ และเพียงชั่วครู่ถัดมา ผู้ไปเที่ยวงานทั้ง 5 คน ก็ขาดใจตายโดยไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น จนกระทั่งเรือได้มาจอดหน้าวัดหนึ่ง (ขอไม่เอ่ยนาม) พวกที่เหลืออยู่จึงได้ทราบเรื่องราวทั้งหมดจากเจ้าอาวาส ว่าตลาดที่พวกเขาผ่านมานั้นแท้ที่จริงแล้วเป็นสุสาน ทุกคนต่างสลดใจและคิดว่ามันคงเป็นชะตากรรมที่ได้กระทำไว้แต่ปางก่อนถึงได้มีจุดจบอันน่าเวทนาอย่างนี้

12บ้านผีสิงสุดเฮี้ยน ในเมืองไทย

ก่อนหน้านี้ได้แนะนำบ้านผีเฮี้ยนไปแล้ว 10 อันดับ แต่ส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ คราวนี้ลองมาทัวร์บ้านผีสิงทั่วเมืองไทยที่ว่ากันว่าเฮี้ยนสุดๆ กันดีกว่า

1.สุสานโสเภณี จ.กาญจนบุรี สถานบันเทิงเก่าแก่ของจังหวัด เปิดให้บริการกับผู้ชายที่มีความต้องการทางเพศได้มาใช้บริการ ที่แห่งนี้มีหญิงบริการถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวถูกบังคับให้รับแขกอย่างทารุณ ไม่ได้พักผ่อน บ้างก็ถูกทำร้ายร่างกาย บ้างก็เป็นโรคร้าย จนสุดท้ายหญิงสาวทั้งหมดได้เสียชีวิตลงที่นี้อย่างมากมาย จนเราเรียกได้ว่าเป็น "สุสานโสเภณี" ซึ่งชาวบ้านบริเวณนั้น มักได้ยินเสียงผู้หญิงและเด็กร้องขอความช่วยเหลือเมื่อเข้าไปดูก็ไม่พบใคร เลย

2.บ้านผีมอญ จ.กาญจนบุรี คู่สามี-ภรรยาเจ้าของบ้านเป็นคนมอญที่มีนิสัยหวงของมาก จะดุด่าคนที่แอบมาขโมยผลไม้ในสวน ด้วยความที่เป็นคนหวงของและดุด่าเก่งมาก จึงทำให้ถูกฆ่าตายแล้วนำศพมาทิ้งไว้ที่ท้ายสวน วันหนึ่งมีคนเข้ามาเก็บผลไม้ในสวน แกก็ตามไปทวงถึงบ้าน จนคนที่เก็บไปรีบนำมาคืนแทบไม่ทัน นอกจากนี้ ยังมีศพชาวกะเหรี่ยง ๙ ศพ ที่ถูกวิสามัญฝังอยู่บริเวณบ้านหลังนี้

3.บ้านผมผี จ.กาญจนบุรี หญิงผู้เป็นเจ้าของบ้าน ตัดสินใจลาบวชด้วยความเสียใจที่คนในบ้านตายที่ละคนโดยไม่ทราบสาเหตุ หลังจากนั้นก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ปล่อยบ้านทิ้งไว้จนกลายเป็นสภาพบ้านร้าง ชาวบ้านบริเวณนั้น นึกว่าเจ้าของบ้านเสียชีวิตไปแล้ว จึงเข้าไปดูในบ้าน ปรากฏว่าเส้นผมเต็มไปหมด บางคนก็ได้ยินเสียงคนคุยกันอยู่ในบ้าน

4.โรงพยาบาลสยอง จ.ระยอง ด้วยพิษทางเศรษฐกิจเมื่อหลายปีก่อน ทำให้โรงพยาบาลแห่งนี้ปิดกิจการลง กลายเป็นโรงพยาบาลร้างในที่สุด ในเวลากลางคืนชาวบ้านมักเห็นไฟเปิดสว่างเต็มไปหมด บางคนเข้าไปก็เห็นเตียงนอนคนไข้เข็นเองได้ กลายเป็นเรื่องราวชวนสยองเลื่องลือถึงกิตติศัพท์ความน่ากลัวมาถึงปัจจุบัน

5.สุสานศพไร้ญาติ จ.ชลบุรี ศพไร้ญาติทั้งหลายเหล่านี้ ถูกนำมาขุดหลุมฝังเป็นสุสานไร้ญาตินับร้อยนับพัน ขุดเรียงรายกันเป็นทิวแถวยาว จนทำให้หลาย ๆ คนเล่ากันว่าเป็นฮวงซุ้ยที่น่ากลัวมาก ๆ หลายครั้งที่ได้ออก TV รายการต่าง ๆ มักไปทำที่นั่น

6.บ้าน ๔ ศพ จ.ชลบุรี ครอบครัวหนึ่งประกอบด้วยพ่อ แม่ และลูก ๒ คน เดินทางไปท่องเที่ยว แต่ระหว่างทางประสบอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำเสียชีวิตทั้งหมด บ้านหลังนั้นกลายเป็นบ้านร้าง แต่คนที่ผ่านไปมาเห็นเงาคนเหมือนมีคนอยู่ในบ้านอยู่เสมอ และยังเป็นที่พบศพถูกฆาตกรรมอย่างปริศนา มีห่วงเชือกผูกเป็นปมมัดอยู่ในบ้างหลังนั้น

7.บ้านผีนายพล จ.ชลบุรี เป็นบ้านพักตากอากาศชายทะเลที่ครอบครัวนายทหารมาพักผ่อน และถูกฆาตกรรมทั้งครอบครัว ศพทั้งหมดถูกยัดไว้ในห้องใต้ดินของบ้านพักตากกาศหลังนี้ มีคนเคยเห็นควันธูปลอยขึ้นมาในบริเวณบ้านหลังนี้ด้วย

8.บ้านผียายสรวง จ.อยุธยา หญิงชราเจ้าของบ้านผู้ชอบกินหมาก ได้เสียชีวิตลงภายในบ้าน พร้อมกับโลงศพที่พบภายในบ้านจนถึงทุกวันนี้ ผู้คนแถวนั้นยังคงได้ยินเสียงคนแก่พูด และเสียงตำหมากอยู่ทุกค่ำคืน

9.บ้านผีโหด อ.บางเลน จ.นครปฐม เกิดเหตุทะเลาะวิวาทฆ่ากันตาย พ่อตายิงลูกเขยเสียชีวิตลง แล้วนำศพไปทิ้งไว้ในบ่อหลังบ้าน ปัจจุบันยังคงมีคราบเลือดที่ขอบกำแพง

10.บ้านผีตายโหง หนองจอก เป็นบ้านร้างมาเกือบ ๑๐ ปี มีการเล่ากันว่า นอกจากจะมีการฆ่ากันตายในบ้านแล้ว ยังมีผู้หญิงเข้ามาผูกคอตายในบ้านหลังนี้อีก และยังมีการนำเอาศพมาทิ้งไว้ใต้บันไดเพื่ออำพรางคดีอีกด้วย

11.บ้านตรอมใจ หนองจอก หญิงสาวเจ้าของบ้านนับถือศาสนาพุทธรับการกระทำของสามีที่นับถือศาสนาอิสลามเกี่ยวกับเรื่องผู้หญิงไม่ได้ ทั้งสองจึงทะเลาะวิวาทกัน ฝ่ายชายหนีออกจากบ้านไป ฝ่ายหญิงได้แต่เฝ้ารออยู่ที่บ้าน จนกระทั่งล้มป่วยเพราะตรอมใจ และเสียชีวิตลงในที่สุด ชาวบ้านแถวนั้นมักได้เสียงร้องไห้คร่ำครวญของผู้หญิงเสมอ

12.บ้านเสาตกน้ำมัน จ.ราชบุรี บ้านทรงไทยที่มีเสาตกน้ำมันไหล จากข้างบนลงมาข้างล่าง ด้วยความที่เป็นบ้านร้างก็มีเถาตำลึงขึ้นเต็มไปหมด ชาวบ้านไปเก็บ ปรากฏว่ามีผู้หญิงใส่ชุดไทยมายืนชี้หน้าอยู่

ผีขึ้นจากหลุม ณ ป่าช้าเก่า

"สุริยา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากป่าช้าเก่า สมัยเด็กผมเคยอยู่ที่ภาคอีสานหลายจังหวัด สาเหตุเพราะพ่อรับราชการเป็นครูน่ะซีครับ ข้อดีก็คือได้เห็นท้องถิ่นแปลกหูแปลกตา ไม่นˆาเบื่อเหมือนกับต้องอยู่จำเจ แต่ข้อเสียก็คือไม่มีเพื่อนเก่า เจอะเจอแต่เพื่อนหน้าใหม่ๆ อยู่ร่ำไป เท่านันยังไม่พอ เมื่อตอนที่ย้ายไปอยู่ชัยภูมิผมยังโดนผีหลอกเอาเต็มเปา! ถึงแม้จะผ่านมานานแล้ว แต่ผมยังจำได้ว่าที่นั่นคือตำบลหนองฉิม อำเภอจัตุรัส สมัยนั้นเรียกว่าเป็นบ้านป่าก็คงไม่ผิดนัก เราไปอยู่ที่หมู่บ้านเล็กๆ ราวสองร้อยหลังคาเรือนเห็นจะได้ มีทั้งดงตาลและป่ากล้วยรายล้อม ยามลมพัดจะเกิดเสียงซู่ซ่าน่าวังเวงใจอย่างบอกไม่ถูก หลังหมู่บ้านมีลำห้วยที่แห้งแล้ง สองฝั่งมีแต่กอไผ่กับดงสะแกเรียงราย เวลาลงไปเล่นซ่อนหากันข้างล่าง เสียงใบไม้แห้งที่ทับถมกันมานานจะทำให้เกิดเสียงกรอบแกรบ ต้องหลบขึ้นไปซ่อนอยู่หลังกอไผ่หรือดงสะแกครับ คนหาจะได้หาเราได้ยากหน่อย แต่ที่สำคัญกว่าอะไรทั้งหมดก็คือ ผีดุบรรลัยจักรเชียวคุณเอ๋ย พวกผู้เฒ่าผู้แก่เล่าให้ฟังว่า ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่าหมู่บ้านนี้ตั้งเป็นกระจุกอยู่บนเนินดินกว้างขวาง...สมัยก่อนเคยเป็นป่าช้าครับ! พวกผู้ใหญ่เขาไม่แยแสกันเท่าไหร่ แต่เด็กๆ อย่างผมนˆะซี พอได้ยินก็เล่นเอาขนลุกขนพองไปหมด สันหลังงี้เย็นวาบๆ เชียว ...แหม! เด็กที่ไหนจะไม่กลัวผีล่ะครับ? บรื๋ออออ... ตอนแรกยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่พอเขาเล่าว่าพวกที่มาลงหลักปักฐานอยูใหม่ๆ ขุดดินลงเสาเรือน ล้วนแต่เจอะเจอโครงกระดูกผุพังกันทั้งนั้น จะปลูกต้นไม้ต้นไร่อะไรก็เจอแต่กระดูกของคนโบราณเป็นว่าเล่น...คว้ากระดูกขาวๆ ขึ้นมาได้ก็เหวี่ยงเข้ารกเข้าพงโดยไม่แยแส ระยะแรกๆ เราไปอยู่หลังสงกรานต์ อากาศค่อนข้างอบอ้าวเลยต้องมาปูเสื่อสาดนอนกันที่ระเบียง ถัดไปเป็นนอกชาน และรั้วไม้ระแนงล้อมรอบ มุ้งม่านอะไรนี่ไม่จำเป็น เพราะที่นั้นไม่มียุงมารบ กวน บ้านเช่าของเราน่ะอยู่กลางหมู่บ้านเลยนะครับ มีต้นตาลระเกะระกะพอๆ กับบ้านเล็กเรือนน้อย ตอนกลางคืนได้ยินเสียงลมพัดใบตาลแก่ๆ ดังแกร็กๆ นึกถึงเรื่องผีเรื่องเปรตที่เขาว่ามันร้องวี้ดๆเพราะปากแหลมเท่ารูเข็มแล้วเล่นเอาปากคอแห้งผากไปทันใด เวลาผ่านไปได้แค่ 2-3 คืนผมก็เจอดี! หน้าบ้านเช่าชั้นเดียวเตี้ยๆ ของเรามีต้นตาลที่สะบัดใบซ่าๆอยู่เป็นประจำ ยิ่งตอนกลางคืนยิ่งดังบ่อย บางครั้งผมนึกเอะใจว่าไม่มีลมพัดซักนิดทำไมใบตาลที่ห้อยลงมาน่ะมันแกว่งไกวได้ล่ะ? คืนนั้น...ขณะที่กำลังเคลิ้มหลับผมก็ต้องลืมตาตื่นเมื่อได้ยินเสียงแปลกประหลาดที่ดังมาจากหน้าบ้าน คือเสียงดังแกร็กๆ อยู่แถวต้นตาล จนทำให้ผมต้องหันหน้ามองขึ้นไปดู... ท่ามกลางแสงดาวระยิบระยับ เห็นต้นตาลยืนทะมึน ยอดตาลสงบนิ่ง แต่เสียงแปลกๆ นั่นยังดังอยู่ตามเดิม..ครั้นเงียหูฟังครู่หนึ่งก็ถอนใจยาวเมื่อรู้แน่ว่าเป็นเสียงเคาะไม้เบาๆ เป็นจังหวะมาจากโคนต้นตาลนั่นเอง เอ๊ะ! แล้วใครมาเคาะไม้หาสวรรค์วิมานอะไรในยามดึกดื่นแบบนี้ล่ะ ในเมื่อเลยค่ำไปไม่นานชาวบ้านก็หลับนอนกันจนหมดสิ้นแล้วนี่นา? จากเสียงเคาะไม้กลายเป็นเสียงเอี๊ยดอ๊าดมาจากรั้วไม้ระแนง อารามอยากรู้อยากเห็นทำให้ผมผงกหัวขึ้นมอง ท่ามกลางสายลมเยือกเย็นภายใต้แสงดาวส่องสลัว ผม ตกตะลึงตัวแข็งทื่อเมื่อเห็นภาพนั้นเข้าถนัดตาพอดี ร่างตะคุ่มๆ ของผู้ใหญ่สองกับเด็กหนึ่งกำลังช่วยกันดึงรั้วไม้โปร่งๆ อย่างเอาเป็นเอาตาย ทั้งสามมีผิวกายดำมืด มองไม่เห็น หน้าตา แต่ก็รู้ว่าไม่ใช่คนธรรมดาๆ อย่างพวกเราแน่ ท่าทางยงโย่ยงหยกคล้ายจะแหวกรั้วเข้ามาให้จงได้ เสียงเคาะไม้ดังขึ้นอีกครั้ง สั่นสะเทือนเข้าไปถึงหัวใจที่เต้นโครมครามเหมือนจะพังทลายออกมาข‰างนอก...อยากร้องเรียกพ่อแม่ก็ร้องไม่ออก ขณะที่ร่างทั้งสามหยุดชะงักราวจะรู้ว่ามีใครจ้องมอง ก่อนจะเงยหน้าดำปี๋ขึ้นมากระทบแสงดาว....ผมแผดร้องออกมาสุดเสียงในพริบตา! เมื่อพ่อแม่ตื่นขึ้นมาก็ไม่ปรากฏร่างอุบาทว์ทั้งสามให้เห็นเลย อาทิตย์ต่อมา มีชาวบ้านขุดพบโครงกระดูก 3 ร่างข้างๆ บ้านเรา เป?นผู้ใหญ่ 2 กับ เด็ก 1 สันนิษฐานว่าเป็นเป็นพ่อแม่ลูกที่ตายพร้อมกันเพราะโรคระบาด...เขาห่อกระดูกไปให้พระสวดมนต์แล้วฝากวัดไว้...ผมเองก็ไม่เคยเห็นภาพสยองอีกเลยครับ

วิญญาณเฮี้ยน เมื่อไปฟังสวดศพ

"ศศิพงศ์"เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อไปฟังสวดศพ ป้าเพลินเป็นหญิงชราอายุ 70 เศษ อยู่บ้านใกล้ๆ กับดิฉันที่หน้า ม.เกษตร นี่เองค่ะ แกเป็นย่าเป็นยายคนเกือบทั้งซอยก็ว่าได้ แต่ป้าเพลินเป็นเพื่อนกับแม่ของดิฉันมาตั้งแต่รุ่นสาว ตอนนั้นดิฉันยังตัวกะเปี๊ยกจนเดี๋ยวนี้เกือบจะถึงหลักสี่อยู่รอมร่อแล้ว ครอบครัวเราสนิทกันเหมือนญาติ นอกจากการไปมาหาสู่กันเป็นปกติ ก็ยังมีการไต่ถามสารทุกข์สุกดิบกันและกัน ใครทำอาหารดีๆ ก็ตักไว้ให้กันเป็นประจำ...ป้าเพลินชอบออกมาเดินเล่นในซอยแทบทุกเย็น บอกว่าเป็นการออกกำลังกายที่ดีที่สุด แต่คนเราก็หนีกฎธรรมชาติไม่พ้น ไม่ว่าเกิด แก่ เจ็บ ตาย! แม่ของดิฉันล่วงลับไปเมื่อเกือบ 3 ปีมาแล้วด้วยโรคมะเร็งในลำไส้ใหญ่ ป้าเพลินเสียน้ำตาให้เห็นเป็นครั้งแรก ทุ่มเทแรงกายแรงใจช่วยงานศพเต็มที่ บอกดิฉันว่า...คนรุ่นป้าพากันล่วงหน้าไปหมดแล้ว เหลือแต่ป้าคนเดียว ไม่รู้ว่าจะถึงเวลาเมื่อไหร่? แต่คงอีกไม่นานหรอก... ตั้งแต่นั้นมา ป้าเพลินก็ดูอิดโรยอ่อนล้า เจ็บป่วยกระเสาะกระแสะเรื่อยมา คิดๆ แล้วก็ใจหาย เมื่อนึกว่าชีวิตคนเรานับวันแต่จะโรยรา แก่ตัวก็เหมือนไม้ใกล้ฝั่ง ความเจ็บป่วยดาหน้าเข้ามาหา บั่นทอนสุขภาพลงไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงวันนั้น... ร่างเล็กๆ ของป้าเพลินออกมาเดินในซอยหน้าบ้านไม่ไหวอีกแล้ว นอกจากจะจับเจ่าอยู่ในบ้าน ในที่สุดก็ต้องนอนแซ่วอยู่บนเตียง นัยน์ตาสีน้ำข้าวฉายแววเจ็บปวดร้าวรานเหมือนนักโทษในกรงขังของร่างกายตัวเอง! ดิฉันใจหายทุกครั้งที่ไปเยี่ยมป้าเพลิน กุมมือเหี่ยวย่นและเย็นชืดนั้นไว้อย่างปลอบประโลม ไม่อยากพูดปดเพื่อปลอบใจว่าคุณป้าจะหายเร็วๆ นี้...รู้ดีว่าจะไม่มีวันนั้นแน่นอน "ป้าอยากจะออกไปเดินในซอย ขอแค่ไปยืนที่หน้าบ้านก็ยังดี!" เสียงแหบเครือกับแววตาสิ้นหวัง น้ำใสๆ รื้นเต็มเบ้าตา บ่งบอกว่านั่นเป็นความวาดหวังที่สูงส่งเกินไปจนสวรรค์ไม่มีจะให้...กระทั่งวันสุดท้ายมาถึง เมื่อป้าเพลินนอนหลับไปตลอดกาลนานในโลกมนุษย์... คืนแรกที่สวดศพในวัดนั่นเอง ป้าเพลินก็กลับมา! เพื่อนบ้านพากันไปฟังสวดอภิธรรมคับคั่ง รูปถ่ายของป้าเพลินสมัยสาวๆ ตั้งโดดเด่นอยู่หน้าโลงศพสีทอง...คุณน้าผ่องศรีนั่งพนมมือฟังพระสวดเสียงเยือกเย็นอยู่ดีๆ ก็เอียงหน้าเข้ามากระซิบดิฉันว่า...ป้าเพลินยิ้มให้น้าด้วยละ คนเราตาฝาดกันได้นะคะ โดยเฉพาะในแสงไฟท่ามกลางบรรยากาศเยือกเย็น ชวนให้วังเวงใจ คุณน้าผ่องศรีก็ใกล้จะ 70 อยู่แล้ว...แต่ตอนขากลับที่เราลงจากรถตู้ของคุณลุงจำนงในซอย แยกย้ายกันเข้าบ้าน สามีภรรยารุ่นพี่คู่หนึ่งก็ร้องวี้ดว้ายมากระทบหูจนพวกเราวิ่งไปดู หน้าตาซีดเซียว ปากคอสั่นทั้งคู่ ก่อนจะรวบรวมสติเล่าให้ฟังด้วยเสียงกระหืดกระหอบแทบฟังไม่รู้เรื่อง ปรากฏว่าเดินมาจะถึงบ้านอยู่แล้ว เห็นร่างเล็กๆ ผอมๆ ของหญิงชราที่คุ้นตาเดินนำหน้า ท่าทางลอยๆ ชอบกลเหมือนเท้าไม่แตะพื้น พอสะกิดกันดูก็พอดีหญิงชราผู้นั้นหันมามองยิ้มๆ...ป้าเพลินเองค่ะ! "คงจะตาฝาดไปเองน่ะค่ะ ไม่มีอะไรหรอก..." ดิฉันปลอบ...แต่ทันใดนั้นก็มีกลิ่นน้ำอบไทยอวลกรุ่นมาเข้าจมูก กลิ่นน้ำอบที่รดน้ำศพป้าเพลินเมื่อตอนเย็นนี้เอง! เล่นเอาเหลียวซ้ายแลขวากันเลิ่กลั่ก ก่อนจะรีบกลับบ้านใครบ้านมันทันที ยอมรับว่าดิฉันใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น สับสนงุนงงอย่างบอกไม่ถูก...วิญญาณมีจริงหรือนี่? วิญญาณป้าเพลินเฮี้ยนถึงปานนี้เชียวหรือ? วิญญาณที่ใฝ่ฝันก่อนตายอย่างรุนแรงที่จะได้ลุกจากเตียง เพื่อออกมาเดินเล่นในซอยอย่างที่เคยทำมาชั่วชีวิต...จนกระทั่งวิญญาณหลุดลอยออกจากร่าง ได้รับอิสรเสรีตามเดิม! ก้าวเข้าไปในบ้านที่ค่อนข้างเงียบเชียบ...กลิ่นน้ำอบไทยเย็นๆ ล่องลอยมาเข้าจมูกอีกแล้ว ดิฉันขนลุกซ่า เหลียวซ้ายแลขวาอย่างหวาดระแวง จนสายตาประสบกับภาพถ่ายขนาดใหญ่บนหลังตู้หนังสือ...ภาพของป้าเพลินกำลังยิ้มระรื่นเคียงคู่กับแม่ดิฉันที่ชายหาดแห่งหนึ่ง คุณพระช่วย! รอยยิ้มของป้าเพลินกว้างขวางขึ้นทุกที ดิฉันพร่ามึนจนเดินเข้าไปหาเหมือนถูกสะกด ก่อนจะหยุดเงยหน้ามองดูรอยยิ้มกับนัยน์ตาเศร้าๆ ของป้าเพลินที่มองตอบมา...น้ำตาเอ่อคลอก่อนจะไหลรินลงมาอย่างเชื่องช้า ดิฉันขนลุกซ่า กลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น...ขอให้ไปสู่สุคติเถอะค่ะ ป้าเพลิน!

ตำนานแฮปปี้แลนด์ สวนสนุกสุดสยอง สุดสะพรึง

เรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องที่เล่าสืบต่อกันมาตั้งแต่รุ่นปู่ของผม และเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงครับ "ตำนานแฮปปี้แลนด์ สวนสนุกสยอง" แฮปปี้แลนด์ ตั้งอยู่ตรงข้ามกับเดอะมอลล์บางกะปิ กรุงเทพมหานคร เป็นจุดที่รถเมล์สาย 8 หมดระยะ ไม่มีใครที่ไม่รู้จักแฮปปี้แลนด์ แฮปปี้แลนด์สมัยก่อนเป็นสวนสนุกที่มีตำนานที่น่าสะพรึงกลัวมาก มีเครื่องเล่นมากมายอย่างเช่น ชิงช้าสวรรค์ รถไฟเหาะ เรือหรรษา ปาเป้า ม้าหมุน ชิงช้า กระดานหก บ้านผีสิงหลังเล็กๆ และอื่นๆ อีกมากมาย แต่ไม่หรูเท่าแดนเนรมิต แฮปปี้แลนด์จะออกสไตล์สวนสนุกตามงานวัด เป็นสวนสนุกที่ทำให้คนชั้นกลางถึงชั้นรากหญ้าเล่นโดยเฉพาะ แดนเนรมิตจะไฮโซกว่ามาก คนสมัยก่อนนิยมไปเล่นที่นี่มากพอๆ กับที่แดนเนรมิต ตอนนั้นดรีมเวิลดิ์ยังไม่ได้สร้าง นานๆ เข้าเครื่องเล่นส่วนใหญ่ก็เก่าและชำรุดไปตามกาลเวลา ทำให้เกิดอุบัติเหตุจนคนเล่นบางคนตาย ซึ่งแปลกมากที่ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กๆ ทั้งนั้น เช่น นั่งชิงช้าสวรรค์หรือม้าหมุนแล้วพลัดตกลงมาตายบ้าง เล่นเรือหรรษาแล้วเกิดพลัดตกน้ำจมน้ำตายบ้าง ตกราวรถไฟเหาะตายบ้าง บางคนก็ถูกฆ่าหั่นศพในบ้านผีสิงแล้วเอาศพทิ้งไว้จนเน่าในนั้นเลย แต่ละคนตายแบบแปลกๆ และสยองขวัญมากๆ ตายแบบไม่มีคนเห็นด้วย ลือกันว่ามีฆาตกรโรคจิตคนหนึ่งชอบลักพาตัวเด็กที่มาเล่นเครื่องเล่นตอนกลาง วัน แล้วเชือดคอฆ่าทิ้งในตอนกลางคืน ทิ้งศพไว้ตามบริเวณต่างๆ ของสวนสนุก แฮปปี้แลนด์จึงเต็มไปด้วยศพของเด็กจำนวนมาก และไม่มีใครรู้ว่าฆาตกรคนนั้นเป็นใคร ทำไปเพื่อจุดประสงค์อะไร แต่ทางสวนสนุกต้องปิดข่าวเอาไว้เพราะกลัวคนที่มาเล่นจะตกใจ แฮปปี้แลนด์ในตอนนั้นจึงเป็นสวนสนุกที่เด็กมาเล่นแล้วตายมากที่สุด แต่ไม่ค่อยมีคนรู้ ! นานวันเข้า เครื่องเล่นเก่าและเจ๊งมากขึ้น คนเล่นก็ตายมากขึ้นด้วย ข่าวเริ่มปิดไม่มิด ทำให้สวนสนุกแฮปปี้แลนด์ไม่มีคนกล้ามาเล่นมากเท่าเมื่อก่อน ในที่สุดก็เจ๊ง ถูกรื้อ และกลายเป็นที่รกร้างไป ผ่านไปหลายปี มีคนคิดมาเปิดตลาดขายของที่นี่ และเปลี่ยนจาก สวนสนุกแฮปปี้แลนด์ เป็น “ ตลาดสด แฮปปี้แลนด์ “ จนถึงปัจจุบัน ( ป้ายยังมีอยู่ ถ้าไปก็ยังเห็นครับ ) ตอนนี้แฮปปี้แลนด์ไม่มีอะไรน่ากลัวอีกแล้วเพราะมีแต่ของมาขายเยอะมาก แต่กลางคืนก็ยังไม่คอยมีใครกล้าเดินแถวนั้นคนเดียวเพราะกลัวผี ลือกันว่าตอนดึกๆ คนที่มีบ้านอยู่แถวแฮปปี้แลนด์นั้นจะได้ยินเสียงเด็กๆ ร้องกันเสียงดังจ้อกแจ้กดังมาจากที่ไหนซักแห่งไกลๆ ราวกับว่าเด็กพวกนั้นกำลังเล่นเครื่องเล่นกันอยู่อย่างสนุกสนานเลยทีเดียว แต่พอออกไปดูก็ไม่เห็นอะไรเลย มีคนเคยบอกว่า เนื่องจากเด็กๆ พวกนี้ตายขณะที่ยังสนุกกับเครื่องเล่นอยู่ และพวกเขาอาจจะไม่รู้ว่าตนเองตายไปแล้ว พวกเขาจึงยังคงเล่นกันต่อไปจนกว่าจะไปเกิดใหม่ถึงแม้ว่าตอนนี้จะไม่มี เครื่องเล่นหลงเหลืออีกแล้วก็ตาม หรือไม่พวกเขาก็อาจจะกำลังหาเครื่องเล่นที่ตนเองเล่นก่อนจะตายอยู่ก็ได้ ไม่มีใครรู้แน่ชัด แต่สิ่งที่รู้คือ วิญญาณตายโหงของเด็กๆ พวกนั้นยังวนเวียนอยู่ในแฮปปี้แลนด์จนถึงทุกวันนี้ ทั้งหมดนี้คือตำนานของสวนสนุกแฮปปี้แลนด์ครับ ********************************************** เอาล่ะค่ะ กลับมาเข้าเรื่องของเรากันต่อดีกว่า เมื่อก่อนนี้สวนสนุกแห่งนี้ดังมากๆ น่าจะเมื่อประมาณเกือบ 30 ปีที่แล้ว เกิดไม่ทันกันใช่ไม๊ล่ะคะ อิอิ (ดิฉันก็เกิดไม่ทันเช่นกันค่ะ) สมัยก่อนสวนสนุกแห่งนี้ น่าจะเป็นสวนสนุกขนาดใหญ่แห่งเดียวใน กทม. ที่ใครเกิดทันในสมัยนั้นน่าจะต้องรู้จัก แต่ดิฉันเองไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามีคนเสียชีวิตเยอะขนาดนั้น (บรื้อ~) และก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีฆาตกรแอบฆ่าเด็ก *0* (น่ากลัวแฮะ) เพราะเท่าที่คุณพ่อเล่าให้ฟัง ก็คือสวนสนุกแห่งนี้เครื่องเล่นไม่ได้มาตรฐาน (ll ลองนึกถึงชิงช้าสวรรค์งานวัดดูแล้วจะรู้ค่ะ) มีเด็กเสียชีวิตหลายคน แต่ทางสวนสนุกปิดข่าว คนส่วนใหญ่ที่รู้คือคนที่อาศัยอยู่แถวๆ นั้นบอกต่อๆ กันมาค่ะ และกรณีล่าสุดที่เป็นสาเหตุให้สวนสนุกแห่งนี้ต้องปิดตัวไปก็คือ.... "ชิงช้าสวรรค์ที่ไม่ได้มาตรฐาน" เนื่องจากมีคนเห็นกันจะๆ และออกข่าวใหญ่โต อาจจะเป็นเพราะมีคนที่เห็นเหตุการณ์อยู่เป็นจำนวนมาก เลยไม่สามารถเอาดินกลบเรื่องราวที่มีคนตายได้อย่างที่แล้วๆ มา ...... คุณพ่อของดิฉันเล่าให้ฟังว่า มีครอบครัวหนึ่งพาลูกมาเที่ยวที่สวนสนุกแห่งนี้ แล้วก็พาลูกไปนั่งชิงช้าสวรรค์เพื่อชมวิวด้านบน ขอออกนอกเรื่องนิดนึงนะคะ.... เมื่อก่อนดิฉันก็ชอบนั่งชิงช้าสวรรค์เวลามีงานวัดแถวบ้านเช่นกัน ซึ่งกว่าจะอ้อนวอนและขู่เข็ญให้คุณพ่อพาขึ้นชิงช้าสวรรค์ได้ ก็นานพอสมควร และคุณพ่อก็มักจะล็อคตัวดิฉันเอาไว้ไม่ให้กระดุกกระดิกไปไหน พลางชี้ให้ดูเหล็กที่เชื่อมกับตัวชิงช้าที่มัน "งอๆ" ให้ดู.... แต่แหม...เด็กๆ มันจะไปคิดอะไรได้ จริงไม๊คะ ll ที่คุณพ่อกลัวชิงช้าสวรรค์....ก็เพราะสาเหตุมาจากเรื่องราวของ "สวนสนุกแฮปปี้แลนด์" นี่แหล่ะค่ะ ทำให้ฝังใจจนไม่กล้าให้ดิฉันนั่ง เข้าเรื่องกันต่อค่ะ......หลังจากที่ครอบครัวนี้ขึ้นไปนั่งบนชิงช้า สวรรค์มรณะแห่งนี้แล้ว....ทุกคน รวมถึงคนอื่นๆ ที่นั่งกระเช้าใกล้ๆ กันก็ไม่รู้เลยว่าจะมีเหตุการณ์สยดสยองเกิดขึ้น...... เมื่อ...กระเช้าชิงช้าแห่งนี้หมุนขึ้นไปได้ซักพักหนึ่ง เด็กคนนั้นก็ดีใจตามประสาเด็ก...ที่ตื่นเต้นกับวิวจากมุมสูงด้านบน ซักพัก...เด็กคนดังกล่าวก็ชะโงกศีรษะออกมาจากด้านนอกชิงช้า....โดยที่ไม่ได้ ระวังตัวเอง ซึ่งผู้ปกครองเองก็คงจะชะล่าใจไม่ทันระวังตัว (หรืออาจจะห้ามไม่ทัน) ทันใดนั้น !!.... ศีรษะของเด็กคนนั้นก็ขาดกระเด็น ตกลงมายังเบื้องล่าง... ท่ามกลางความตกตะลึงของผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด (คาดว่าน่าจะโดนส่วนใดส่วนหนึ่งของเหล็กของชิงช้าสวรรค์ตัดคอ) หากจะโทษว่าเป็นความผิดของสวนสนุก...ก็น่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ไม่ทำกระเช้าให้มิดชิด ไม่ให้มีชิ้นส่วนใด ของร่างกายสามารถยื่นออกมาได้ ดิฉันเองไม่แน่ใจว่ามีประมาณ 2 รายหรือเปล่า ที่เสียชีวิต (อันนี้ต้องกลับไปถามคุณพ่ออีกที) แต่ก็เป็นที่กล่าวขวัญกันของของแถวๆ นั้นค่ะ ว่าได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กๆ ในตอนกลางคืน และยังคงได้ยินกันมาตลอดหลังจากที่สวนสนุกแห่งนี้ปิดตัวลง ซึ่งเป็นเวลานานพอสมควร กว่าที่แห่งนั้นจะมีคนซื้อไปทำหมู่บ้านจัดสรร และสิ่งก่อสร้างอื่นๆ (แต่ตอนนี้ไม่ได้ยินแล้วมั้งคะ คนเยอะออกขนาดนั้น) สุดท้ายนี้ขอให้เพื่อน ๆ ที่ได้เข้ามาอ่านเรื่องนี้ตั้งจิตอธิษฐาน อุทิศส่วนกุศล ให้วิญญาณกับเด็ก ๆ ทั้งหลายเหล่านั้น ทั้งที่ไปเกิดแล้วก็ดี และยังไม่ได้ไปเกิดก็ดี ขอให้วิญญาณทั้งหลายเหล่านั้นได้พบหนทางแห่งความสว่าง และหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งมวลด้วยเทอญ สาธุ~ ปล. ใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาทนะคะทุกคน (นอนหลับฝันร้ายค่ะ แฮ่ๆ) บรื้อ~~~ เครดิต FW Mail ครับ...

อาถรรพ์ ทำไมใครๆ ก็พากันต้องตายในห้องเลข305

ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ กรุงเทพฯ 22 พ.ค.-หนุ่มใหญ่เสพยาเกินขนาด เสียชีวิตคาห้องพักย่านอ่อนนุช ตำรวจคาดเสียชีวิตมาแล้ว ไม่ต่ำกว่า 3 วัน นายเกียรติศักดิ์ กิตติโฆษน์ อายุ 39 ปี อาชีพคนขับรถ แท็กซี่นอนเสียชีวิตอยู่ในห้องพักเลขที่ 305 จุฑาแมนชั่น ตรงข้ามซอยอ่อนนุช 35 ที่เกิดเหตุพบสายยาง ซึ่งเป็น อุปกรณ์เสพยาตกอยู่ ตำรวจจึงสันนิษฐานว่า ผู้ตายอาจเสพยาเกินขนาดจนเสียชีวิต ทั้งนี้ ในห้องพักยังล็อกกลอนจากด้านใน ทำให้ตำรวจตัด ประเด็นชิงทรัพย์ทิ้ง เบื้องต้นได้ส่งศพไปชันสูตรที่สถาบัน นิติเวช โรงพยาบาลตำรวจแล้ว.-สำนักข่าวไทย อัพเดตเมื่อ 2009-05-22 03:09:26 คืออย่างนี้ครับ ไอ้ข่าวนี้มันเกิดขึ้นใกล้ตัวผมมาก เพราะผมอยู่ห้องตรงข้ามกับมัน ซึ่งวันที่เค้ามาเอาศพเหม็นมากครับแล้วทีนี้เลยลองมาหาข้อมูลในเนทว่าเค้าหน้าตายังไง คนไหนแต่ไม่ปรากฏหลักฐานแต่ดันไปรู้ข้อมูลที่น่าตกใจไปมากกว่านั้น คือ ผมใช้กูเกิ้ลค้นหาคำว่า "ตาย ห้อง305" ซึ่งมีหน้าที่แสดงขึ้นมามากมาย แต่ล้วนเป็นข่าวคนตายในห้อง305ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็รามอินทรา ลาดพร้าว มีนบุรี ต่างจังหวัดก็มี สาเหตุการตายก็เกิดจาก ฆ่ากันเสียเป็นส่วนมาก ไม่เชื่อ ลองเสิร์ชดูสิครับ แล้วการตายที่ว่าจะเกิดจากการทำตัวไม่ดีทั้งสิ้น ทั้งมีกิ้ก เสพยา ปล้น นอกจากห้องพักแล้วบ้านเลขที่ 305 ก็ยังมีคนตายอีกเป็นจำนวนมาก "ทำไมใครก็พากันต้องตายในห้อง305" ผมจึงเกิดความคิดขึ้นมาว่าถ้าเราค้นหาจนครบ จะมีคนตายในห้อง 305 จากแมนชั่น อพาร์ทเม้นต่างๆ กี่คน แล้วทำไมต้องตายเฉพาะเลข 305 นี้ ผมลองค้นหาเลขอื่นเช่น 306 307 408 409 สารพัด กลับไม่มีหรือมีก็น้อยมาก จากการวิเคราะห์ด้วยหลักฮวงจุ้ยของจีน เลข 305 แปลว่า ไม่ --เกิด 3 แปลว่าเกิด 5 แปลว่าไม่ รวมแล้วคือ ไม่เกิด นั่นก็คือ "ตาย"นั่นเอง ผมไปค้นหาต่อถึงข่าวอาชญากรรมต่างประเทศ มีเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับ 305 อีกมากมาย เช่นจำนวนคนตายในเหตุวินาศกรรม เลขทะเบียนรถที่ใช้ระเบิด เที่ยวบิน305 ที่ตกในเนปาล ขนาดภราดรไปพักโรงแรมห้อง 305 ไฟยังไหม้เลย และจากข้อมูลเหล่านี้ยิ่งทำให้ผมต้องค้นหาสาเหตุของมันต่อไปอีก ผมนำ 3 + 5 = 8 เลข 8 ถ้าเรากลับตัวมัน จะเป็นเครื่องหมาย อินฟินิตี้ ที่แปลว่า ไม่มีที่สิ้นสุด นั่นหมายถึง 305 จะก่อให้เกิดความตายอย่างไม่มีที่สิ้นสุด พระที่วัดลาดปลาเค้าท่าน ให้ความรู้มาว่า เลข 305 เกี่ยวข้องกับตำราโหราศาสตร์พม่า เป็นเลขที่ถูกสาปแช่งให้วิบัติ ใครที่เกี่ยวข้อง กับเลขนี้ต้องหายนะมานานนับร้อยๆ ปี เพราะวันที่! พม่าแพ้สงครามไทยนั้นเกิดขึ้น วันที่ 30 เดือน 5 พม่าแค้นมากจึงลงเลขยันต์ตัวนี้ใส่ไว้ใต้ฐานเจดีย์ ท่านบอกว่า 305 เป็นเลขผี เลขไม่มงคล เหมือ 13 ของฝรั่ง เลขไทยมีแต่รู้กันว่า 9 ดี 1 ดี แต่ไม่มีใครรู้ว่า 305 นั่นไม่ดี ท่านบอกว่าตอนนี้ใครที่มีความผูกพันธ์ ใกล้ชิดกับเลขนี้ ให้นำแผ่นทองไปติดทับเลข 5 เสีย ให้เหลือ 30 ไว้ จะได้ดีแทน ท่านยังบอกอีกว่า เวลาที่ผีออกมาอาละวาดผู้คน ก็จะออกกันตอน ตี 3.05 เช่นกัน " ระวังเอาไว้นะครับ 305 " ผมเตือนคุณแล้ว

สัมผัสที่ 6 ตามวันเกิด

สงสัย ไหมว่าทำไมบางคนถึงเห็นผี และเห็นบ่อยซะด้วย แต่บางคนก็ไม่เคยแม้แต่จะเจอ ลบหลู่ขนาดไหนก็ไม่เจอ ลองอ่าน นี่แล้วอาจจะเข้าใจมากขึ้น...แต่อ่านแล้วต้องใช้สติในการตัดสินใจนะครับ

1.เกิด วันอาทิตย์ ช่วง ไหนที่คุณเจ็บป่วย ไม่สบาย หรือไม่ก็อ่อนแอทางจิตใจ ให้หลีกเลี่ยงที่จะใกล้ชิดกับผู้หญิงที่กำลังตั้งท้อง เพราะพลังอะไรบางอย่างที่ลึกลับ อาจจะทำให้คุณเห็นผี หรือ วิญญาณ ได้

2.เกิด วันจันทร์ สำหรับ คุณแล้ว จะส่องกระจกน่ะส่องได้ แต่อย่าส่องหลังเวลาเที่ยงคืนถึงเช้า โดยเฉพาะในกระจกร้าว และถ้าได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ หรือเสียงเรียกเวลาค่ำคืน อย่าพูดทัก หรือขานตอบ เพราะนั่นอาจจะเป็นเสียงที่ทวงถามวิญญาณของคุณก็ได้

3.เกิด วันอังคาร คน เกิดวันอังคารลำบากกว่าคนเกิดวันอื่นเสียแล้ว เพราะคุณไม่ควรเข้าห้องน้ำนอกบ้าน ถ้าไม่มีธุระ คุณควรจะอยู่ให้ห่างจากห้องน้ำที่ไม่น่าไว้ใจเอาไว้ เพราะอาจมีบางอย่างแอบติดตามคุณออกมา หรือปรากฏให้คุณเห็น

4.เกิดวัน พุธ คุณ ไม่ควรไปงานศพ เพราะอาจจะมีวิญญาณติดตามตัวคุณกลับออกมา แต่ถ้าหากว่าเป็นงานที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หลังจากที่กลับมาจากงานศพแล้ว ให้รีบอาบน้ำก่อนเที่ยงคืน และถ้าจะให้ดีน้ำที่อาบควรเป็นน้ำว่าน

5.เกิด วันพฤหัส

ใน ยามวิกาล มืดๆ อย่ามองไปที่หัวบันได เพราะคุณอาจจะมีอะไรบางอย่างปรากฏให้คุณเห็นที่ตรงนั้น หากว่าได้ยินเสียงแป ลกๆ คล้ายๆ กับเรียกชื่อคุณ อย่าขานตอบ ให้ก้าวเท้าถอยหลัง 1 ก้าว แล้วเสียงนั้นจะหายไป

6.เกิดวันศุกร์ เคย ได้ยินหรือเปล่าว่าธาตุน้ำ อาจจะเป็นเหมือนประตูเชื่อมระหว่างโลกมนุษย์ กับ โลกวิญญาณ ดังนั้น คนที่เกิดวันศุกร์อย่างคุณควรหลีกเลี่ยงการเดินทางทางน้ำ

7.เกิดวัน เสาร์ ศาล พระภูมิ คือ สิ่งต้องห้ามสำหรับคนเกิ ดวันเสาร์ ไหว้ เคารพ ได้ แต่อย่ามองจ้อง หากได้ยินเสียงหมาเห่า หอน เกรียวกราว ใกล้ๆ ตัว นั่นอาจแปลได้ว่าคุณกำลังโดนติดตามโดยภูตผี วิญญาณ

ห้องน้ำผีสิง

"ดาวนิล" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากห้องเช่าเมื่อสิบปีเศษมาแล้ว ดิฉันเป็นรีเซฟชั่นที่โรงแรมระดับ 3 ดาวอยู่แถวประตูน้ำ มีแขกทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยว ถ้าเข้ากะเย็นก็ไปเลิกตีสอง ค่อนข้างเหนื่อยและปวดหัวกับแขกขี้เมา ส่วนมากจะอยู่ในคอฟฟี่ช็อป แม้ว่าจะมีกัปตันคอยดูแลก็จริง แต่หลายครั้งก็เดือดร้อนมาถึงดิฉันเข้าจนได้ ตอนหัวค่ำยังไม่เท่าไหร่ แต่พอเลย 4-5 ทุ่มแล้วซิคะ แขกหลั่งไหลเข้ามาแน่น โดยเฉพาะคืนศุกร์เสาร์ พอรู้ว่าเมามาจากที่อื่นก็มี เพิ่งออฟสาวจากผับย่านนั้นมาก็มี ขนาดมาจากโรงนวดแล้วก็ไม่น้อย แต่หลายๆ โต๊ะก็มาสนุกเฮฮากันเป็นขาประจำ ส่วนมากเมาแล้วมักชอบเจ๊าะแจ๊ะกับเด็กเสิร์ฟ ประเภทปากเปราะก็พูดสองแง่สองง่าม บางทีก็ล่วงเกินมาถึงดิฉัน เราทำงานแบบนี้นะคะ จะหงุดหงิดหรือรำคาญใจแค่ไหนก็ต้องยิ้มไว้ก่อน "น้องตูน" เป็นเด็กเสิร์ฟใหม่ อายุ 20 ต้นๆ ขาวสวย หุ่นดี พวกแขกไม่ว่าหนุ่มหรือแก่ก็คอยแทะโลมเป็นประจำ หรือไม่ก็แซวแบบคะนองปาก ถ้าลามปามจนทำท่าว่าจะล้ำเส้น ดิฉันก็จะเข้าไปปกป้องน้องตูนไว้ก่อน ทำให้เธอซาบซึ้งมากๆ ขอบคุณน้ำตาคลอเชียว วันหนึ่งเกิดเหตุการณ์กลับตาลปัตร..น้องตูนเป็นฝ่ายช่วยเหลือดิฉัน ราวกับจะเป็นโอกาสให้เธอได้ตอบแทนน้ำใจ โดยที่เราต่างก็ไม่ได้คาดคิดมาก่อนเลย ดิฉันเวียนหัวมาตั้งแต่หัวค่ำ อาจเป็นเพราะความดันเลือดต่ำทำพิษก็ได้ ต้องเข้าไปนอนพักในห้องพนักงานด้านหลังเคาน์เตอร์ โชคดีอย่างที่คืนวันพุธแขกน้อยกว่าวันอื่นๆ เป็นธรรมดาอยู่แล้ว ฝืนใจออกมาช่วยดูแลแขกตอนใกล้สองยาม แต่ไม่ช้าก็เกิดวิงเวียนอีก อยากจะขึ้นแท็กซี่กลับบ้านที่ดินแดงก็สองจิตสองใจ กลัวว่าจะไปเป็นอะไรกลางทางละแย่เลย! พอตีหนึ่งกว่า น้องตูนก็ไปบอกรองผู้จัดการว่าขอพาดิฉันไปหาหมอก่อน..แต่เมื่อขึ้นรถออกมาเธอก็พาดิฉันไปห้องพักแถวหน้าอินทรานั่นแหละค่ะ บอกว่าให้นอนค้างห้องเธอจนกว่าจะทุเลา ดิฉันถามว่าทำไมต้องโกหกด้วย คำตอบของน้องตูนก็คือ "ถ้าไม่บอกว่าพี่ดาวอาการหนักจนต้องพาไปหาหมอ มีหวังแกไม่ให้เราลางานแน่ๆ เลยค่ะ" น้องตูนเช่าห้องอยู่คนเดียว ดูสะอาดสะอ้านพอใช้ เธอเอาชุดลำลองมาให้เปลี่ยน ช่วยเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ด้วย คนเราจะเห็นใจกันก็ยามป่วยไข้นี่แหละค่ะ! ดับไฟแล้วก็เข้านอนด้วยกัน..ขณะที่กำลังเคลิ้มๆ ดิฉันก็ได้ยินเสียงสะอื้นมาเข้าหู ตอนแรกคิดว่าเสียงลมที่ดังผ่านหน้าต่างมุ้งลวดเข้ามา แต่เมื่อนิ่งฟังก็แน่ใจว่ามันดังอยู่ในห้องนั่นเอง..เดี๋ยวที่ห้องน้ำ เดี๋ยวหน้าประตูและมุมห้อง ไม่รู้ว่าของจริงอยู่ที่ไหนกันแน่? อากาศในฤดูฝนเย็นยะเยือก หันมองน้องตูนก็เห็นหลับสนิท ระบายลมหายใจสม่ำเสมอ ดิฉันเลยพลิกตัวนอนตะแคง สองมือซุกอกในท่าสบาย..เสียงประหลาดก็ดังขึ้นอีกแล้วค่ะ คราวนี้เป็นเสียงอาบน้ำ! เสียงซู่ซ่าดังชัดเจน ไม่ใช่หูแว่วเด็ดขาด!! ดิฉันตัดสินใจลุกมานั่งจ้องไปที่ประตูห้องน้ำ มันปิดสนิทก็จริง แต่เสียงตักน้ำราดเนื้อตัวยังดังไม่หยุด เอาละซี! ไม่ใช่ฝัน แต่เป็นของจริงแน่ๆ จะว่ากลัวก็กลัว จะว่ากล้าก็กล้าค่ะ..อาจจะเป็นเพราะมีน้องตูนนอนอยู่บนเตียงทั้งคน ตั้งแต่เข้าห้องมาก็ไม่ได้เปิดประตูออกไปรับใครซักคนนี่นา..แล้วใครมาอาบน้ำล่ะ? ตัดสินใจกดสวิตช์ไฟ เปิดประตูห้องน้ำผาง.. ท่ามกลางแสงสว่างเยือกเย็นนั้น มีแต่ความว่างเปล่า พื้นห้องก็แห้งสนิท..เล่นเอาม่านตาพร่าพรายอย่างช่วยไม่ได้ ปากคอแห้งผากไปหมดเลยค่ะ ตอนที่ถอยกลับมาที่เตียงโดยไม่ยอมปิดไฟ คุณพระช่วย! เพียงแต่ล้มตัวลงนอน ชักผ้าห่มขึ้นมาคลุมถึงอกเท่านั้น เสียงสะอื้นก็ดังขึ้นอีกแล้ว! ห้องนั้นดูสว่างขึ้นกว่าเดิม กลั้นใจมองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นอะไรเลย..น้องตูนก็ยังหลับสนิทจนน่าอิจฉา อยากจะปลุกขึ้นมาถามเหลือเกินว่าห้องนี้มีอะไรแน่? แต่ก็เกรงใจน้องที่กำลังนอนหลับอย่างผาสุก เสียงสะอึกสะอื้นคร่ำคราญหายไป..เสียงอาบน้ำซู่ซ่าดังขึ้นแทนที่! ดิฉันอ้าปากค้าง..ทั้งๆ ที่ประตูเปิดแง้ม ไฟยังสว่างโพลงตามเดิม โอย..ทนไม่ไหวแล้วค่ะ! "ตูนๆ" ต้องเขย่าแขนสาวน้อยให้ตื่นจนได้ เธอถามเสียงงัวเงียว่าอะไรคะพี่? ดิฉันยังไม่ทันตอบ เสียงราดน้ำน่าสยองขวัญก็หายไป แต่พอตูนหลับต่อเสียงซู่ซ่าก็ดังขึ้นมาอีก ดิฉันปลุกตูนขึ้นมาอีกครั้ง เธอคงนึกอะไรขึ้นมาได้ ถามว่าห้องน้ำทำพิษใช่ไหมคะ? แหม! ตูนก็ลืมบอกให้พี่จุดธูปบอกเขาก่อนนอน..แล้วเธอก็จัดการให้ดิฉันจุดธูปบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทาง เสียงต่างๆ ก็เงียบไป..ดิฉันสาบานว่าจะไม่ไปนอนค้างที่นั่นจนชั่วชีวิตเลยค่ะ! คอลัมน์ ขนหัวลุก

คืนเขย่าขวัญ ในแท็กซี่ยามดึก

คืนเขย่าขวัญ ในแท็กซี่ยามดึก "ปารณ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกในแท็กซี่ยามดึก เรื่องผีๆ สางๆ นี่ผมยังไม่กล้าฟันธงว่ามีจริงหรือไม่? แต่ถ้าถามถึงความเชื่อก็พอจะบอกได้ว่า 50-50 ครับ คือใจหนึ่งก็ไม่อยากเชื่อว่าผีมีจริง เพราะโลกเราเจริญขนาดนี้แล้วนี่นา แต่อีกใจก็ยังหวาดๆ เวลาอยู่ในที่เปลี่ยวๆ ตอนกลางคืน บางคนบอกว่า เพราะเรากลัวความมืด เราจึงกลัวผี! แต่บางคนก็บอกว่า ผีเกิดจากมโนคติหรือจิตใต้สำนึกของตัวเองต่างหาก คนเราส่วนมากจะมีจินตนาการเรื่องผี ในที่สุดก็สร้างผีขึ้นมา ทำให้ตัวเองเชื่อว่าผีมีจริง ทั้งหลายทั้งปวงก็แล้วแต่ใครจะเชื่อฝ่ายไหน? แต่ผมเองได้พบกับเรื่องแปลกประหลาดสุดๆ ในตอนดึกคืนหนึ่ง ไม่รู้ว่าสิ่งที่เจอะเจอเข้าอย่างจังๆ จะเป็นภูตผีปีศาจ หรือว่าสมองฟั่นเฟือน ขาดสติสัมปชัญญะไปชั่วครู่เพราะเกิดอุบัติเหตุ คืนนั้น ผมไปงานวันเกิดเพื่อนที่อยู่บริษัทเดียวกัน ที่ร้านอาหารริมถนนตัดใหม่ใต้ทางด่วนเอกมัย - รามอินทรา น่าแปลกอย่างที่เพื่อนๆ ดื่มเหล้าไปแค่ 2-3 แก้วก็จับบทคุยเรื่องผีกันแล้วครับ วิชิตอยู่แถวธัญญะ เล่าถึงกระสือที่วัดพญาปลาว่ามีตัวตนจริงๆ ตอนกลางคืนลอยมากินไก่ชาวบ้านจนเขาดักรอกัน พอเห็นมีดวงไฟเหลืองๆ ลอยมาที่ใต้ถุนบ้านแล้วกลายเป็นคนผิวดำๆ ผมยาวสยาย ก็ช่วยกันล้อมจับ แต่ผีกระสือไวมากจนแหวกวงล้อมไปได้ เพื่อนบ้านคนหนึ่งคว้าได้ท่อนไม้ก็ขว้างใส่ โดนขาจนมันแผดร้องเสียงโหยหวนก่อนจะหนีเตลิดไป...รุ่งขึ้นจึงเห็นหญิงชราผู้หนึ่งเดินลากขามาซื้อของที่ร้านชำ ใครถามก็บอกว่าหกล้มเมื่อคืน แต่ไม่มีใครเชื่อ ยืนยันว่าแกเป็นผีกระสือที่ดอดมากินเป็ดกินไก่ชาวบ้านเป็นประจำ...ในที่สุดก็ขับไล่แกออกไปจากหมู่บ้านจนได้! ต่อจากวิชิต คนอื่นๆ ก็ผลัดกันเล่าเรื่องผีกันอย่างสนุกสนาน...สมานอยู่พระโขนงเล่าว่ามีคนโดนรถชนตายในซอยเมื่อเดือนก่อน...อีกไม่กี่วันก็มีคนเห็นร่างโชกเลือดเดินเปะปะอยู่แถวนั้น หมาหอนโหยหวนทุกคืนจนพากันขนลุกขนพองไปตามๆ กัน หลายๆ คนยืนยันว่าโดนผีหลอกชนิดเต็มตา...ผีที่ตายเพราะโดนรถชนยังเดินวนเวียนอยู่ในซอยหลายวันกว่าจะหายไป บ้านผมอยู่หลังไทยอินเตอร์ มีถนนคดเคี้ยวกับบ้านช่องเยอะแยะ ไม่มีอะไรน่ากลัว แถมยังมี วินมอเตอร์ไซค์อยู่ใกล้ๆ บ้านอีกด้วย ราวสองยามก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ผมนั่งแท็กซี่ก็มานึกถึงเรื่องผีๆ สางๆ ที่เพิ่งได้ฟังมาหยกๆ ถ้าเราไปเจอร่างโชกเลือดในที่เปลี่ยวก็คงสยองน่าดูเหมือนกัน...พอดีรถเข้าซอย...เลี้ยวขวาเลี้ยวซ้ายตามที่ผมบอก ถนนโล่งว่างอยู่ในแสงไฟเยือกเย็น... ทันใดนั้นเอง ร่างดำๆ ก็พุ่งพรวดออกมาจากข้างทาง! "เฮ้ย! ไอ้เห้..." คนขับแท็กซี่ร้องลั่น หักรถหลบวูบแต่คงไม่พ้น เพราะได้ยินเสียงโครม! ผมกระเด็นไปฟาดประตูรถด้านซ้ายเต็มแรง...แสงสว่างดับวูบ โลกทั้งโลกกลายเป็นความมืดมิดราวกับขุมนรกอเวจีในบัดดล สรรพสิ่งเงียบเชียบ...เงียบเหลือเกิน ผมคงจะตายไปแล้ว แต่ไม่มีความเจ็บปวดอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว! ผมพยายามเบิ่งตามองฝ่าความมืดออกไป...แปลก! ไม่ยักมืดมิดเหมือนตอนแรกหรอก แต่เห็นแสงเหลืองๆ จากเสาไฟฟ้าส่องลงมาเยือกเย็น ร่างผมนอนเค้เก้อยู่ในพงหญ้าริมทาง ใกล้ๆ กับรั้วบ้านใครก็ไม่รู้... อ้าว? แท็กซี่คันนั้นล่ะ หายไปไหนแล้ว? เพิ่งนึกออกว่ามีคนตัดหน้า เสียงโครม...รถคงชนหรือไม่ก็หักหลบไปชนเสาไฟฟ้าก็ไม่รู้ เพราะผมหมดสติไปก่อน...ว่าแต่ร่างที่ตัดหน้าไปไหน? คงจะไม่โดนชนละมั้ง? ว่าแต่แท็กซี่คันนั้นน่าจะอยู่ใกล้ๆ ผมนะ ทำไมถึงได้พลอยหายเงียบไปด้วย? ทั้งเงียบเชียบและเปล่าเปลี่ยวเหมือนตกอยู่ในโลกร้างไม่มีผิด! ผมพยุงกายลุกขึ้นยืน...เอ๊ะ! ไม่ได้เจ็บปวดหรือเป็นอะไรมากนี่นา หัวไม่ได้แตกแข้งขาก็ไม่ได้หัก มองเห็นมะขามใหญ่จากที่ว่างแผ่กิ่งก้านสาขาออกมานอกรั้ว...คลุมมาถึงเพิงแท็กซี่ในหมู่บ้านที่ผมจำได้ดี ปกติเคยเห็นพวกวินมอเตอร์ไซค์จับกลุ่มคุยกัน รถที่จอดอยู่ก็มีหมวกกันน็อกสีขาวทุกคัน แต่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่เลย รถราก็ไม่เหลือแม้แต่คันเดียว อ้อ! ดึกดื่นป่านนี้แล้วนี่นา...ผมเดินไปที่เพิ่งร้าง ดูเปล่าเปลี่ยวและเงียบเชียบว่าจะนั่งพักเอาแรง กำลังสำรวจร่างกายให้แน่ใจว่าไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ พลางนึกถึงแท็กซี่คันนั้น... ให้ตายเถอะ! เขาไม่น่าจะทิ้งผู้โดยสารไว้ข้างถนนแบบนั้นนี่นา ใจดำชะมัดเลย! แต่...นรกเถอะ! นั่นอะไรที่อยู่บนเพิงไม้เตี้ยๆ แคบๆ มีผ้าใบเก่าๆ คลุมเป็นหลังคาอยู่ใต้กิ่งใบมะขามร่มครึ้มน่ะ? ถึงแม้จะเป็นภาพสลัวๆ ก็ยังเห็นได้ชัดว่าเป็นหญิงชายคู่หนึ่งที่กำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอย่างลืมตัวลืมตาย...ผมชะงัก เกือบเป็นพริบตาเดียวกับที่ร่างทั้งสองลุกพรวดพราดขึ้นมาหันมองจนผมตกใจ ผงะหน้า ร้องอุทานออกมาอย่างไม่รู้ตัว คราวนี้โลกทั้งโลกแตกเป็นเสี่ยงๆ ทันที เมื่อมองเห็นใบหน้าแหลกยับเปรอะเลือดของหญิงชายคู่นั้น ตามลำคอและทรวงอกก็เต็มไปด้วยเลือด...เลือด และเลือดทั้งนั้น! "เฮ้ย! อะไรกัน..." ผมร้องตะโกนสุดเสียง ม่านตาลายพร่าด้วยความหวาดกลัวสุดขีด พลันได้ยินเสียงปนหัวเราะ...ไม่เป็นไร ผมหลบไอ้บ้านั่นทันพอดี! คราวนี้กะพริบตาถี่ๆ มองเห็นคนขับแท็กซี่หันมายิ้มฟันขาว...ผมตกตะลึงไปหมด เหลียวซ้ายแลขวางุนงงก็พบว่าตัวเองยังนั่งอยู่ในรถแท็กซี่ตามเดิม...แสงไฟส่องลงมาเห็นเพิงว่างเปล่าใต้ร่มเงามะขามพอดี ลงจากแท็กซี่หน้าบ้าน ขาสั่นระริกพอๆ กับหัวใจที่ยังเต้นระทึก...ไม่รู้ว่าสิ่งที่เห็นเป็นผีจริงๆ หรือเป็นเพียงภาพหลอนเท่านั้น แต่นึกถึงแล้วขนหัวลุกทุกทีเลยครับ!

โค้ง....ผีเฮี้ยน

แก้วตา วงศ์หน่อแก้ว เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากโค้งผีสิง ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าจะพบเห็นเกี่ยวกับเรื่องราวของผีๆ สางๆ อยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่เคยมีครั้งไหนจะชวนให้น่าสยดสยองพองขนเหมือนครั้งนี้มาก่อนเลย เรื่องมีอยู่ว่า เพื่อนร่วมงานของพี่สาว ขอสมมติว่าชื่อแหม่มได้มาเที่ยวบ้านที่ อ.แม่ทา จ.ลำพูน พูดคุยกันเพลิดเพลินจนถึงประมาณ 3 ทุ่มจึงได้ขี่มอเตอร์ไซค์กลับบ้านซึ่งอยู่ห่างกันหลายกิโลเมตร... เป็นทางเปลี่ยวและค่อนข้างอันตรายอยู่ แต่พี่เขาบอกว่าไม่เป็นไร เวลาประมาณ 3 ทุ่มครึ่ง พี่แหม่มโทร.หาพี่สาวข้าพเจ้า แต่ไม่ได้ยินเสียงเรียกเข้า พอพี่เขาดูแล้วก็บอกว่าเพื่อนคงจะกลับถึงบ้านแล้ว จึงโทร.กลับไปถามให้แน่ใจ...ที่ไหนได้ล่ะ มีเสียงตอบมาว่ายังไปไม่ถึงไหนเลย เกิดประสบอุบัติเหตุนิดหน่อยอยู่ใกล้ๆ นี่เอง อารามเป็นห่วง เราเลยรีบพากันออกตามหา โดยไม่นึกเลยว่าพี่แหม่มจะไปรถแฉลบล้มตรงบริเวณที่เรียกกันว่า "ผีเฮี้ยน" แต่กว่าจะหากันพบเราต้องโทร.ถึงกันตลอดเวลา...พี่แหม่มดีใจมากที่เห็นหน้าพวกเรา บอกว่ายังไม่มีใครเห็นเลยแม้แต่คนเดียว คนที่ขับรถผ่านมาก็ไม่เห็น...ขับเลยไปหมดทุกคน! ข้าพเจ้ากับพี่สาวมองหน้ากันอย่างงุนงง เพราะเราขับรถวนหาพี่แหม่มถึงสามรอบด้วยกัน...คือรอบแรกที่ผ่านตรงนั้น ข้าพเจ้าเป็นคนมองหา ส่วนผีสาวเป็นคนขับรถ ข้าพเจ้ามองเห็นพี่แหม่มเป็นกองผ้ากองหนึ่งเท่านั้น ครั้นบอกให้พี่สาวกลับรถและโทร.หาอีก พี่เขาก็บอกว่าเพื่อนนอนอยู่ข้างๆ ทางใกล้กับหลักกิโลเมตร รอบที่สอง ข้าพเจ้าก็ให้พี่สาวขับต่อ ส่วนตัวเองมองหาอีกครั้ง ปรากฏว่าคราวนี้เห็นแต่หมวกกันน็อก ก็ยังขับเลยพี่แหม่มไปอีก ข้าพเจ้าเลยบอกพี่สาวให้กลับรถไปยังที่ที่เห็นหมวกกันน็อก ปรากฏว่าได้เจอพี่แหม่มในรอบที่สามนี้เอง! พี่แหม่มนอนอยู่ข้างทางแท้ๆ แต่ไม่มีใครเห็นเลย คิดแล้วน่าประหลาดใจจริงๆ เรื่องแบบนี้คนทางภาคเหนือเขาเรียกว่า "ปีกุ๋ม" คือมันต้องการพวกเพิ่มจนบังตาไม่ให้เราหาเจอ บริเวณนั้นค่อนข้างมืดสลัว พี่สาวรีบเข้าไปประคองศีรษะเพื่อนแล้วเรียกให้ได้สติ พอดีมีรถมอเตอร์ไซค์อีกคันผ่านมา... ตอนแรกเขาเลยไปแล้ว แต่แฟนเขาคงบอกให้จอดช่วยเพราะเห็นว่าเรามีแต่ผู้หญิงสามคนเท่านั้น...เมื่อเขาเลี้ยวรถกลับมา ข้าพเจ้าจึงให้เขาช่วยหันหน้ารถ เพื่อให้ไฟตรงรถของพี่สาวเพื่อเอาพี่แหม่มขึ้นมา หนุ่มสาวคู่นั้นบอกว่าจะไปบอกตำรวจให้นะ...แล้วพี่สาวก็พาเพื่อนไปส่งโรงพยาบาล ส่วนข้าพเจ้าก็เป็นหน่วยกล้าตายยืนเฝ้ารถให้พี่แหม่ม... จนกระทั่งรถตำรวจมาถึง...คุณพระช่วย! ทั้งที่ข้าพเจ้าใส่เสื้อขาวและจูงรถไปรออยู่ตรงหน้าปั๊มลูกทุ่ง แถมโบกมือเรียกแต่ตำรวจกลับมองไม่เห็น เล่นเอาขนลุกเกรียว! นี่มันเกิดอะไรขึ้นแน่! ยังดีที่เขาย้อนกลับมาอีกครั้ง คราวนี้มองเห็นและพาไปอยู่ที่ป้อมตำรวจ รอจนกระทั่งหลานชายมารับข้าพเจ้า ครั้นกลับถึงบ้านก็ยังใจสั่นจนนอนไม่หลับ...นึกได้ว่าอารามตกใจ รีบไปตามหาพี่แหม่ม ข้าพเจ้าและพี่สาวจึงไม่ได้ห้อยพระ...พอนึกได้ก็เลยลุกขึ้นหาพระมาห้อยคอ จิตใจสับสนวุ่นวายเพราะเป็นห่วงพวกพี่ๆ จึงตัดสินใจออกไปยืนรอที่หน้าบ้าน... ทันใดนั้น เจ้าแต้ม-หมาแสนรู้ก็ปราดออกจากใต้ถุนไปยืนเห่าอะไรเบาๆ ก่อนจะเงียบเสียง ตัวแข็งทื่อ จ้องมองไปทางประตูรั้ว เล่นเอาเย็นวาบไปทั้งตัว! วิญญาณร้ายคงจะตามมาด้วยความโกรธแค้น ที่เราขัดขวางจนมันเอาพี่แหม่มไปอยู่ด้วยไม่สำเร็จ รุ่งขึ้นคือเช้าวันจันทร์ แฟนพี่เขาก็พาพ่ออุ๊ยแม่อุ๊ย (คนแก่เฒ่า) มาช้อนขวัญตามประเพณีทางเหนือ แล้วเลี้ยงเจ้าที่ ลาบ แกงอ่อม บุหรี่ ฯลฯ จิตใจของแต่ละคนจึงค่อยๆ ดีขึ้น...ข้าพเจ้าก็เลี้ยงผีที่หน้าบ้านด้วย...เชิญวิญญาณที่ตามมาให้กลับไปที่เดิม เมื่อพี่แหม่มอาการทุเลาลงจึงถามว่า ทำไมเอารถไปตกตรงนั้น? พี่แหม่มบอกว่าจู่ๆ ไฟหน้ารถก็ดับเอง แล้วรถก็ไถลไปตามทางนั้น...จะลุกก็ลุกไม่ไหวจึงโทร.หาพี่สาวข้าพเจ้า ตอนที่คุยกันครั้งแรก พี่สาวเปิดลำโพงปรากฏว่ามีเสียงแทรกเข้ามา...มาทั้งเสียงเด็ก, ผู้หญิง, หนุ่ม, แก่ มีหมด แต่พี่แหม่มบอกว่าไม่มีใครเลย แล้วมันเป็นเสียงใครล่ะถ้าไม่ใช่เสียงผี? เพราะเราแยกได้ว่าเป็นเสียงใครบ้าง แต่จับใจความไม่ได้ว่าเขาพูดอะไรกัน? ที่แน่ๆ ก็คือ...มันไม่ใช่ภาษามนุษย์ค่ะ! แต่ที่หาพี่เขาเจอเชื่อว่าเป็นเพราะข้าพเจ้าเกิดวันพฤหัสบดี พี่สาวเกิดวันอาทิตย์ รวมกันแล้วจึงแรงกว่าอำนาจผี ทำให้เราหาพี่แหม่มจนเจอ... ตั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้าไม่กล้าผ่านถนนสายนั้นอีกเลย สุดท้ายนี้ขอขอบพระคุณหลานชาย-หญิงคู่นั้นมากที่ช่วยเอารถขึ้น และไปช่วยบอกตำรวจให้... แต่ที่น่ากลัวมากๆ ก็คือ หากวันนั้นเราหาพี่แหม่มไม่เจอจะเป็นยังไง? คิดแล้วขนหัวลุกค่ะ! ขอขอบคุณข้อมูลจาก

ผีในหอพัก

ความจริงผีก็มีอะไรคล้ายๆ คนเรานี่เองเพียงแต่มักจะฝังใจในการทำอะไรสักอย่าง เพราะไม่รู้ว่าควร จะทำอะไรต่อไป ในหอพักเก่าแก่แห่งหนึ่งในลอนดอนประเทศอังกฤษ นักศึกษาชายคนหนึ่งถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา เวลาตีสอง ในคืนวันหนึ่ง เพราะมีเสียงก้าวเดินหนักๆ จากห้องครูใหญ่ ทีละก้าวทีละก้าวช้าๆ ไปตามทางเดิน ผ่านห้องของเขา ตรงไปหยุดยังห้องน้ำอีกด้านหนึ่ง นักศึกษาผู้นั้นไม่สนใจว่าเป็นเสียงอะไรเขาเข้านอนต่อทันที คืนต่อมาเวลาตีสองเช่นเดิม ก็มีเหตุการณ์ทำนองเดียวกันเกิดขึ้นอีก คราวนี้เขาไม่คิดว่าเขาดูหนังสือมาก จนเพลีย เพราะเสียงนั้นดังชัดมากในความเงียบสงัด เหตุการณ์เกิดขึ้นเหมือนเดิมเปี๊ยบ จนไม่น่าเชื่อว่าจะมีใครมา เข้าห้องน้ำในลักษณะเดียวกัน ในเวลาเดียวกัน โดยบังเอิญขนาดนี้ เขาอดถามครูใหญ่ในเช้าวันรุ่งขึ้นไม่ได้ว่า ครูใหญ่ ไปห้องน้ำในเวลาตีสองหรือ เปล่าคำตอบจากครูใหญ่คือ เปล่าเลย คำตอบนี้ทำให้นักศึกษาหนุ่มขน ลุกเกรียว แต่ก็ยัง ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ อย่างนั้น โดยเฉพาะเขาเองก็เป็นคนหัวสมัยใหม่อย่างนี้ คืนที่3 นักศึกษาหนุ่มก็ตัดสินใจว่า ถ้ามีเสียงเดินอีก เขาจะออกไปดูให้ได้ว่า ใครทำเช่นนั้น หลังจากดื่มกาแฟ แก่ๆ ไปหลายแก้ว แทนที่จะตาค้าง เขากลับผลอย หลับไปง่ายๆ มาตกใจตื่นขึ้นอีกครั้งเวลาตี 2 พอดี พร้อมๆ กับ ที่ได้ยินเสียงคนเดินเช่น 2 คืนที่ผ่านมา เขากระโจนออกจากเตียงทัน ทีเปิดประตูผาง แล้วยื่นศรีษะออกไปนอกห้อง มองไปยังประตูห้องครูใหญ่ ทางเดินทั้งสองข้างและประตูห้องน้ำ เขาไม่พบใครเลย แต่น่าประหลาดเสียงนั้น ยังคงก้องเหมือนมีใครกำลังเดินผ่านเขาไปยังประตูห้องน้ำ เหมือนเช่นเคยเสียงนั้นหยุดลงที่หน้าประตู เหมือนทุกคืน ที่ผ่านมา ชายหนุ่มตัวชาไปหมด เขากลับเข้านอน แต่คืนนั้นทำอย่างไร ก็ไม่สามารถหลับลงได้ เช้าวันรุ่งขื้นเขาจึงพยายามไต่ถาม จากที่ต่างๆ เพื่อแสวงหาความจริง จนพบว่าเมื่อ 14 ปีที่แล้ว มีครูใหญ่ คนหนึ่งตายในห้องน้ำ ห้องนั้น เขาฆ่าตัวตายด้วยการ แขวนคอ !!! น่าเสียดายที่ไม่มีใครพยายามช่วยเหลือ ท่านครูใหญ่ผู้น่าสงสาร ให้หลุดพ้น จาก วงเวียนกรรม ไม่มีใครช่วยชี้ทางออกให้ ท่านจึงยังคงต้องเดินจากห้องเดิมที่ท่านเคย อยู่ เดินไปยังห้องน้ำด้วยฝีเท้าหนัก ๆ เพื่อพบตัวเองแขวนคออยู่ในนั้นทุกคืน... ทุกคืน คุณคงนึกบ้างแล้วใช่ไหมว่า ถ้าเกิดจะต้องพบ กับประสบการณ์น่าขนลุกเช่นนี้ กับตัวเอง ขึ้นมาจริงๆ คุณจะทำอย่างไร วิ่งหนี อยู่สู้ พูดกับผี หรือทำเฉยๆ น่าเสียดายที่ไม่มีใคร เขียนคู่มือการจัดการกับผีขึ้นไว้เสียด้วย แต่ถ้ามีเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นจริงๆ วิธีง่ายๆ ก็คือ ทำใจเย็นไว้ ตั้งสติให้ดีถ้าทำได้ แล้วอย่าลีมว่า ผีก็(เคย)เป็นคน เช่น เดียวกับเรา .

วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555

9 สถานที่แก้บน

การบนบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นสิ่งที่ปฏิบัติมาช้านาน และนี่คือบางส่วนของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนยังคงศรัทธาอยู่เรื่อยมา

วัดมหาบุศย์ (ศาลย่านาค) เรื่องที่บนบาน โชคลาภ, ความรัก, การเกณท์ทหาร วิธีบน จุดธูป 9 ดอก วิธีแก้บน แก้ตามคำกล่าว หรือ ถวายผ้าถุง, ของเล่นเด็ก, พวงมาลัย

วัดมหาบุศย์ ท้าวพรหมเอราวัณ เรื่องที่บนบาน ค้าขาย, การงาน, การเรียน วิธีบน จุดธูป 12 ดอกไหว้ทั้ง 4 หน้า วิธีแก้บน แก้ตามคำกล่าว หรือรำแก้บน

ศาลหลักเมือง เรื่องที่บนบาน ความมั่นคงในหน้าที่การงาน วิธีบน ธูป 3 ดอก, เทียน 1 เล่ม, ผ้าแพร่ 3 สี, ดอกบัว วิธีแก้บน ถวายพวงมาลัย หรือ ผูกผ้า 3 สี

พระเจ้าตากสิน (วงเวียนใหญ่) เรื่องที่บนบาน ค้าขาย, การเรียน, งาน, หนี้สิน, (โดยมากจะเป็นเรื่องค้าขาย) วิธีบน ใช้ธูป 16 ดอก, มาลัยดาวเรือง, มาลัยมะลิดาวเรือง หากขอพรใช้ 9 ดอก วิธีแก้บน แก้บนตามคำกล่าว หรือโดยการนำอาหารมาถวายท่าน ลานพระบรมรูปทรงม้า เรื่องที่บนบาน การเรียน, ขอให้มีสิทธิ์เรียนรักษาดินแดน วิธีบน จุดธูป 16 ดอก, กุหลาบสีชมพู, (บรครั้งแรกจุดธูป 16 ดอก ครั้งต่อไป 9 ดอก) วิธีแก้บน แก้บนตามคำกล่าว หรือนำ น้ำมะพร้าวอ่อน, กล้วยน้ำว้า, ทองหยอด, บรั่นดี, ซิก้าร์ม, ข้าวคลุกกะปิ,กุหลาบชมพู

กรมหลวงชุมพร (เสด็จเตี่ย) เรื่องที่บนบาน ส่วนมากจะเป็นการขอมากกว่าการบน วิธีบน จุดธูป 19 ดอก และกุหลาบแดง วิธีบนแก้บน แก้ตามคำกล่าว หรือ ถวาย กุหลาบแดง, ประทัด, หมากพูล, ผลไม้ ศาลเจ้าพ่อเสือ เรื่องที่บนบาน การค้าขาย, เสริมวาสนาบารมี วิธีบน ธูป 18 ดอก ปีก 6 กระถาง เทียนแดง 1 คู่ มาลัย 1 พวง (หรือถวายเงินเติมน้ำมันตะเกียง) วิธีแก้บน แก้ตามคำกล่าว

พระตรีมูรติ เรืองที่บนบาน เกี่ยวกับความรัก วิธีบน เทียนแดง 1 เล่ม, ธูป (ควรบนตั้งแต่ 09.30 – 21.30 น.) วิธีแก้บน แก้ตามคำกล่าว หรือ น้ำผลไม้, กุหลาบแดง, มาลัยกุหลาบ, ช้าง

วัดหลวงพ่อโสธร เรื่องที่บนบาน การมีบุตร, และโชคลาภ วิธีบน จุดธูป 16 ดอก และพวงมาลัย วิธีแก้บน แก้จามคำกล่าว

ข้อมูลจาก เวป อาถรรพ์แก้บนผี

10 เรื่องสยองขวัญ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

เรื่องที่ 1: ป๊อก ป๊อก ครืด เรื่องผีอันดับหนึ่งของ มหาลัย... ระยะเวลาที่เกิดเหตุการณ์ไม่ทราบแน่ชัดแต่สถานที่เกิดคือ หอหญิง ในสมัยที่มหาลัย ยังเป็นที่รกร้างอยู่มาก ถนนยังเป็นลูกรัง ถนนหน้าฝนเป็นโคลน รถไปมาลำบาก ตอนกลางคืนมืด ไม่มีแสงไฟ เรื่องเกิดกับ นักศึกษาสาว คู่หนึ่งอาศัยอยู่ที่ประมาณ ชั้น 2 หรือ 3 ของหอ ช่วงนั้นเป็นช่วงสอบ นักศึกษาต่างกำลังอ่านหนังสือกันอยู่ นักศึกษาหญิงคนหนึ่งไม่สบาย อ่านหนังสือในห้องตอนหัวค่ำแล้ว รูมเมทชวนไปทานข้าว แต่เพราะเป็นไข้อยู่จึงไปไม่ไหว อยากพักผ่อน พอเมทคนนั้นเห็นเพื่อนไม่สบาย ด้วยความเป็นห่วง จึงบอกว่าเดี๋ยวไปทานข้าวเองก็ได้ แล้วจะห่อข้าวมาฝากเพื่อนคนที่ไม่สบายก็บอกว่า ยังไงฝาก ซื้อลาดหน้า (หรือซักอย่างที่เป็นเส้นๆ) มาให้ทีละกัน กินแล้วจะได้กินยาเมท คนนั้นก็บอกว่าได้ๆ เดี๋ยวจะรีบไปรีบกลับ หลังจากที่เพื่อนออกไปจากห้อง คนที่ไม่สบายก็นั่งอ่านหนังสือต่อ อ่านได้ซักพักก็ไม่ไหว เพราะไข้ขึ้น จึงนอนรอ ต่อมามีความรู้สึกว่านานมากแล้ว เพื่อนทำไมยังไม่กลับมาซะที ตกดึก ฝนเริ่มตก นักศึกษาคนนั้นก็ตื่นขึ้นมาอ่านหนังสือต่อ ในใจเป็นห่วงเพื่อนเพราะออกไปนานมากยังไม่กลับ ซักพักนักศึกษาคนนั้นได้ยินเสียงเบาๆ ดังจากชั้นล่าง จากทางบันได ”ป๊อก…………ป๊อก………ป๊อก………ป๊อก…….” เสียงนั้นดังเป็นระยะๆ ใกล้เข้ามา จากทางบันได ดังขึ้นเรื่อยๆ เสียงเหมือนคนกำลังแบกของหนักบางอย่างขึ้นมา ”ป๊อก…………ป๊อก………ป๊อก………ป๊อก…….” และเสียงนั้นก็ดังมาจนถึงชั้นที่ห้องนักศึกษาหญิงคนนั้นอยู่ แล้วเสียงก็เปลี่ยนไป “ครื……..ด……..ครื………..ด…….ค..รื…ด” เสียงเหมือนคนกำลังลากอะไรซักอย่างใกล้ เข้ามาเรื่อย จนมาหยุดอยู่ที่หน้าห้อง “ครื……..ด……..ครื………..ด…….ค..รื…ด” นักศึกษาหญิงเริ่มเอะใจ และมองไปทางประตู ในใจนึกว่าเพื่อนกลับมาแล้ว แต่ยังเงียบ อึดใจนึง ก็มีเสียงเคาะห้อง “ก๊อก ก๊อก ก๊อก” แล้วเงียบไป นักศึกษาสะดุ้งสุดตัว คิดว่าไม่ใช่เพื่อนแน่แล้ว ถ้างั้นทำไมไม่เปิดเข้ามาเลย จึงเดินไปเปิดประตู ตรงลูกบิดประตูมีถุงใส่ห่อลาดหน้าแขวนอยู่ พอ เห็นห่อลาดหน้า ก็งง แล้วเพื่อนอยู่ไหน ทำไมไม่กลับมา หรือติดฝนเลยฝากคนอื่นเอามาให้ แต่ทำไมต้องเอามาแขวนไม่รอเจอกันก่อน จะได้รู้ว่าเป็นใคร แล้วทำไมเดินเร็วจัง มีแต่ รอยเปียกน้ำเป็นทางจากบันได….คิดต่างๆนา แต่แล้วก็แกะห่อลาดหน้าออกทานเสร็จก็ทานยาตาม ได้ซักพักก็ม่อยหลับไป รุ่งเช้า…………….มีคนมาเคาะห้องบอกว่าเพื่อนตายแล้ว นักศึกษาหญิงคนนั้นถูกฆ่าข่มขืนตรงพงหญ้าข้างทาง คาดว่าเหตุเกิดประมาณหัวค่ำ ลักษณะศพ สภาพแขนและ ขาทั้งสองข้างหักอาจเกิดจากการที่คนร้ายเอาท่อนไม้ทุบตีเพื่อไม่ให้หนี นักศึกษาหญิงที่ตายกำลังเดินทางกลับจากตลาด (ไม่แน่ใจว่าเป็นฝายหินหรือตลาดต้นพยอม) หลังจากทานข้าวเสร็จทุกทีจะไปกับเพื่อน แต่เพื่อนไม่สบายจึงไปคนเดียว โดย เพื่อนฝากซื้อข้าวห่อคนร้ายอาจเห็นว่าเป็นคนเดียวจึงลงมือ แล้วลาดหน้าเมื่อคืนล่ะ? ไม่มีใครรู้คำตอบแน่ชัด แต่จากที่ฟังกันมาคือหลังจากที่ตายไปแล้ว ด้วยความเป็นห่วงเพื่อนเพราะว่าไม่สบาย และยังหิว จึงนำห่อลาดหน้าที่ซื้อมาฝาก แต่จะไปส่งยังไง แขนหัก ขาหักหมดแล้ว…. ลักษณะที่เขาเล่ามาคือพื่อนคนนั้นใช้ปากคาบถุงแล้วใช้คางเกยพาตัวเองมาจนถึงหอพักแล้วใช้คางเกยบันไดลากตัวเอง ขึ้นมา เป็นเสียง “ป๊อก ป๊อก” เสียง “ครืด” ที่ได้ยินคือเสียงลากตัวเองจากบันได มาจนถึงหน้าห้องปรากฎเป็นรอยเปียกน้ำยาวติดต่อกัน หลังจากส่งห่อลาดหน้าให้ได้แล้วก็หมดห่วง ตอนแรกทุกคนไม่เชื่อที่นักศึกษาคนนั้นเล่าแต่หลังจากที่นักศึกษาที่พักอยู่ข้างๆ ห้องยืนยันว่าในคืนนั้นได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังยกของหนักและลากของหนักจากข้างล่าง ขึ้นมาแล้วทุกคนต่างเชื่อสนิทใจ เรื่องที่ 1: ป๊อก ป๊อก ครืด เรื่องผีอันดับหนึ่งของ มหาลัย... ระยะเวลาที่เกิดเหตุการณ์ไม่ทราบแน่ชัดแต่สถานที่เกิดคือ หอหญิง ในสมัยที่มหาลัย ยังเป็นที่รกร้างอยู่มาก ถนนยังเป็นลูกรัง ถนนหน้าฝนเป็นโคลน รถไปมาลำบาก ตอนกลางคืนมืด ไม่มีแสงไฟ เรื่องเกิดกับ นักศึกษาสาว คู่หนึ่งอาศัยอยู่ที่ประมาณ ชั้น 2 หรือ 3 ของหอ ช่วงนั้นเป็นช่วงสอบ นักศึกษาต่างกำลังอ่านหนังสือกันอยู่ นักศึกษาหญิงคนหนึ่งไม่สบาย อ่านหนังสือในห้องตอนหัวค่ำแล้ว รูมเมทชวนไปทานข้าว แต่เพราะเป็นไข้อยู่จึงไปไม่ไหว อยากพักผ่อน พอเมทคนนั้นเห็นเพื่อนไม่สบาย ด้วยความเป็นห่วง จึงบอกว่าเดี๋ยวไปทานข้าวเองก็ได้ แล้วจะห่อข้าวมาฝากเพื่อนคนที่ไม่สบายก็บอกว่า ยังไงฝาก ซื้อลาดหน้า (หรือซักอย่างที่เป็นเส้นๆ) มาให้ทีละกัน กินแล้วจะได้กินยาเมท คนนั้นก็บอกว่าได้ๆ เดี๋ยวจะรีบไปรีบกลับ หลังจากที่เพื่อนออกไปจากห้อง คนที่ไม่สบายก็นั่งอ่านหนังสือต่อ อ่านได้ซักพักก็ไม่ไหว เพราะไข้ขึ้น จึงนอนรอ ต่อมามีความรู้สึกว่านานมากแล้ว เพื่อนทำไมยังไม่กลับมาซะที ตกดึก ฝนเริ่มตก นักศึกษาคนนั้นก็ตื่นขึ้นมาอ่านหนังสือต่อ ในใจเป็นห่วงเพื่อนเพราะออกไปนานมากยังไม่กลับ ซักพักนักศึกษาคนนั้นได้ยินเสียงเบาๆ ดังจากชั้นล่าง จากทางบันได ”ป๊อก…………ป๊อก………ป๊อก………ป๊อก…….” เสียงนั้นดังเป็นระยะๆ ใกล้เข้ามา จากทางบันได ดังขึ้นเรื่อยๆ เสียงเหมือนคนกำลังแบกของหนักบางอย่างขึ้นมา ”ป๊อก…………ป๊อก………ป๊อก………ป๊อก…….” และเสียงนั้นก็ดังมาจนถึงชั้นที่ห้องนักศึกษาหญิงคนนั้นอยู่ แล้วเสียงก็เปลี่ยนไป “ครื……..ด……..ครื………..ด…….ค..รื…ด” เสียงเหมือนคนกำลังลากอะไรซักอย่างใกล้ เข้ามาเรื่อย จนมาหยุดอยู่ที่หน้าห้อง “ครื……..ด……..ครื………..ด…….ค..รื…ด” นักศึกษาหญิงเริ่มเอะใจ และมองไปทางประตู ในใจนึกว่าเพื่อนกลับมาแล้ว แต่ยังเงียบ อึดใจนึง ก็มีเสียงเคาะห้อง “ก๊อก ก๊อก ก๊อก” แล้วเงียบไป นักศึกษาสะดุ้งสุดตัว คิดว่าไม่ใช่เพื่อนแน่แล้ว ถ้างั้นทำไมไม่เปิดเข้ามาเลย จึงเดินไปเปิดประตู ตรงลูกบิดประตูมีถุงใส่ห่อลาดหน้าแขวนอยู่ พอ เห็นห่อลาดหน้า ก็งง แล้วเพื่อนอยู่ไหน ทำไมไม่กลับมา หรือติดฝนเลยฝากคนอื่นเอามาให้ แต่ทำไมต้องเอามาแขวนไม่รอเจอกันก่อน จะได้รู้ว่าเป็นใคร แล้วทำไมเดินเร็วจัง มีแต่ รอยเปียกน้ำเป็นทางจากบันได….คิดต่างๆนา แต่แล้วก็แกะห่อลาดหน้าออกทานเสร็จก็ทานยาตาม ได้ซักพักก็ม่อยหลับไป รุ่งเช้า…………….มีคนมาเคาะห้องบอกว่าเพื่อนตายแล้ว นักศึกษาหญิงคนนั้นถูกฆ่าข่มขืนตรงพงหญ้าข้างทาง คาดว่าเหตุเกิดประมาณหัวค่ำ ลักษณะศพ สภาพแขนและ ขาทั้งสองข้างหักอาจเกิดจากการที่คนร้ายเอาท่อนไม้ทุบตีเพื่อไม่ให้หนี นักศึกษาหญิงที่ตายกำลังเดินทางกลับจากตลาด (ไม่แน่ใจว่าเป็นฝายหินหรือตลาดต้นพยอม) หลังจากทานข้าวเสร็จทุกทีจะไปกับเพื่อน แต่เพื่อนไม่สบายจึงไปคนเดียว โดย เพื่อนฝากซื้อข้าวห่อคนร้ายอาจเห็นว่าเป็นคนเดียวจึงลงมือ แล้วลาดหน้าเมื่อคืนล่ะ? ไม่มีใครรู้คำตอบแน่ชัด แต่จากที่ฟังกันมาคือหลังจากที่ตายไปแล้ว ด้วยความเป็นห่วงเพื่อนเพราะว่าไม่สบาย และยังหิว จึงนำห่อลาดหน้าที่ซื้อมาฝาก แต่จะไปส่งยังไง แขนหัก ขาหักหมดแล้ว…. ลักษณะที่เขาเล่ามาคือพื่อนคนนั้นใช้ปากคาบถุงแล้วใช้คางเกยพาตัวเองมาจนถึงหอพักแล้วใช้คางเกยบันไดลากตัวเอง ขึ้นมา เป็นเสียง “ป๊อก ป๊อก” เสียง “ครืด” ที่ได้ยินคือเสียงลากตัวเองจากบันได มาจนถึงหน้าห้องปรากฎเป็นรอยเปียกน้ำยาวติดต่อกัน หลังจากส่งห่อลาดหน้าให้ได้แล้วก็หมดห่วง ตอนแรกทุกคนไม่เชื่อที่นักศึกษาคนนั้นเล่าแต่หลังจากที่นักศึกษาที่พักอยู่ข้างๆ ห้องยืนยันว่าในคืนนั้นได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังยกของหนักและลากของหนักจากข้างล่าง ขึ้นมาแล้วทุกคนต่างเชื่อสนิทใจ

เรื่องที่ 2: เปรตหอนาฬิกา อันเนื่องจากเคยเป็นป่าช้าและลานประหารเก่ามาก่อน ทำให้เรื่องเล่า เรื่องผีทั้งเก่าและใหม่มีมากมาย เรื่องนี้อยู่ที่หอนาฬิกาใหญ่ ตรงสี่แยกจากประตูหลังมอตรงนั้นจะเป็นวง เวียนสี่แยก ฝั่งตะวันตกเฉียงใต้เป็นคณะวิศวะ ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้เป็นคณะศึกษาและโรงเรียนสาธิต ฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือเป็นหอชาย และฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือเป็นหอหญิง เล่ากันว่าตรงหอนาฬิกา กลางวงเวียน มีเปรต หากไปลองของอาจโดนดีได้ วิธีการลองดีคือ ตอนเที่ยงคืนให้ไปวนรถทวนเข็มที่หอนาฬิกา สามรอบ (วงเวียนจะ เวียนรถตามเข็ม) เล่ากันว่า ผู้ที่ลองทำอย่างนั้น ไม่เคยมีใครวนรถทวนเข็มได้ครบสามรอบซักคน ผู้มีประสบการณ์เล่าว่าในขณะที่วนรถอยู่นั้น จะรู้สึกได้ถึงลมที่เย็นผิดปกติ แต่วนไปสองรอบก็ไม่เกิดอะไรขึ้น มาเกิดตอนที่จะครบรอบที่สามจู่ๆ ก็มีเสาสองต้นตั้งขวางถนนอยู่ ทำให้ต้องหักรถหลบ รถล้มบ้าง แฉลบบ้างไปตามๆ กันใครอยากรู้ก็ลองดู อีกกรณีหนึ่งมีข่าวอยู่บ่อยๆ ว่านักศึกษาที่พักอยู่ในหอพักชายและหญิงฝั่งที่ติดกับหอนาฬิกา มักได้ยินเสียงแหลมๆ เล็ก ดังมาจากทางหอนาฬิกา สอบถามแล้วคืนนั้น เด็กสาธิต ไม่มีการทำกิจกรรมและคณะวิศวะไม่มีกิจกรรม หรือการก่อสร้างใดๆ และที่สำคัญ บางห้องได้ยินบางห้องไม่ได้ยินทั้งที่อยู่ติดกัน? เป็นเพียงเรื่องเล่า

เรื่องที่ 3: ห้องสีชมพู เรื่องนี้เกิดที่หอหญิง เป็นเรื่องของนักศึกษาหญิงที่เข้ามาพักในหอในแล้วได้เสียกับผู้ชาย เกิดพลาดตั้งครรภ์ขึ้นมา รู้ตัวเอาตอนท้องได้ 4 เดือนแล้วแต่มันยังไม่ป่องออกมา จึงปิดเงียบไม่ให้ใครรู้แม้แต่เมท ทำยังไงถึงจะเอาออกได้ พลาดไปแล้วแต่ไม่อยากเสียอนาคต ไม่มีเงินทำแท้ง แฟนไม่รับผิดชอบ ตัดสินใจเอาออกเองในห้องพักโดยเลือกตอนช่วงที่เพื่อนไม่อยู่ ทำเองคนเดียว โดยไม่ทราบวิธีการ ปรากฎว่าผลร้ายกว่าที่คิดนักศึกษาคนนั้นตกเลือดตายในห้องเพื่อนมาพบศพตอนเย็น เห็นรอยเลือดกระจัดกระจาย ติดฝาผนังบ้างก็มี หลังจากจัดการเรื่องศพเรียบร้อยแล้ว (รวมถึงทำความสะอาดห้อง) เมทของคนตายก็ย้ายไปอยู่ที่อื่น แม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดเห็นรอยเลือดสีจางๆ ติดอยู่ที่ผนังสีขาวก็เลยให้คนเอาสีขาวมาทาทับ วันรุ่งขึ้นเปิดเข้าไปทำความสะอาดรอย เลือดยังมีอยู่เหมือนเดิม ไม่ว่าจะทำยังไงทั้งขัด ทั้งถู หรือทาสีใหม่ รอยเลือดนี้ก็ยังไม่หายไป จนสุดท้ายทางหอพักจึงต้องนำสีชมพูไปทาทั้งห้องเพื่อไม่ให้เห็นรอยเลือด กลายเป็นห้องสีชมพูตั้งแต่นั้นมา ปัจจุบันเป็นห้องเก็บของที่ปิดตาย เคยมีแม่บ้านเข้าไปทำความสะอาดที่ห้องนี้ แล้วออกจากห้องไม่ได้ เพราะลูกบิดถูกล๊อค (ทั้งที่ตัวล๊อคอยู่ในห้อง) ลองไปเยี่ยมชมดูได้ครับ หนึ่งความพลาดพลั้งที่ไม่มีอะไรแก้ไขได้

เรื่องที่ 4: ห้องน้ำคณะสังคม ที่ห้องน้ำคณะสังคมศาสตร์ ที่เก่าๆ หน่อยลองไปหาดูเอาเอง ลักษณะห้องน้ำคือประตูอยู่ตรงกลาง เข้าไปแล้วโถฉี่จะอยู่ทางซ้ายมือ ส่วนอ่างล้างหน้ากับกระจกส่องหน้า จะอยู่ทางขวา รุ่นพี่ที่อยู่คณะสังคมเคยเล่าว่าเคยมีคนเล่าให้ฟังว่า(ฟังเขามาอีกต่อหนึ่ง) ตอนกลางคืนช่วงใกล้สอบไปอ่านหนังสือที่คณะสังคม แล้วปวดฉี่เลยไปฉี่ที่ห้องน้ำนี้ ลุกไปเข้าห้องน้ำคนเดียว คนอื่นๆ ก็นั่งอ่านหน้งสืออยู่ คนไปฉี่ก็เข้าไปฉี่ธรรมดา ห้องน้ำมีโถฉี่สองอัน อันแรกติดประตูอันที่สองอยู่ด้านขวา ข้างในไปอีก เขาบอกว่าตอนจะฉี่ ก็จะฉี่ที่โถแรกเพราะใกล้กว่า แต่ไม่รู้นึกยังไงเลยเดินเลยไปฉี่ที่โถข้างใน ตอนฉี่ก็ ยังไม่มีอะไรแต่ตอนฉี่เสร็จแล้วมองออกไปที่กระจก ภาพในกระจกสะท้อนเห็นกำลังมีคนยืนฉี่อยู่ที่โถฉี่อันแรก! (หันหลังให้) นึกว่าตาฝาดเพราะหันไปดูก็ไม่มีอะไร แต่พอไปดูในกระจก ก็เห็นเหมือนเดิม? คืนนั้นเลยไม่ได้อ่านหนังสือกันพอดี พวกขี้เหล้าทั้งหลายที่ชอบไปกินแถวนั้นก็ระวังหน่อยละกัน

เรื่องที่ 5: ถนนขึ้นดอยสุเทพ สมัยนั้นเวลากลางคืนดอยสุเทพยังไม่ปิดความนิยม(ที่ไม่ค่อยดีเท่าไร) อย่างหนึ่งก็คือเวลาเมาๆ นักศึกษาทั้งหลายมักจะขับรถขึ้นดอยกันขึ้นไปดูเชียงใหม่ทั้งเมือง ตอนกลางคืนมันสวยดี (แต่ดันขับรถตอนเมา ไม่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง) วันหนึ่ง นักศึกษาจากคณะวิศวะสองคนเพิ่งเลิกจากกังสดาล(แต่ก่อนร้านนี้ฮิตครับ) ครึ้มๆ ขึ้นมาก็เลยขับรถเลยจากทางเข้า กะขึ้นดอยไปชมเมืองเล่น คนขับก็ขับไปข้างหลังคน ซ้อนก็นั่งไป เมาๆ ขึ้นมาคนซ้อนก็เลยหลับ(สมัยก่อนแปดสิบเปอร์เซ็นต์นักศึกษาขับแมงกะไซค์ไม่ใช่รถยนต์อย่างทุกวันนี้) ซักพักหนึ่งคนซ้อนก็ตื่น กำลังเข้าโค้งพอดี เห็นหญิงสาวคนหนึ่งยืนโบกรถอยู่ข้างทาง แต่คนขับก็ขับเลยผ่านไป ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษจัด ก็เลยถามคนขับว่า “ทำไม mungไม่ จอดรถลงไปถามหน่อยล่ะ เผื่อเขามีปัญหาอะไร?” คนขับ “gu ไม่จอดด้วยหรอก คนนี้เขารอโบกทุกโค้งเลย เจอมาหลายโค้งแล้ว เดี๋ยวโค้งหน้า mung กะ gu ก็เจอเขาอีกแหละ...”

เรื่องที่ 6: วงเวียนธรณี วงเวียนธรณี - ต้องขอโทษคนที่ผ่านทางนี้เป็นประจำ(ผมด้วย) จุดนี้มีเรื่องเยอะจริงๆ นานมาแล้วมีนักศึกษาสองคนกินเหล้าเมากันมา พอมาถึงข้างตึกธรณีคนขี่มองไปทาง ข้างตึกอังกฤษ เห็นคนหัวขาดยืนอยู่ ตกใจจึงหยุดรถขยี้ตาดูอีกทีแล้วสะกิดถามเพื่อนๆ บอกไม่เห็นอะไร มองอีกทีก็ไม่มีแล้ว หันกลับมาข้างหน้ามีลวดเส้นเล็กๆขึงอยู่ระดับคอห่างออกไปเมตร เดียว ถ้าไม่หยุดรถคง!.....

เรื่องที่ 7: ก๊อกน้ำนิติเวช อาคารเรียนรวมแพทย์ มีคนไปอ่านหนังสือกันสองคน พอดึกๆ ก็ไปซื้อไก่ทอดมากินเสร็จแล้วก็หาที่ล้างมือเจอก๊อกน้ำข้างตึก ก็ไปล้างมือที่นั่น ตอนที่ล้างอยู่เพื่อนอีกคนก็ทำหน้าตกใจมากแต่ยังไม่พูดอะไร คนที่ทำหน้าตกใจรีบจูงมือเพื่อนกลับมาใต้ตึก แล้วถามว่ารู้มั้ยเมื่อกี้เห็นอะไร อีกคนบอกไม่รู้ คนนั้นจึงบอกว่าเห็นผมของอีกคนซึ่งผมยาวชี้ขึ้นมากระจุกหนึ่งเหมือนมีคนจับขึ้น มา รู้ทีหลังว่าตรงนั้นเป็นที่ล้างศพ!

เรื่องที่ 8: ห้องแลปฟิสิกส์ แลปฟิสิกส์ – อันนี้ฟังเค้าเล่ามาอีกทีเป็นเรื่องนานมาแล้ว เรื่องมีว่าเมื่อก่อนตอนที่ตึกเก้าชั้นวิดยายังไม่ได้สร้างแลปฟิสิกส์ของเด็กปี 1 ก็ยังทำที่แลปเก่า (น่าจะ เป็นตึกฟิสิกส์) แลปคราวนั้นเป็นแลปเรื่องแสง คนที่เคยเรียนคงรู้ว่าห้องจะมืดเพราะปิดไฟและเป็นแลปมืดจริงๆ เพราะทำช่วงค่ำ นักศึกษาหญิงคนนึงก็เข้าห้องแลปแต่พาร์ทเนอร์แลปยังไม่มา คนอื่นๆ ก็มากันแล้ว เตรียมอุปกรณ์เสร็จเพื่อนก็มา แต่ก้มหน้าก้มตา ไม่พูดไม่จา ถามว่าเป็นอะไรก็ไม่ตอบ เหลือบเห็นที่คอมีรอยแผลเป็นทางยาว เธอจับไหล่เพื่อนถามว่าไปโดนอะไรมาเพื่อนเงยหน้าขึ้นมาแล้วหัวหลุดกลิ้งไปกับพื้น ผู้หญิงร้อง กรี้ดแล้ววิ่งออกมาสลบตรงระเบียง ฟื้นมามียามกับรุ่นพี่สองสามคน ถามว่าไม่รู้เหรอว่าวันนี้แลปงด เพราะเมื่อเช้ามีนักศึกษาในเซค รถคว่ำตาย เพื่อนเลยไปงานศพช่วงค่ำกันหมด สอบถามชื่อได้ความว่าคือพาร์ท เนอร์แลปของเธอนั่นเอง! ส่วนคนที่เจอในห้องแลปทุกคนล้วนแต่ไร้ชีวิต

เรื่องที่ 9: ทางเดินคณะวิศวะ ทางเดินคณะวิดวะ มีคนสี่คนเข้าไปเล่นผีถ้วยแก้วตรงทางเดินยาวตรงข้ามหอ 5 ชาย วันนั้นฝนตกด้วย มีผีผู้ชายเข้ามา พอถามว่าชื่ออะไร ไม่ตอบถามว่ามาคนเดียวใช่รึไม่ใช่ ก็ตอบว่าไม่ใช่จึงถามต่อว่ามากันเท่าไหร่ เค้าก็ตอบว่าเก้า (ไปเลข 9) คนเล่นรู้สึกกลัวขึ้นมาจึงเชิญออก แล้วรีบกลับมาที่หอ มีเพื่อนถามว่าไปไหนกันมา ก็บอกว่าไปเล่นผีถ้วยแก้วในคณะวิดวะเพื่อนก็ว่า อ๋อที่ยืนมุงเยอะๆ ตรงทางเดินน่ะนะ

เรื่องที่ 10: หอผู้ป่วย ห้องพิเศษ เรื่องนี้เกิดขึ้นในหอผู้ป่วยใน ห้องพิเศษ มีนักศึกษาชายมาเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ซึ่งรักษาอยู่ในโรงพยาบาล คณะแพทย์ คุยกันจนเพลิน นึกขึ้นได้ว่าดึกมากแล้ว จึงขอลากลับ เวลา 4 ทุ่มของวอร์ดนี้ โดยเฉพาะแผนกห้องพิเศษ ช่างเงียบสงัดนัก นศ. คิด เขาไม่เคยเจอบรรยากาศแบบนี้มาก่อน… เขาเดินผ่านห้องผู้ป่วยอื่นมาเรื่อยๆ เพื่อเดินไปขึ้นลิฟท์ซึ่งอยู่ที่สุดทางเดินอันยาวนี้ พยาบาลที่เคาท์เตอร์ก็ไม่อยู่ เนื่องจากต้องไปดูแลผู้ป่วยห้องต่างๆ…. เขาไม่เห็นใครคนอื่นเลย เขาเดินไปได้กลางทาง ก็มีผู้ชายคนหนึ่ง ใส่ชุดสีกากี ดูเหมือนเจ้าหน้าที่ส่งเอกสารทั่วๆ ไป เดินเข้ามาในวอร์ดผ่านประตูซึ่งเปิดอยู่…. พยาบาลคงเรียกเขามาเอา specimen ไปส่งห้อง LAB กระมัง…. นศ. คิดในใจ ทันใดนั้นเอง นศ. ขนลุกซู่ โดยไม่รู้ตัว ชายคนดังกล่าวที่กำลังเดินใกล้เข้ามานั้น ไหล่และมือของเขานิ่งมาก ไม่มีการขยับหรือแกว่ง ตามจังหวะการเดินเลย…. เหมือนว่าเขาไม่ได้เดินมา….!! เขาเหมือนลอย… เข้ามา มากกว่า ในใจของ นศ. รู้สึกถึงความกลัวที่สุดในชีวิต แต่เขาก็ยังเดินต่อไปข้างหน้า ขณะที่ชายเสื้อสีกากีดังกล่าวก็…ใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จังหวะที่ทั้งสองสวนผ่านกันนั้น (ห่างกันไม่ถึง 2 เมตร) นศ. สังเกตเห็นว่าชายคนนั้นลอยอยู่จริงๆ …!! ปลายนิ้วเท้าสองข้างของเขา ชี้ลงไปที่พื้น หน้าก้มต่ำ ผมเขายาวเล็กน้อยปิดบังหน้าตาไว้ นศ. ถึงกับขนลุกเกรียวทั้งตัวและสัมผัสได้ถึงความเย็น หลังจากเดินผ่านชายเสื้อกากีมาแล้ว นศ. ก็หันกลับไปมองชายคนนั้น ซึ่งเขาเองก็เหมือนจะรู้ตัว…. ชายคนดังกล่าวหยุดอยู่นิ่ง แล้วค่อยๆ หันหน้าซึ่งมีผมเผ้ารุงรัง ผิวสีเทาๆ มายัง นศ. แล้ว ยิ้ม แหยะๆ ให้ ไม่ต้องคิดอะไรอีกแล้ว…. นศ. รีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกมาจากวอร์ด แล้วไม่หันหลังกลับไปดูอีกเลย

++++8 วิ ธี เ ห็ น ผี สุ ด เ ฮี้ ยน++++

เค้าบอกว่า 50 % เห็นมาแล้ว แต่ก้อไม่รู้จิงเท็จแค่ไหน ก้อใช้วิจารณญาณ ดูกันเอาเองแล้วกัน ข้าน้อยเห็นบางวิธีก้อเป็นวิธีที่แปลกจากที่เคยอ่านๆมานะ ไม่น่าเชื่อ ว่าจะเห็นได้ด้วยหรือ แต่ก็น่ะ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ลองอ่านดูแล้วกัน

.......ข้อปฎิบัติ........ • ทุกวิธีต้องทำระหว่าง 4 ทุ่ม ถึงเที่ยงคืน และต้องไม่เลย เที่ยงคืนเพราะจะถือว่าเป็นวันใหม่ •ทุกวิธีห้ามใส่พระยกเว้นวิธีที่ 8 •วันที่ทำแล้วมีโอกาสเห็นได้ง่ายสุดคือวันพุธและ วันศุกร์ และวันอาทิตย์ •ทุกวิธีอาจจะให้คนอื่นอยู่ด้วยก็ได้ยกเว้นบางวิธีที่จะระบุบว่าคุณต้องทำคนเดียว •ทุกวิธีต้องหลับตาหากคุณเปลี่ยนใจไม่อยากเห็น ให้เอาอุปกรณ์ทุกอย่างออก แล้วค่อยลืมตา

*วิธีที่1* “มองลอดใต้หว่างขา” (เห็นผี 21 คน) 1. นำใบไม้ (จากต้นใดก็ได้) ที่ร่วงลงมาจากต้นไม้ ต้องเป็นของต้นนั้นจริง ๆ และร่วมลงมาไม่ห่างจากลำต้นมากนัก หากอยู่ใกล้รากจะยิ่งดี 2. ยืนในที่โล่ง และต้องมองเห็นพระจันทร์ หันหน้าไปทางทิศตะวันออกหันหลังไปทางทิศตะวันตก (เพื่อเวลาก้ม จะได้ก้มไปทางทิศตะวันตก 3. นำใบไม้ที่เก็บมา เอาไว้ในฝ่ามือ (จะทำมืออย่างไรก็ได้ แต่ห้ามพนมมือ) 4. หมุนตัวตามเข็มนาฬิกา (หมุนซ้าย) ช้า ๆ เมื่อมาหยุดที่เดิม (ทิศตะวันออกที่หันหน้าไว้ตั้งแต่แรก) ให้ท่องว่า “พุทโธทายะ” (เหมือนผีถ้วยแก้วเลย) ทำแบบนี้ 3 รอบ (ท่อง 3 ครั้งด้วย) ***เพื่อให้เห็นภาพ*** รอบที่1 ยืนหันไปทางทิศตะวันออก หมุนซ้ายไปจนมาหยุดที่จุดเริ่มต้นแล้วท่องว่า “พุทโธทายะ” และทำต่อไป รอบที่ 2 และรอบที่3 5. หลับตานึกถึงใบไม้ที่อยู่ในมือ กับต้นเจ้าของใบไม้ แล้วให้คิดว่าใบไม้ในมือ คือพลังงานอย่างหนึ่งที่จะเรียกวิญญาณมาได้ และนึกเอาว่าใบไม้นี้ได้ตายไปแล้วจึงได้หลุดมาจากต้นไม้ เพราะฉะนั้นเราติดต่อกับวิญญาณได้ เหมือนที่ติดต่อกับใบไม้ที่ตายแล้วใบนี้ 6. ค่อย ๆ ก้มหน้าลง (ระหว่างนี้ห้ามลืมตาเด็ดขาด) เมื่อคุณก้มและพร้อมแล้ว “ให้ตั้งสติดี ๆ” แล้วลืมตา 7. แล้วผีจะมาให้เห็น

***หากเห็นอะไรห้ามวิ่ง ไม่ว่าสิ่งที่เห็จะอยู่ไกล หรือมาประจันหน้าก็ตาม ต้องทำตามนี้ก่อน*** 1. เงยหน้าขึ้น ทิ้งใบไม้ลงพื้นทันที 2. หมุนตัวทวนเข็มนาฬิกา (หมุนย้อนกลับไปทางขวานั่นเอง) 3 รอบ โดยไม่ต้องท่องอะไรเลย 3. เมื่อกลับถึงบ้านต้องล้างหน้า 3 ครั้ง ก่อนล้างให้ท่อง “พุทโธ” แล้วเป่าลมลงน้ำจึงค่อยล้างหน้าทำแบบนี้ 3 ครั้ง ::

*วิธีที่2* “ตัดเล็บตอนกลางคืน” (เห็นผี 12 คน) ***ขอย้ำเลยวิธีนี้ ต้องทำระหว่าง 4 ทุ่ม ถึง เที่ยงคืน เพราะต้องไม่ให้โพล้เพล้ หรือ เป็นวันใหม่”*** 1. ตัดเล็บมือเท่านั้น โดยเริ่มจากนิ้วก้อย ,นิ้วโป้ง ,นิ้วนาง ,นิ้วชี้ และนิ้วกลาง (ตัดจากนอกเข้าในนั่นเอง) โดยเริ่มตัดจากมือขวาก่อน และทำแบบเดียวกันกับมือซ้าย *เล็บที่ตัดห้ามหักหรือขากเด็ดขาดต้องเป็นโค้งตามรูปเล็บ มิเช่นนั้นจะไมได้ผล* 2. น้ำเศษเล็กที่ตัดห่อใส่ผ้าอะไรก็ได้แต่ต้องเป็นสีดำ (ต้องใช้แล้ว ไม่ใช่ผ้าใหม่) 3. นำไปวางไว้ทางทิศตะตก (เช่นเคย) ของที่พักอาศัย 4. เมื่อคุณเข้านอนได้ไม่นาน จะมีคนมานั่งตัดเล็บอยู่ตรงปลายเท้าที่คุณนอน (เสียงดัง “แก๊กๆ” นั่นแหละ) เป็นการตัดเล็บของเค้ามาคืนคุณ 5. ถ้าอยากเห็นก็ลืมตาแต่ห้ามโวยวาย เพราะเขาจะไปแล้วคุณอาจจะซวยได้ (เพราะถือว่าเค้ามาดี โดยที่เขาคิดว่าเราเอาเล็บไปแลก หรือไปเล่นกับเขา แล้วเขาก็เลยเอาของเขามาคืน 6. เมื่อคุณตื่นในตอนเข้า ให้ไปยังจุดที่คุณเอาเล็บไปวางไว้ คลี่ห่อผ้าออก จะพบเล็บของคนอื่นไม่ใช่ของคุณ 7. ให้คุณพูดเบา ๆ ว่า “ขอบคุณ” แล้วเอาไปฝังไว้ที่ใดก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องอยู่ในที่พักอาศัยของคุณ (แต่ห้ามทิ้งหรือเผาโดยเด็ดขาด)

*วิธีที่3* “หันหลังให้กระจกแล้วกลืนน้ำลาย” (เห็นผี 16 คน) - วิธีนี้ต้องทำคนเดียวเท่านั้น - วิธีนี้ต้องทำก่อนเที่ยงคืน 6 นาที - นาฬิกาที่คุณใช้เป็นเกณฑ์ในกาวัด ให้ยึดเรือนใดเรือนหนึ่งในบ้านได้เลย 1. ยืนหันหลังให้กระจก (ครั้งนี้จะทิศใดก็ได้) ตอนเวลา 5 ทุ่ม 54 นาที 2. กลืนน้ำลาย 1 ครั้ง ทุก ๆ 1 นาที 3. พอครบ 6 นาที หมายความว่าคุณกลืนน้ำลายไปแล้ว 6 ครั้ง และถึงเวลาเที่ยงคืนพอดี 4. หลับตาแล้วหันไปทางกระจก (จะหันซ้ายหรือขวาก็ได้แต่ช้า ๆ) แล้วกลืนน้ำลายอีกครั้ง (เป็นครั้งที่7) แล้วลืมตา และผีจะมาให้เห็น 5. เมื่อคุณต้องการยุติพิธี ให้หลับตากลืนน้ำลายอีกครั้ง เป็นอันจบพิธี

*วิธีที่4* “ดีดลูกคิดตอนกลางคืน” (เห็นผี 32 คน) - ลูกคิดที่ใช้ดีด ให้ดีดอันที่มีรางยาวที่สุดเท่านั้น - ต้องอยู่คนเดียว เพราะต้องใช้สมาธิอย่างมาก 1. ให้ลูกคิดทุกลูก ในทุกรางอยู่สุดรางที่หันมาหาตัวเรา 2. ดีดีลูกคิดขึ้นโดยให้ลูกคิดออกจากตัวทีละลูก(ต้องมีสมาธิมากๆ) ไล่ไปตั้งแต่รางแลก ไปจนรางสุดท้าย 3. ตั้งสมาธิให้ดีอย่างมาก แล้วจับรางลูกคิดตั้งขึ้น ให้ลูกคิดวิ่งกลับมาที่เดิมในตอนแรก 4. มองรอดช่องรางลูกคิด(รางใดก็ได้) แล้วผีก็จะมาให้เห็น 5. หลังจาการทำเรียบร้อยแล้ว ให้ทิ้งลูกคิดนั้นทันที *ห้าม* นำกลับมาใช้อีกเป็นเป็นอันขาด *วิธีที่5* “เอามุ้งคลุมหัวตอนกลางคืน” (เห็นผี 6 คน) 1. เอามุ้งมาครอบหัวไว้ (หลับตาตั้งแต่ก่อนคลุมแล้ว) 2. ท่อง มะ-อะ-อุ 7 ครั้ง (อย่าลืมว่าต้องหลับตา) 3. ลืมตา แล้วผีจะมาให้เห็น

*วิธีที่6* “ใส่เสื้อกลับแล้วนอนห้อยหัว” (เห็นผี 31 คน) - ต้องทำคนเดียว 1. ใส่เสื้อโดยการเอาข้างหลังมาอยู่ข้างหน้า (ถ้ามีกระดุม ก็เอากระดุมไว้ขางหลังนั่นเอง) 2. นอนลงบนที่นอนที่สูงกว่าพื้น แล้วห้อยหัวลงมอง (เหมือนแหงนหน้า) 3. แล้วผีจะมาให้เห็น

*วิธีที่7* “แหงนหน้ามองตรงบันได” (เห็นผี 42 คน) - ต้องทำคนเดียว 1. นั่งบนบันไดชั้นบนสุด แล้วลงมาทีละขั้นทั้งที่ยังนั่งอยู่ (ใช้ก้อนลงบันได้นั่นเอง) 2.เมื่อถึงขั้นสุดท้าย ให้ยังคงนั่งอยู่ที่ขั้นสุดแล้ว แล้วจึงแหงนหน้ามองกลับขึ้นไปชั้นบนสุด 3. แล้วผีจะมาให้เห็น

*วิธีที่8* “สวมพระกลับหลัง” (เห็นผี 28 คน) - ต้องทำคนเดียว 1. สวมพระโดยคล้องสร้อยพระไว้ด้านหลัง(ให้เหมือนที่อยู่ด้านหน้าเลย) 2. ยื่นแขนซ้ายออกไปข้าง ๆ แล้วทำมุมข้อศอกโดยให้กำปั้นทิ่มลงพื้น และให้ข้อศอกตั้งฉากกับพื้น 3. มองลอดผ่านช่องแขน แล้วจะเห็นผี