วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2555

ผีเฮี้ยนที่ห้างดัง

ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนนะว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง จะพยายามไม่เอ่ยถึงสถานที่ชัดเจน เพื่อผลกระทบ…..ตอนนี้ก็ยังมีให้เห็นและเป็นอยู่….เคยโทรไปออนแอร์นานแล้วกับพิธีกรผีๆ กพล ทองพลับ เมื่อสิบกว่าปีมาแล้วครับ….ซึ่งญาติผมเป็นส่วนหนึ่งของเจ้าหน้าที่ทำงานด้าน วิศวกร ออกแบบ ก่อสร้าง…ไม่ขอเอ่ยนาม ห้างหนึ่งในกรุงเทพมหานครได้ทำการก่อสร้างและมีบริษัทรับเหมาทั้งออกแบบและก่อสร้าง ควบคุม ดูแลงาน…ได้มีการก่อสร้างตามขั้นตอนตามแบบแปลนที่วางไว้ จากชั้น 2 ไปชั้น 3 ขอย้ำนะครับว่า จากชั้น 2 ไปชั้นที่ 3 ….เรื่องเกิดตรงนี้… หลังจากสร้างเสร็จแล้ว มีการย้ายเข้าไปอยู่ของทางร้านค้าต่างๆ เป็นทั้งแบบดีพาร์ท และแบบให้เช่า อยู่ได้ไม่นานครับ เจ้ง ความว่า กลางคืน ทั้งยาม ทั้งแม่บ้าน เจอกันทุกราย เช่น หุ่นเดินได้ แม่บ้านทำความสะอาดที่มาทำงานก่อนห้างเปิด เจอคนนั่งร้องให้ เสื้อผ้าลอยได้ คนวิ่งเข้าไปในต้นเสา …ทีแรก นึกว่าเป็นขโมย ต้องตามยามมาค้นหา แต่ก็หาไม่เจอ…ช่วงห้างเลิก…วงจรปิดจับภาพคนได้ นึกว่าขโมยแอบเข้ามา ค้นหา ไม่เจอครับ พอมีการเปลี่ยนเจ้าใหม่ ก็ต้องมีการปิดปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ออกแบบภายในใหม่ โดยวิศวกรกลุ่มเดิม มาคุมงาน…หลังจากห้าทุ่มแล้ว พวกวิศวกรพากันขึ้นไปทานข้าวที่ห้องอาหารชั้น5 …ซึ่งปิดปรับปรุงเหมือนกัน แต่ก็ยังมีโต๊ะเก้าอี้ให้นั่ง โดยการซื้ออาหารมาทานเองครับ เหล่าคนงานที่มาตกแต่งร้านก็พากันกลับหมดแล้ว กลุ่มพวกวิศวะพากันนั่งทานอาหารกันอยู่นั้น เหลือบไปเจอผู้หญิงวัยกลางคนท่านหนึ่งนั่งหน้าเศร้าอยู่ในมุมมืด..มองมาทางกลุ่มที่ทาน ข้าวอยู่ หัวหน้า พูดกับลูกน้องว่า..ใครวะ ดึกๆ ดื่นๆ ยังไม่กลับอีก มานั่งอยู่ตรงนั้น ไปเรียกเขามาทานข้าวด้วยกันซิ…แล้วก็ให้ลูกน้องไปเรียก หญิงวัยกลางคนคนนั้นมาทานข้าวด้วย พี่ๆๆ ทำไมยังไม่กลับอีก มาทำอะไรอยู่ตรงนี้หรือ…ไม่มีเสียงตอบรับจากหญิงวัยกลางคนก็เลยสำทับกับคำถามเดิมอีกครั้ง…พี่ๆ ทำไมยังไม่กลับอีก มาทำอะไรอยู่ตรงนี้…หัวหน้าให้ผมมาเรียกไปทานอาหารด้วยกัน…มาม๊ะ มาทานอาหารด้วยกัน..เสียงหญิงคนนั้น พูดช้าๆเสียงออกทำนองอิสานว่า..บ่ไปหรอก..ให้หัวหน้าเธอมาทานที่นี่ซิ ฝ่ายลูกน้องก็ตะโกนไปบอกหัวหน้าที่นั่งห่างไม่ใกลเท่าไหร่ ประมาณสัก 5-6 เมตร ว่า หัวหน้า ..เธอไม่ไปหรอก เธอให้พวกเรา มาทานที่โต๊ะของเธอ…จะบ้าเรอะ พวกเราเยอะกว่า จะให้ย้ายไปที่คนน้อยกว่าได้ไง..มานั่งที่นี่ด้วยกันซิ..ผู้หญิงคนนั้นได้ยิน ค่อยๆหันหน้ามาทางหัวหน้าและกลุ่มวิศวะอย่างช้าๆมองแบบตาขวางๆหน้าเศร้าๆ แล้วพูดขึ้นมาว่า หัวหน้าไม่เจอกันตั้งนานยังใจดำเหมือนเดิมนะ….หัวหน้า งง ..ป้ารู้จักผมหรือ ทำไมผมไม่รู้จักป้าเลย….ทำไมจะไม่รู้จักละ ป้าตอบ เออ แล้วป้าเป็นใคร อยู่ที่ไหน มาทำอะไรที่นี่…เสียงจากหญิงลึกลับพูดมาว่า..เวลาผ่านมาไม่นาน ทำเป็นจำหนูไม่ได้ ก็หนูติดอยู่ที่ต้นเสาชั้นสอง ที่หัวหน้าไม่ยอมเอาหนูออกมาไง…เสียงตอบจากป้า ….แค่นั้น ละ…หัวหน้าวิศวะ วิ่งป่าราบ ก่อนเพื่อนเลย ลูกน้องที่นั่งอยู่ด้วย ก็วิ่งตาม…ไป และถามหัวหน้าข้างนอกตึกว่า วิ่งทำไมหรือ…หัวหน้าตอบว่า…มันไม่ใช่คน……………..แล้วก็เลยเล่าเรื่อง ที่เกิดขึ้นพลางสำทับไปว่า…ห้ามแพร่งพราย…ไม่งั้นเดือดร้อนกันทั่ว…จนกว่าเราจะหมดพันธะจากการเป็นที่ปรึกษาของบริษัทนี้ก่อน… เรื่องที่ปกปิดเป็นความลับ คือว่าห้างแห่งนี้ตอนก่อสร้าง ได้มีคนงานเป็นหญิงวัยกลางคนชาวอิสาน ได้ตกไปในเสาเอกหรือเสาหลัก ตอนเทปูน…มาเจอตอนที่เขาแกะบล็อกออกจากเสา จึงรู้ว่า มีคนอยู่ข้างใน…จะเอาออกก็ไม่ได้ ต้องทำการรื้อใหม่ทั้งชั้น จะสูญเสียงบไปหลายสิบล้านบาท…จึงหาวิธีแก้ โดยการโบกปูนฉาบทับไปเลยและปิดเป็นความลั สุดยอด…สอบถามถึงคนที่ติดอยู่ข้างใ เป็นใคร สุดท้ายจึงรู้ว่าเป็นเมียคนงานที่ทำงานอยู่ที่นี่…ฝ่ายผู้รับเหมาและวิศวะเลยต้องหาวิธีโดยไม่ต้องรื้อ…ทำไงหรือครับ เสนอเงินจำนวนหนึ่ง ให้ฝ่ายสามี…แล้วก็ฉาบปูนทับไปเลย ไม่มีการเอาศพออก….เรื่องก็เงียบไป….แต่อย่างว่าละครับ…มันเลยเป็นอาถรรณ์ ใครมาบริหารห้างนี้ เจ้งแล้ว เจ้งอีก ผมก็เคย ไปดูให้เห็นกับตามาแล้ว…แต่คนที่มาอยู่ใหม่ เจ้าใหม่ คงไม่รู้แน่ๆ ……ทุก วันนี้ ก็ยัง เฮี้ยนไม่เลิกครับ……สงสารเจ้าของใหม่ แม่บ้าน และยาม ที่เขาไม่รู้..ต้องเจอดี

สุสานผีดุ

การค้าขายแบบเร่ร่อน เป็นการค้าที่ต้องเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ เป็นหมู่คณะ บางครั้งต้องจากบ้านเป็นปีก็มีเมื่อมีงานพิธีที่ไหน เราก็เห็นพวกเขาที่นั่นเสมอ เช่นเดียวกับชาวอำเภอพรหมคีรี ซึ่งเป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดนครศรีธรรมราช ที่จะล่องเรือมาขายของในตลาดที่ผ่านเป็นประจำทุกปี ปีหนึ่งๆ ก็จะมากันหลายลำเรือ ของที่มาขายนั้นมีสารพัดอย่าง เรื่องที่ผมจะมาเล่าให้ฟังนี้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานแล้วซึ่งเป็นเรื่องที่ปู่เล่าให้ฟัง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในตำบลบางควาย ในสมัยก่อน เมื่อมีคนตายลูกหลานและญาติๆ จะนำร่างของคนตายไปทำพิธีในป่าลึกห่างไกลจากหมู่บ้านนับสิบกิโลเมตร ในยุคสมัยคุณทวดของผมอำเภอนี้ยังไม่เจริญไม่มีถนนลาดยาง รถราต่างๆ ก็ไม่มี ต้องเดินแบบบุกป่าฝ่าดงตลอดทางท่ามกลางสัตว์ดุร้าย งูเงี้ยว เขี้ยวขอมากมาย บางครั้งกว่าจะถึงที่หมายก็มืดค่ำ การนำร่างของคนตายนั้นจะใช้วิธีแบกไปโดยมีคนหาม 4 คน ผู้ติดตามที่จะไปทำพิธีนั้นมีเฉพาะพระและญาติพี่น้องเท่านั้น เมื่อถึงที่หมายก็จะเป็นสุสานที่มีแต่โครงกระดูกอยู่เกลื่อนกลาด เพราะศพนั้นจะตั้งบนดอนสูง ไม่มีการเผาหรือฝัง แม้กระทั่งโลงใส่ศพก็ไม่มี คนสมัยนั้นเชื่อกันว่าถ้านำเอาร่างคนตายใส่โลงวิญญาณคนตายจะไม่มีที่ไปและจะวนเวียนไม่มีทางออก ในปัจจุบันสุสานไร้นามถูกทำลายไปเกือบหมดแล้วเพราะเป็นสุสานที่มีความน่ากลัวและหลอกหลอนผู้คนอยู่ไม่เว้นแม้กลางคืนหรือกลางวัน เย็นวันหนึ่งซึ่งเป็นวันที่ชาวอำเภอพรหมคีรีจะล่องเรือมาขายอาหารในตลาด ในปีนี้พวกเขาล่องเรือมาทางสายน้ำใหม่ซึ่งจะต้องผ่านสุสานไร้นามแห่งหนึ่ง น่าแปลกที่ยามสนธยานั้นท้องฟ้าที่แดงฉานกลับมืดอย่างรวดเร็ว อากาศที่ร้อนระอุเปลี่ยนเป็นอากาศที่เย็นเยือกอย่างรวดเร็ว ในขณะนั้นบางคนในเรือม่อยหลับไปแล้วเหลืออยู่เพียง 4 – 5 คนเท่านั้นที่ยังไม่หลับ เวลา 4 ทุ่ม เรือได้แล่นมาถึงตลาดโต้รุ่งที่มีแสงไฟตะเกียงสว่างไสว เสียงพ่อค้าแม่ขายขายของกันดังเอะอะ ผู้คนเดินขวักไขว่มากมาย น่าสนุกสนาน คนที่ยังตื่นอยู่ในเรือรีบไปจอดเทียบท่าเพื่อที่จะเข้าไปชมตลาดแห่งนั้น โดยหารู้ไม่ว่ากำลังเจอดีเข้าแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปอย่างปกติคนเรือทั้ง 5 ชักชวนกันไปกินขนมจีน ทุกคนก้มหน้าก้มตากินอย่างเอร็ดอร่อยโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง หลังจากที่อิ่มหนำสำราญดีแล้วก็ไปชมหนังตะลุง เวลาผ่านไปถึงเวลากลับเรือ ก่อนจะกลับก็ต้องมีของติดไม้ติดมือไปคนละอย่าง โดยพวกเขาเลือกซื้อข้าวหลามไปฝากคนในเรือ เมื่อเรือเริ่มห่างจากตลาดโต้รุ่งออกไป คนที่ไปเที่ยวตลาดยังสนุกสนานอยู่จึงหันไปดูตลาดเพื่อจะจำไว้ว่าเคยมาสถาน ที่แห่งนี้ แต่ตลาดที่พวกเขาเห็นนั้นอันตรธานไปเสียแล้วมีแต่ความมืดและเงียบสงัด ทุกคนหันมามองหน้ากันอย่างตื่นกลัว พลันทั้ง 5 คน ก็เกิดอาการง่วงเหงาอย่างรุนแรงและผล็อยหลับไป ตอนเช้าทั้งหมดตื่นขึ้นมาอย่างมึนงง และไม่รู้ว่าตนได้หลับไปเมื่อใด คนที่ไปเที่ยวตลาดเริ่มมีอาการคลื่นไส้และอาเจียนออกมาอย่างยั้งไม่อยู่ อะไรกันนี่! สิ่งที่พวกเขาอาเจียนออกมาทั้งหมดนั้นคือ สายสิญจน์ที่มีเลือดและน้ำหนองผสมอยู่อย่างมากมาย ข้าวหลามก็กลับกลายเป็นโครงกระดูก ทั้งหมดต่างก็เสียขวัญและตกใจแทบสิ้นสติ และเพียงชั่วครู่ถัดมา ผู้ไปเที่ยวงานทั้ง 5 คน ก็ขาดใจตายโดยไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น จนกระทั่งเรือได้มาจอดหน้าวัดหนึ่ง (ขอไม่เอ่ยนาม) พวกที่เหลืออยู่จึงได้ทราบเรื่องราวทั้งหมดจากเจ้าอาวาส ว่าตลาดที่พวกเขาผ่านมานั้นแท้ที่จริงแล้วเป็นสุสาน ทุกคนต่างสลดใจและคิดว่ามันคงเป็นชะตากรรมที่ได้กระทำไว้แต่ปางก่อนถึงได้มีจุดจบอันน่าเวทนาอย่างนี้

12บ้านผีสิงสุดเฮี้ยน ในเมืองไทย

ก่อนหน้านี้ได้แนะนำบ้านผีเฮี้ยนไปแล้ว 10 อันดับ แต่ส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ คราวนี้ลองมาทัวร์บ้านผีสิงทั่วเมืองไทยที่ว่ากันว่าเฮี้ยนสุดๆ กันดีกว่า

1.สุสานโสเภณี จ.กาญจนบุรี สถานบันเทิงเก่าแก่ของจังหวัด เปิดให้บริการกับผู้ชายที่มีความต้องการทางเพศได้มาใช้บริการ ที่แห่งนี้มีหญิงบริการถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวถูกบังคับให้รับแขกอย่างทารุณ ไม่ได้พักผ่อน บ้างก็ถูกทำร้ายร่างกาย บ้างก็เป็นโรคร้าย จนสุดท้ายหญิงสาวทั้งหมดได้เสียชีวิตลงที่นี้อย่างมากมาย จนเราเรียกได้ว่าเป็น "สุสานโสเภณี" ซึ่งชาวบ้านบริเวณนั้น มักได้ยินเสียงผู้หญิงและเด็กร้องขอความช่วยเหลือเมื่อเข้าไปดูก็ไม่พบใคร เลย

2.บ้านผีมอญ จ.กาญจนบุรี คู่สามี-ภรรยาเจ้าของบ้านเป็นคนมอญที่มีนิสัยหวงของมาก จะดุด่าคนที่แอบมาขโมยผลไม้ในสวน ด้วยความที่เป็นคนหวงของและดุด่าเก่งมาก จึงทำให้ถูกฆ่าตายแล้วนำศพมาทิ้งไว้ที่ท้ายสวน วันหนึ่งมีคนเข้ามาเก็บผลไม้ในสวน แกก็ตามไปทวงถึงบ้าน จนคนที่เก็บไปรีบนำมาคืนแทบไม่ทัน นอกจากนี้ ยังมีศพชาวกะเหรี่ยง ๙ ศพ ที่ถูกวิสามัญฝังอยู่บริเวณบ้านหลังนี้

3.บ้านผมผี จ.กาญจนบุรี หญิงผู้เป็นเจ้าของบ้าน ตัดสินใจลาบวชด้วยความเสียใจที่คนในบ้านตายที่ละคนโดยไม่ทราบสาเหตุ หลังจากนั้นก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ปล่อยบ้านทิ้งไว้จนกลายเป็นสภาพบ้านร้าง ชาวบ้านบริเวณนั้น นึกว่าเจ้าของบ้านเสียชีวิตไปแล้ว จึงเข้าไปดูในบ้าน ปรากฏว่าเส้นผมเต็มไปหมด บางคนก็ได้ยินเสียงคนคุยกันอยู่ในบ้าน

4.โรงพยาบาลสยอง จ.ระยอง ด้วยพิษทางเศรษฐกิจเมื่อหลายปีก่อน ทำให้โรงพยาบาลแห่งนี้ปิดกิจการลง กลายเป็นโรงพยาบาลร้างในที่สุด ในเวลากลางคืนชาวบ้านมักเห็นไฟเปิดสว่างเต็มไปหมด บางคนเข้าไปก็เห็นเตียงนอนคนไข้เข็นเองได้ กลายเป็นเรื่องราวชวนสยองเลื่องลือถึงกิตติศัพท์ความน่ากลัวมาถึงปัจจุบัน

5.สุสานศพไร้ญาติ จ.ชลบุรี ศพไร้ญาติทั้งหลายเหล่านี้ ถูกนำมาขุดหลุมฝังเป็นสุสานไร้ญาตินับร้อยนับพัน ขุดเรียงรายกันเป็นทิวแถวยาว จนทำให้หลาย ๆ คนเล่ากันว่าเป็นฮวงซุ้ยที่น่ากลัวมาก ๆ หลายครั้งที่ได้ออก TV รายการต่าง ๆ มักไปทำที่นั่น

6.บ้าน ๔ ศพ จ.ชลบุรี ครอบครัวหนึ่งประกอบด้วยพ่อ แม่ และลูก ๒ คน เดินทางไปท่องเที่ยว แต่ระหว่างทางประสบอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำเสียชีวิตทั้งหมด บ้านหลังนั้นกลายเป็นบ้านร้าง แต่คนที่ผ่านไปมาเห็นเงาคนเหมือนมีคนอยู่ในบ้านอยู่เสมอ และยังเป็นที่พบศพถูกฆาตกรรมอย่างปริศนา มีห่วงเชือกผูกเป็นปมมัดอยู่ในบ้างหลังนั้น

7.บ้านผีนายพล จ.ชลบุรี เป็นบ้านพักตากอากาศชายทะเลที่ครอบครัวนายทหารมาพักผ่อน และถูกฆาตกรรมทั้งครอบครัว ศพทั้งหมดถูกยัดไว้ในห้องใต้ดินของบ้านพักตากกาศหลังนี้ มีคนเคยเห็นควันธูปลอยขึ้นมาในบริเวณบ้านหลังนี้ด้วย

8.บ้านผียายสรวง จ.อยุธยา หญิงชราเจ้าของบ้านผู้ชอบกินหมาก ได้เสียชีวิตลงภายในบ้าน พร้อมกับโลงศพที่พบภายในบ้านจนถึงทุกวันนี้ ผู้คนแถวนั้นยังคงได้ยินเสียงคนแก่พูด และเสียงตำหมากอยู่ทุกค่ำคืน

9.บ้านผีโหด อ.บางเลน จ.นครปฐม เกิดเหตุทะเลาะวิวาทฆ่ากันตาย พ่อตายิงลูกเขยเสียชีวิตลง แล้วนำศพไปทิ้งไว้ในบ่อหลังบ้าน ปัจจุบันยังคงมีคราบเลือดที่ขอบกำแพง

10.บ้านผีตายโหง หนองจอก เป็นบ้านร้างมาเกือบ ๑๐ ปี มีการเล่ากันว่า นอกจากจะมีการฆ่ากันตายในบ้านแล้ว ยังมีผู้หญิงเข้ามาผูกคอตายในบ้านหลังนี้อีก และยังมีการนำเอาศพมาทิ้งไว้ใต้บันไดเพื่ออำพรางคดีอีกด้วย

11.บ้านตรอมใจ หนองจอก หญิงสาวเจ้าของบ้านนับถือศาสนาพุทธรับการกระทำของสามีที่นับถือศาสนาอิสลามเกี่ยวกับเรื่องผู้หญิงไม่ได้ ทั้งสองจึงทะเลาะวิวาทกัน ฝ่ายชายหนีออกจากบ้านไป ฝ่ายหญิงได้แต่เฝ้ารออยู่ที่บ้าน จนกระทั่งล้มป่วยเพราะตรอมใจ และเสียชีวิตลงในที่สุด ชาวบ้านแถวนั้นมักได้เสียงร้องไห้คร่ำครวญของผู้หญิงเสมอ

12.บ้านเสาตกน้ำมัน จ.ราชบุรี บ้านทรงไทยที่มีเสาตกน้ำมันไหล จากข้างบนลงมาข้างล่าง ด้วยความที่เป็นบ้านร้างก็มีเถาตำลึงขึ้นเต็มไปหมด ชาวบ้านไปเก็บ ปรากฏว่ามีผู้หญิงใส่ชุดไทยมายืนชี้หน้าอยู่

ผีขึ้นจากหลุม ณ ป่าช้าเก่า

"สุริยา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากป่าช้าเก่า สมัยเด็กผมเคยอยู่ที่ภาคอีสานหลายจังหวัด สาเหตุเพราะพ่อรับราชการเป็นครูน่ะซีครับ ข้อดีก็คือได้เห็นท้องถิ่นแปลกหูแปลกตา ไม่นˆาเบื่อเหมือนกับต้องอยู่จำเจ แต่ข้อเสียก็คือไม่มีเพื่อนเก่า เจอะเจอแต่เพื่อนหน้าใหม่ๆ อยู่ร่ำไป เท่านันยังไม่พอ เมื่อตอนที่ย้ายไปอยู่ชัยภูมิผมยังโดนผีหลอกเอาเต็มเปา! ถึงแม้จะผ่านมานานแล้ว แต่ผมยังจำได้ว่าที่นั่นคือตำบลหนองฉิม อำเภอจัตุรัส สมัยนั้นเรียกว่าเป็นบ้านป่าก็คงไม่ผิดนัก เราไปอยู่ที่หมู่บ้านเล็กๆ ราวสองร้อยหลังคาเรือนเห็นจะได้ มีทั้งดงตาลและป่ากล้วยรายล้อม ยามลมพัดจะเกิดเสียงซู่ซ่าน่าวังเวงใจอย่างบอกไม่ถูก หลังหมู่บ้านมีลำห้วยที่แห้งแล้ง สองฝั่งมีแต่กอไผ่กับดงสะแกเรียงราย เวลาลงไปเล่นซ่อนหากันข้างล่าง เสียงใบไม้แห้งที่ทับถมกันมานานจะทำให้เกิดเสียงกรอบแกรบ ต้องหลบขึ้นไปซ่อนอยู่หลังกอไผ่หรือดงสะแกครับ คนหาจะได้หาเราได้ยากหน่อย แต่ที่สำคัญกว่าอะไรทั้งหมดก็คือ ผีดุบรรลัยจักรเชียวคุณเอ๋ย พวกผู้เฒ่าผู้แก่เล่าให้ฟังว่า ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่าหมู่บ้านนี้ตั้งเป็นกระจุกอยู่บนเนินดินกว้างขวาง...สมัยก่อนเคยเป็นป่าช้าครับ! พวกผู้ใหญ่เขาไม่แยแสกันเท่าไหร่ แต่เด็กๆ อย่างผมนˆะซี พอได้ยินก็เล่นเอาขนลุกขนพองไปหมด สันหลังงี้เย็นวาบๆ เชียว ...แหม! เด็กที่ไหนจะไม่กลัวผีล่ะครับ? บรื๋ออออ... ตอนแรกยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่พอเขาเล่าว่าพวกที่มาลงหลักปักฐานอยูใหม่ๆ ขุดดินลงเสาเรือน ล้วนแต่เจอะเจอโครงกระดูกผุพังกันทั้งนั้น จะปลูกต้นไม้ต้นไร่อะไรก็เจอแต่กระดูกของคนโบราณเป็นว่าเล่น...คว้ากระดูกขาวๆ ขึ้นมาได้ก็เหวี่ยงเข้ารกเข้าพงโดยไม่แยแส ระยะแรกๆ เราไปอยู่หลังสงกรานต์ อากาศค่อนข้างอบอ้าวเลยต้องมาปูเสื่อสาดนอนกันที่ระเบียง ถัดไปเป็นนอกชาน และรั้วไม้ระแนงล้อมรอบ มุ้งม่านอะไรนี่ไม่จำเป็น เพราะที่นั้นไม่มียุงมารบ กวน บ้านเช่าของเราน่ะอยู่กลางหมู่บ้านเลยนะครับ มีต้นตาลระเกะระกะพอๆ กับบ้านเล็กเรือนน้อย ตอนกลางคืนได้ยินเสียงลมพัดใบตาลแก่ๆ ดังแกร็กๆ นึกถึงเรื่องผีเรื่องเปรตที่เขาว่ามันร้องวี้ดๆเพราะปากแหลมเท่ารูเข็มแล้วเล่นเอาปากคอแห้งผากไปทันใด เวลาผ่านไปได้แค่ 2-3 คืนผมก็เจอดี! หน้าบ้านเช่าชั้นเดียวเตี้ยๆ ของเรามีต้นตาลที่สะบัดใบซ่าๆอยู่เป็นประจำ ยิ่งตอนกลางคืนยิ่งดังบ่อย บางครั้งผมนึกเอะใจว่าไม่มีลมพัดซักนิดทำไมใบตาลที่ห้อยลงมาน่ะมันแกว่งไกวได้ล่ะ? คืนนั้น...ขณะที่กำลังเคลิ้มหลับผมก็ต้องลืมตาตื่นเมื่อได้ยินเสียงแปลกประหลาดที่ดังมาจากหน้าบ้าน คือเสียงดังแกร็กๆ อยู่แถวต้นตาล จนทำให้ผมต้องหันหน้ามองขึ้นไปดู... ท่ามกลางแสงดาวระยิบระยับ เห็นต้นตาลยืนทะมึน ยอดตาลสงบนิ่ง แต่เสียงแปลกๆ นั่นยังดังอยู่ตามเดิม..ครั้นเงียหูฟังครู่หนึ่งก็ถอนใจยาวเมื่อรู้แน่ว่าเป็นเสียงเคาะไม้เบาๆ เป็นจังหวะมาจากโคนต้นตาลนั่นเอง เอ๊ะ! แล้วใครมาเคาะไม้หาสวรรค์วิมานอะไรในยามดึกดื่นแบบนี้ล่ะ ในเมื่อเลยค่ำไปไม่นานชาวบ้านก็หลับนอนกันจนหมดสิ้นแล้วนี่นา? จากเสียงเคาะไม้กลายเป็นเสียงเอี๊ยดอ๊าดมาจากรั้วไม้ระแนง อารามอยากรู้อยากเห็นทำให้ผมผงกหัวขึ้นมอง ท่ามกลางสายลมเยือกเย็นภายใต้แสงดาวส่องสลัว ผม ตกตะลึงตัวแข็งทื่อเมื่อเห็นภาพนั้นเข้าถนัดตาพอดี ร่างตะคุ่มๆ ของผู้ใหญ่สองกับเด็กหนึ่งกำลังช่วยกันดึงรั้วไม้โปร่งๆ อย่างเอาเป็นเอาตาย ทั้งสามมีผิวกายดำมืด มองไม่เห็น หน้าตา แต่ก็รู้ว่าไม่ใช่คนธรรมดาๆ อย่างพวกเราแน่ ท่าทางยงโย่ยงหยกคล้ายจะแหวกรั้วเข้ามาให้จงได้ เสียงเคาะไม้ดังขึ้นอีกครั้ง สั่นสะเทือนเข้าไปถึงหัวใจที่เต้นโครมครามเหมือนจะพังทลายออกมาข‰างนอก...อยากร้องเรียกพ่อแม่ก็ร้องไม่ออก ขณะที่ร่างทั้งสามหยุดชะงักราวจะรู้ว่ามีใครจ้องมอง ก่อนจะเงยหน้าดำปี๋ขึ้นมากระทบแสงดาว....ผมแผดร้องออกมาสุดเสียงในพริบตา! เมื่อพ่อแม่ตื่นขึ้นมาก็ไม่ปรากฏร่างอุบาทว์ทั้งสามให้เห็นเลย อาทิตย์ต่อมา มีชาวบ้านขุดพบโครงกระดูก 3 ร่างข้างๆ บ้านเรา เป?นผู้ใหญ่ 2 กับ เด็ก 1 สันนิษฐานว่าเป็นเป็นพ่อแม่ลูกที่ตายพร้อมกันเพราะโรคระบาด...เขาห่อกระดูกไปให้พระสวดมนต์แล้วฝากวัดไว้...ผมเองก็ไม่เคยเห็นภาพสยองอีกเลยครับ

วิญญาณเฮี้ยน เมื่อไปฟังสวดศพ

"ศศิพงศ์"เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อไปฟังสวดศพ ป้าเพลินเป็นหญิงชราอายุ 70 เศษ อยู่บ้านใกล้ๆ กับดิฉันที่หน้า ม.เกษตร นี่เองค่ะ แกเป็นย่าเป็นยายคนเกือบทั้งซอยก็ว่าได้ แต่ป้าเพลินเป็นเพื่อนกับแม่ของดิฉันมาตั้งแต่รุ่นสาว ตอนนั้นดิฉันยังตัวกะเปี๊ยกจนเดี๋ยวนี้เกือบจะถึงหลักสี่อยู่รอมร่อแล้ว ครอบครัวเราสนิทกันเหมือนญาติ นอกจากการไปมาหาสู่กันเป็นปกติ ก็ยังมีการไต่ถามสารทุกข์สุกดิบกันและกัน ใครทำอาหารดีๆ ก็ตักไว้ให้กันเป็นประจำ...ป้าเพลินชอบออกมาเดินเล่นในซอยแทบทุกเย็น บอกว่าเป็นการออกกำลังกายที่ดีที่สุด แต่คนเราก็หนีกฎธรรมชาติไม่พ้น ไม่ว่าเกิด แก่ เจ็บ ตาย! แม่ของดิฉันล่วงลับไปเมื่อเกือบ 3 ปีมาแล้วด้วยโรคมะเร็งในลำไส้ใหญ่ ป้าเพลินเสียน้ำตาให้เห็นเป็นครั้งแรก ทุ่มเทแรงกายแรงใจช่วยงานศพเต็มที่ บอกดิฉันว่า...คนรุ่นป้าพากันล่วงหน้าไปหมดแล้ว เหลือแต่ป้าคนเดียว ไม่รู้ว่าจะถึงเวลาเมื่อไหร่? แต่คงอีกไม่นานหรอก... ตั้งแต่นั้นมา ป้าเพลินก็ดูอิดโรยอ่อนล้า เจ็บป่วยกระเสาะกระแสะเรื่อยมา คิดๆ แล้วก็ใจหาย เมื่อนึกว่าชีวิตคนเรานับวันแต่จะโรยรา แก่ตัวก็เหมือนไม้ใกล้ฝั่ง ความเจ็บป่วยดาหน้าเข้ามาหา บั่นทอนสุขภาพลงไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงวันนั้น... ร่างเล็กๆ ของป้าเพลินออกมาเดินในซอยหน้าบ้านไม่ไหวอีกแล้ว นอกจากจะจับเจ่าอยู่ในบ้าน ในที่สุดก็ต้องนอนแซ่วอยู่บนเตียง นัยน์ตาสีน้ำข้าวฉายแววเจ็บปวดร้าวรานเหมือนนักโทษในกรงขังของร่างกายตัวเอง! ดิฉันใจหายทุกครั้งที่ไปเยี่ยมป้าเพลิน กุมมือเหี่ยวย่นและเย็นชืดนั้นไว้อย่างปลอบประโลม ไม่อยากพูดปดเพื่อปลอบใจว่าคุณป้าจะหายเร็วๆ นี้...รู้ดีว่าจะไม่มีวันนั้นแน่นอน "ป้าอยากจะออกไปเดินในซอย ขอแค่ไปยืนที่หน้าบ้านก็ยังดี!" เสียงแหบเครือกับแววตาสิ้นหวัง น้ำใสๆ รื้นเต็มเบ้าตา บ่งบอกว่านั่นเป็นความวาดหวังที่สูงส่งเกินไปจนสวรรค์ไม่มีจะให้...กระทั่งวันสุดท้ายมาถึง เมื่อป้าเพลินนอนหลับไปตลอดกาลนานในโลกมนุษย์... คืนแรกที่สวดศพในวัดนั่นเอง ป้าเพลินก็กลับมา! เพื่อนบ้านพากันไปฟังสวดอภิธรรมคับคั่ง รูปถ่ายของป้าเพลินสมัยสาวๆ ตั้งโดดเด่นอยู่หน้าโลงศพสีทอง...คุณน้าผ่องศรีนั่งพนมมือฟังพระสวดเสียงเยือกเย็นอยู่ดีๆ ก็เอียงหน้าเข้ามากระซิบดิฉันว่า...ป้าเพลินยิ้มให้น้าด้วยละ คนเราตาฝาดกันได้นะคะ โดยเฉพาะในแสงไฟท่ามกลางบรรยากาศเยือกเย็น ชวนให้วังเวงใจ คุณน้าผ่องศรีก็ใกล้จะ 70 อยู่แล้ว...แต่ตอนขากลับที่เราลงจากรถตู้ของคุณลุงจำนงในซอย แยกย้ายกันเข้าบ้าน สามีภรรยารุ่นพี่คู่หนึ่งก็ร้องวี้ดว้ายมากระทบหูจนพวกเราวิ่งไปดู หน้าตาซีดเซียว ปากคอสั่นทั้งคู่ ก่อนจะรวบรวมสติเล่าให้ฟังด้วยเสียงกระหืดกระหอบแทบฟังไม่รู้เรื่อง ปรากฏว่าเดินมาจะถึงบ้านอยู่แล้ว เห็นร่างเล็กๆ ผอมๆ ของหญิงชราที่คุ้นตาเดินนำหน้า ท่าทางลอยๆ ชอบกลเหมือนเท้าไม่แตะพื้น พอสะกิดกันดูก็พอดีหญิงชราผู้นั้นหันมามองยิ้มๆ...ป้าเพลินเองค่ะ! "คงจะตาฝาดไปเองน่ะค่ะ ไม่มีอะไรหรอก..." ดิฉันปลอบ...แต่ทันใดนั้นก็มีกลิ่นน้ำอบไทยอวลกรุ่นมาเข้าจมูก กลิ่นน้ำอบที่รดน้ำศพป้าเพลินเมื่อตอนเย็นนี้เอง! เล่นเอาเหลียวซ้ายแลขวากันเลิ่กลั่ก ก่อนจะรีบกลับบ้านใครบ้านมันทันที ยอมรับว่าดิฉันใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น สับสนงุนงงอย่างบอกไม่ถูก...วิญญาณมีจริงหรือนี่? วิญญาณป้าเพลินเฮี้ยนถึงปานนี้เชียวหรือ? วิญญาณที่ใฝ่ฝันก่อนตายอย่างรุนแรงที่จะได้ลุกจากเตียง เพื่อออกมาเดินเล่นในซอยอย่างที่เคยทำมาชั่วชีวิต...จนกระทั่งวิญญาณหลุดลอยออกจากร่าง ได้รับอิสรเสรีตามเดิม! ก้าวเข้าไปในบ้านที่ค่อนข้างเงียบเชียบ...กลิ่นน้ำอบไทยเย็นๆ ล่องลอยมาเข้าจมูกอีกแล้ว ดิฉันขนลุกซ่า เหลียวซ้ายแลขวาอย่างหวาดระแวง จนสายตาประสบกับภาพถ่ายขนาดใหญ่บนหลังตู้หนังสือ...ภาพของป้าเพลินกำลังยิ้มระรื่นเคียงคู่กับแม่ดิฉันที่ชายหาดแห่งหนึ่ง คุณพระช่วย! รอยยิ้มของป้าเพลินกว้างขวางขึ้นทุกที ดิฉันพร่ามึนจนเดินเข้าไปหาเหมือนถูกสะกด ก่อนจะหยุดเงยหน้ามองดูรอยยิ้มกับนัยน์ตาเศร้าๆ ของป้าเพลินที่มองตอบมา...น้ำตาเอ่อคลอก่อนจะไหลรินลงมาอย่างเชื่องช้า ดิฉันขนลุกซ่า กลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น...ขอให้ไปสู่สุคติเถอะค่ะ ป้าเพลิน!

ตำนานแฮปปี้แลนด์ สวนสนุกสุดสยอง สุดสะพรึง

เรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องที่เล่าสืบต่อกันมาตั้งแต่รุ่นปู่ของผม และเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงครับ "ตำนานแฮปปี้แลนด์ สวนสนุกสยอง" แฮปปี้แลนด์ ตั้งอยู่ตรงข้ามกับเดอะมอลล์บางกะปิ กรุงเทพมหานคร เป็นจุดที่รถเมล์สาย 8 หมดระยะ ไม่มีใครที่ไม่รู้จักแฮปปี้แลนด์ แฮปปี้แลนด์สมัยก่อนเป็นสวนสนุกที่มีตำนานที่น่าสะพรึงกลัวมาก มีเครื่องเล่นมากมายอย่างเช่น ชิงช้าสวรรค์ รถไฟเหาะ เรือหรรษา ปาเป้า ม้าหมุน ชิงช้า กระดานหก บ้านผีสิงหลังเล็กๆ และอื่นๆ อีกมากมาย แต่ไม่หรูเท่าแดนเนรมิต แฮปปี้แลนด์จะออกสไตล์สวนสนุกตามงานวัด เป็นสวนสนุกที่ทำให้คนชั้นกลางถึงชั้นรากหญ้าเล่นโดยเฉพาะ แดนเนรมิตจะไฮโซกว่ามาก คนสมัยก่อนนิยมไปเล่นที่นี่มากพอๆ กับที่แดนเนรมิต ตอนนั้นดรีมเวิลดิ์ยังไม่ได้สร้าง นานๆ เข้าเครื่องเล่นส่วนใหญ่ก็เก่าและชำรุดไปตามกาลเวลา ทำให้เกิดอุบัติเหตุจนคนเล่นบางคนตาย ซึ่งแปลกมากที่ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กๆ ทั้งนั้น เช่น นั่งชิงช้าสวรรค์หรือม้าหมุนแล้วพลัดตกลงมาตายบ้าง เล่นเรือหรรษาแล้วเกิดพลัดตกน้ำจมน้ำตายบ้าง ตกราวรถไฟเหาะตายบ้าง บางคนก็ถูกฆ่าหั่นศพในบ้านผีสิงแล้วเอาศพทิ้งไว้จนเน่าในนั้นเลย แต่ละคนตายแบบแปลกๆ และสยองขวัญมากๆ ตายแบบไม่มีคนเห็นด้วย ลือกันว่ามีฆาตกรโรคจิตคนหนึ่งชอบลักพาตัวเด็กที่มาเล่นเครื่องเล่นตอนกลาง วัน แล้วเชือดคอฆ่าทิ้งในตอนกลางคืน ทิ้งศพไว้ตามบริเวณต่างๆ ของสวนสนุก แฮปปี้แลนด์จึงเต็มไปด้วยศพของเด็กจำนวนมาก และไม่มีใครรู้ว่าฆาตกรคนนั้นเป็นใคร ทำไปเพื่อจุดประสงค์อะไร แต่ทางสวนสนุกต้องปิดข่าวเอาไว้เพราะกลัวคนที่มาเล่นจะตกใจ แฮปปี้แลนด์ในตอนนั้นจึงเป็นสวนสนุกที่เด็กมาเล่นแล้วตายมากที่สุด แต่ไม่ค่อยมีคนรู้ ! นานวันเข้า เครื่องเล่นเก่าและเจ๊งมากขึ้น คนเล่นก็ตายมากขึ้นด้วย ข่าวเริ่มปิดไม่มิด ทำให้สวนสนุกแฮปปี้แลนด์ไม่มีคนกล้ามาเล่นมากเท่าเมื่อก่อน ในที่สุดก็เจ๊ง ถูกรื้อ และกลายเป็นที่รกร้างไป ผ่านไปหลายปี มีคนคิดมาเปิดตลาดขายของที่นี่ และเปลี่ยนจาก สวนสนุกแฮปปี้แลนด์ เป็น “ ตลาดสด แฮปปี้แลนด์ “ จนถึงปัจจุบัน ( ป้ายยังมีอยู่ ถ้าไปก็ยังเห็นครับ ) ตอนนี้แฮปปี้แลนด์ไม่มีอะไรน่ากลัวอีกแล้วเพราะมีแต่ของมาขายเยอะมาก แต่กลางคืนก็ยังไม่คอยมีใครกล้าเดินแถวนั้นคนเดียวเพราะกลัวผี ลือกันว่าตอนดึกๆ คนที่มีบ้านอยู่แถวแฮปปี้แลนด์นั้นจะได้ยินเสียงเด็กๆ ร้องกันเสียงดังจ้อกแจ้กดังมาจากที่ไหนซักแห่งไกลๆ ราวกับว่าเด็กพวกนั้นกำลังเล่นเครื่องเล่นกันอยู่อย่างสนุกสนานเลยทีเดียว แต่พอออกไปดูก็ไม่เห็นอะไรเลย มีคนเคยบอกว่า เนื่องจากเด็กๆ พวกนี้ตายขณะที่ยังสนุกกับเครื่องเล่นอยู่ และพวกเขาอาจจะไม่รู้ว่าตนเองตายไปแล้ว พวกเขาจึงยังคงเล่นกันต่อไปจนกว่าจะไปเกิดใหม่ถึงแม้ว่าตอนนี้จะไม่มี เครื่องเล่นหลงเหลืออีกแล้วก็ตาม หรือไม่พวกเขาก็อาจจะกำลังหาเครื่องเล่นที่ตนเองเล่นก่อนจะตายอยู่ก็ได้ ไม่มีใครรู้แน่ชัด แต่สิ่งที่รู้คือ วิญญาณตายโหงของเด็กๆ พวกนั้นยังวนเวียนอยู่ในแฮปปี้แลนด์จนถึงทุกวันนี้ ทั้งหมดนี้คือตำนานของสวนสนุกแฮปปี้แลนด์ครับ ********************************************** เอาล่ะค่ะ กลับมาเข้าเรื่องของเรากันต่อดีกว่า เมื่อก่อนนี้สวนสนุกแห่งนี้ดังมากๆ น่าจะเมื่อประมาณเกือบ 30 ปีที่แล้ว เกิดไม่ทันกันใช่ไม๊ล่ะคะ อิอิ (ดิฉันก็เกิดไม่ทันเช่นกันค่ะ) สมัยก่อนสวนสนุกแห่งนี้ น่าจะเป็นสวนสนุกขนาดใหญ่แห่งเดียวใน กทม. ที่ใครเกิดทันในสมัยนั้นน่าจะต้องรู้จัก แต่ดิฉันเองไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามีคนเสียชีวิตเยอะขนาดนั้น (บรื้อ~) และก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีฆาตกรแอบฆ่าเด็ก *0* (น่ากลัวแฮะ) เพราะเท่าที่คุณพ่อเล่าให้ฟัง ก็คือสวนสนุกแห่งนี้เครื่องเล่นไม่ได้มาตรฐาน (ll ลองนึกถึงชิงช้าสวรรค์งานวัดดูแล้วจะรู้ค่ะ) มีเด็กเสียชีวิตหลายคน แต่ทางสวนสนุกปิดข่าว คนส่วนใหญ่ที่รู้คือคนที่อาศัยอยู่แถวๆ นั้นบอกต่อๆ กันมาค่ะ และกรณีล่าสุดที่เป็นสาเหตุให้สวนสนุกแห่งนี้ต้องปิดตัวไปก็คือ.... "ชิงช้าสวรรค์ที่ไม่ได้มาตรฐาน" เนื่องจากมีคนเห็นกันจะๆ และออกข่าวใหญ่โต อาจจะเป็นเพราะมีคนที่เห็นเหตุการณ์อยู่เป็นจำนวนมาก เลยไม่สามารถเอาดินกลบเรื่องราวที่มีคนตายได้อย่างที่แล้วๆ มา ...... คุณพ่อของดิฉันเล่าให้ฟังว่า มีครอบครัวหนึ่งพาลูกมาเที่ยวที่สวนสนุกแห่งนี้ แล้วก็พาลูกไปนั่งชิงช้าสวรรค์เพื่อชมวิวด้านบน ขอออกนอกเรื่องนิดนึงนะคะ.... เมื่อก่อนดิฉันก็ชอบนั่งชิงช้าสวรรค์เวลามีงานวัดแถวบ้านเช่นกัน ซึ่งกว่าจะอ้อนวอนและขู่เข็ญให้คุณพ่อพาขึ้นชิงช้าสวรรค์ได้ ก็นานพอสมควร และคุณพ่อก็มักจะล็อคตัวดิฉันเอาไว้ไม่ให้กระดุกกระดิกไปไหน พลางชี้ให้ดูเหล็กที่เชื่อมกับตัวชิงช้าที่มัน "งอๆ" ให้ดู.... แต่แหม...เด็กๆ มันจะไปคิดอะไรได้ จริงไม๊คะ ll ที่คุณพ่อกลัวชิงช้าสวรรค์....ก็เพราะสาเหตุมาจากเรื่องราวของ "สวนสนุกแฮปปี้แลนด์" นี่แหล่ะค่ะ ทำให้ฝังใจจนไม่กล้าให้ดิฉันนั่ง เข้าเรื่องกันต่อค่ะ......หลังจากที่ครอบครัวนี้ขึ้นไปนั่งบนชิงช้า สวรรค์มรณะแห่งนี้แล้ว....ทุกคน รวมถึงคนอื่นๆ ที่นั่งกระเช้าใกล้ๆ กันก็ไม่รู้เลยว่าจะมีเหตุการณ์สยดสยองเกิดขึ้น...... เมื่อ...กระเช้าชิงช้าแห่งนี้หมุนขึ้นไปได้ซักพักหนึ่ง เด็กคนนั้นก็ดีใจตามประสาเด็ก...ที่ตื่นเต้นกับวิวจากมุมสูงด้านบน ซักพัก...เด็กคนดังกล่าวก็ชะโงกศีรษะออกมาจากด้านนอกชิงช้า....โดยที่ไม่ได้ ระวังตัวเอง ซึ่งผู้ปกครองเองก็คงจะชะล่าใจไม่ทันระวังตัว (หรืออาจจะห้ามไม่ทัน) ทันใดนั้น !!.... ศีรษะของเด็กคนนั้นก็ขาดกระเด็น ตกลงมายังเบื้องล่าง... ท่ามกลางความตกตะลึงของผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด (คาดว่าน่าจะโดนส่วนใดส่วนหนึ่งของเหล็กของชิงช้าสวรรค์ตัดคอ) หากจะโทษว่าเป็นความผิดของสวนสนุก...ก็น่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ไม่ทำกระเช้าให้มิดชิด ไม่ให้มีชิ้นส่วนใด ของร่างกายสามารถยื่นออกมาได้ ดิฉันเองไม่แน่ใจว่ามีประมาณ 2 รายหรือเปล่า ที่เสียชีวิต (อันนี้ต้องกลับไปถามคุณพ่ออีกที) แต่ก็เป็นที่กล่าวขวัญกันของของแถวๆ นั้นค่ะ ว่าได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กๆ ในตอนกลางคืน และยังคงได้ยินกันมาตลอดหลังจากที่สวนสนุกแห่งนี้ปิดตัวลง ซึ่งเป็นเวลานานพอสมควร กว่าที่แห่งนั้นจะมีคนซื้อไปทำหมู่บ้านจัดสรร และสิ่งก่อสร้างอื่นๆ (แต่ตอนนี้ไม่ได้ยินแล้วมั้งคะ คนเยอะออกขนาดนั้น) สุดท้ายนี้ขอให้เพื่อน ๆ ที่ได้เข้ามาอ่านเรื่องนี้ตั้งจิตอธิษฐาน อุทิศส่วนกุศล ให้วิญญาณกับเด็ก ๆ ทั้งหลายเหล่านั้น ทั้งที่ไปเกิดแล้วก็ดี และยังไม่ได้ไปเกิดก็ดี ขอให้วิญญาณทั้งหลายเหล่านั้นได้พบหนทางแห่งความสว่าง และหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งมวลด้วยเทอญ สาธุ~ ปล. ใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาทนะคะทุกคน (นอนหลับฝันร้ายค่ะ แฮ่ๆ) บรื้อ~~~ เครดิต FW Mail ครับ...

อาถรรพ์ ทำไมใครๆ ก็พากันต้องตายในห้องเลข305

ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ กรุงเทพฯ 22 พ.ค.-หนุ่มใหญ่เสพยาเกินขนาด เสียชีวิตคาห้องพักย่านอ่อนนุช ตำรวจคาดเสียชีวิตมาแล้ว ไม่ต่ำกว่า 3 วัน นายเกียรติศักดิ์ กิตติโฆษน์ อายุ 39 ปี อาชีพคนขับรถ แท็กซี่นอนเสียชีวิตอยู่ในห้องพักเลขที่ 305 จุฑาแมนชั่น ตรงข้ามซอยอ่อนนุช 35 ที่เกิดเหตุพบสายยาง ซึ่งเป็น อุปกรณ์เสพยาตกอยู่ ตำรวจจึงสันนิษฐานว่า ผู้ตายอาจเสพยาเกินขนาดจนเสียชีวิต ทั้งนี้ ในห้องพักยังล็อกกลอนจากด้านใน ทำให้ตำรวจตัด ประเด็นชิงทรัพย์ทิ้ง เบื้องต้นได้ส่งศพไปชันสูตรที่สถาบัน นิติเวช โรงพยาบาลตำรวจแล้ว.-สำนักข่าวไทย อัพเดตเมื่อ 2009-05-22 03:09:26 คืออย่างนี้ครับ ไอ้ข่าวนี้มันเกิดขึ้นใกล้ตัวผมมาก เพราะผมอยู่ห้องตรงข้ามกับมัน ซึ่งวันที่เค้ามาเอาศพเหม็นมากครับแล้วทีนี้เลยลองมาหาข้อมูลในเนทว่าเค้าหน้าตายังไง คนไหนแต่ไม่ปรากฏหลักฐานแต่ดันไปรู้ข้อมูลที่น่าตกใจไปมากกว่านั้น คือ ผมใช้กูเกิ้ลค้นหาคำว่า "ตาย ห้อง305" ซึ่งมีหน้าที่แสดงขึ้นมามากมาย แต่ล้วนเป็นข่าวคนตายในห้อง305ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็รามอินทรา ลาดพร้าว มีนบุรี ต่างจังหวัดก็มี สาเหตุการตายก็เกิดจาก ฆ่ากันเสียเป็นส่วนมาก ไม่เชื่อ ลองเสิร์ชดูสิครับ แล้วการตายที่ว่าจะเกิดจากการทำตัวไม่ดีทั้งสิ้น ทั้งมีกิ้ก เสพยา ปล้น นอกจากห้องพักแล้วบ้านเลขที่ 305 ก็ยังมีคนตายอีกเป็นจำนวนมาก "ทำไมใครก็พากันต้องตายในห้อง305" ผมจึงเกิดความคิดขึ้นมาว่าถ้าเราค้นหาจนครบ จะมีคนตายในห้อง 305 จากแมนชั่น อพาร์ทเม้นต่างๆ กี่คน แล้วทำไมต้องตายเฉพาะเลข 305 นี้ ผมลองค้นหาเลขอื่นเช่น 306 307 408 409 สารพัด กลับไม่มีหรือมีก็น้อยมาก จากการวิเคราะห์ด้วยหลักฮวงจุ้ยของจีน เลข 305 แปลว่า ไม่ --เกิด 3 แปลว่าเกิด 5 แปลว่าไม่ รวมแล้วคือ ไม่เกิด นั่นก็คือ "ตาย"นั่นเอง ผมไปค้นหาต่อถึงข่าวอาชญากรรมต่างประเทศ มีเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับ 305 อีกมากมาย เช่นจำนวนคนตายในเหตุวินาศกรรม เลขทะเบียนรถที่ใช้ระเบิด เที่ยวบิน305 ที่ตกในเนปาล ขนาดภราดรไปพักโรงแรมห้อง 305 ไฟยังไหม้เลย และจากข้อมูลเหล่านี้ยิ่งทำให้ผมต้องค้นหาสาเหตุของมันต่อไปอีก ผมนำ 3 + 5 = 8 เลข 8 ถ้าเรากลับตัวมัน จะเป็นเครื่องหมาย อินฟินิตี้ ที่แปลว่า ไม่มีที่สิ้นสุด นั่นหมายถึง 305 จะก่อให้เกิดความตายอย่างไม่มีที่สิ้นสุด พระที่วัดลาดปลาเค้าท่าน ให้ความรู้มาว่า เลข 305 เกี่ยวข้องกับตำราโหราศาสตร์พม่า เป็นเลขที่ถูกสาปแช่งให้วิบัติ ใครที่เกี่ยวข้อง กับเลขนี้ต้องหายนะมานานนับร้อยๆ ปี เพราะวันที่! พม่าแพ้สงครามไทยนั้นเกิดขึ้น วันที่ 30 เดือน 5 พม่าแค้นมากจึงลงเลขยันต์ตัวนี้ใส่ไว้ใต้ฐานเจดีย์ ท่านบอกว่า 305 เป็นเลขผี เลขไม่มงคล เหมือ 13 ของฝรั่ง เลขไทยมีแต่รู้กันว่า 9 ดี 1 ดี แต่ไม่มีใครรู้ว่า 305 นั่นไม่ดี ท่านบอกว่าตอนนี้ใครที่มีความผูกพันธ์ ใกล้ชิดกับเลขนี้ ให้นำแผ่นทองไปติดทับเลข 5 เสีย ให้เหลือ 30 ไว้ จะได้ดีแทน ท่านยังบอกอีกว่า เวลาที่ผีออกมาอาละวาดผู้คน ก็จะออกกันตอน ตี 3.05 เช่นกัน " ระวังเอาไว้นะครับ 305 " ผมเตือนคุณแล้ว

สัมผัสที่ 6 ตามวันเกิด

สงสัย ไหมว่าทำไมบางคนถึงเห็นผี และเห็นบ่อยซะด้วย แต่บางคนก็ไม่เคยแม้แต่จะเจอ ลบหลู่ขนาดไหนก็ไม่เจอ ลองอ่าน นี่แล้วอาจจะเข้าใจมากขึ้น...แต่อ่านแล้วต้องใช้สติในการตัดสินใจนะครับ

1.เกิด วันอาทิตย์ ช่วง ไหนที่คุณเจ็บป่วย ไม่สบาย หรือไม่ก็อ่อนแอทางจิตใจ ให้หลีกเลี่ยงที่จะใกล้ชิดกับผู้หญิงที่กำลังตั้งท้อง เพราะพลังอะไรบางอย่างที่ลึกลับ อาจจะทำให้คุณเห็นผี หรือ วิญญาณ ได้

2.เกิด วันจันทร์ สำหรับ คุณแล้ว จะส่องกระจกน่ะส่องได้ แต่อย่าส่องหลังเวลาเที่ยงคืนถึงเช้า โดยเฉพาะในกระจกร้าว และถ้าได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ หรือเสียงเรียกเวลาค่ำคืน อย่าพูดทัก หรือขานตอบ เพราะนั่นอาจจะเป็นเสียงที่ทวงถามวิญญาณของคุณก็ได้

3.เกิด วันอังคาร คน เกิดวันอังคารลำบากกว่าคนเกิดวันอื่นเสียแล้ว เพราะคุณไม่ควรเข้าห้องน้ำนอกบ้าน ถ้าไม่มีธุระ คุณควรจะอยู่ให้ห่างจากห้องน้ำที่ไม่น่าไว้ใจเอาไว้ เพราะอาจมีบางอย่างแอบติดตามคุณออกมา หรือปรากฏให้คุณเห็น

4.เกิดวัน พุธ คุณ ไม่ควรไปงานศพ เพราะอาจจะมีวิญญาณติดตามตัวคุณกลับออกมา แต่ถ้าหากว่าเป็นงานที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หลังจากที่กลับมาจากงานศพแล้ว ให้รีบอาบน้ำก่อนเที่ยงคืน และถ้าจะให้ดีน้ำที่อาบควรเป็นน้ำว่าน

5.เกิด วันพฤหัส

ใน ยามวิกาล มืดๆ อย่ามองไปที่หัวบันได เพราะคุณอาจจะมีอะไรบางอย่างปรากฏให้คุณเห็นที่ตรงนั้น หากว่าได้ยินเสียงแป ลกๆ คล้ายๆ กับเรียกชื่อคุณ อย่าขานตอบ ให้ก้าวเท้าถอยหลัง 1 ก้าว แล้วเสียงนั้นจะหายไป

6.เกิดวันศุกร์ เคย ได้ยินหรือเปล่าว่าธาตุน้ำ อาจจะเป็นเหมือนประตูเชื่อมระหว่างโลกมนุษย์ กับ โลกวิญญาณ ดังนั้น คนที่เกิดวันศุกร์อย่างคุณควรหลีกเลี่ยงการเดินทางทางน้ำ

7.เกิดวัน เสาร์ ศาล พระภูมิ คือ สิ่งต้องห้ามสำหรับคนเกิ ดวันเสาร์ ไหว้ เคารพ ได้ แต่อย่ามองจ้อง หากได้ยินเสียงหมาเห่า หอน เกรียวกราว ใกล้ๆ ตัว นั่นอาจแปลได้ว่าคุณกำลังโดนติดตามโดยภูตผี วิญญาณ

ห้องน้ำผีสิง

"ดาวนิล" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากห้องเช่าเมื่อสิบปีเศษมาแล้ว ดิฉันเป็นรีเซฟชั่นที่โรงแรมระดับ 3 ดาวอยู่แถวประตูน้ำ มีแขกทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยว ถ้าเข้ากะเย็นก็ไปเลิกตีสอง ค่อนข้างเหนื่อยและปวดหัวกับแขกขี้เมา ส่วนมากจะอยู่ในคอฟฟี่ช็อป แม้ว่าจะมีกัปตันคอยดูแลก็จริง แต่หลายครั้งก็เดือดร้อนมาถึงดิฉันเข้าจนได้ ตอนหัวค่ำยังไม่เท่าไหร่ แต่พอเลย 4-5 ทุ่มแล้วซิคะ แขกหลั่งไหลเข้ามาแน่น โดยเฉพาะคืนศุกร์เสาร์ พอรู้ว่าเมามาจากที่อื่นก็มี เพิ่งออฟสาวจากผับย่านนั้นมาก็มี ขนาดมาจากโรงนวดแล้วก็ไม่น้อย แต่หลายๆ โต๊ะก็มาสนุกเฮฮากันเป็นขาประจำ ส่วนมากเมาแล้วมักชอบเจ๊าะแจ๊ะกับเด็กเสิร์ฟ ประเภทปากเปราะก็พูดสองแง่สองง่าม บางทีก็ล่วงเกินมาถึงดิฉัน เราทำงานแบบนี้นะคะ จะหงุดหงิดหรือรำคาญใจแค่ไหนก็ต้องยิ้มไว้ก่อน "น้องตูน" เป็นเด็กเสิร์ฟใหม่ อายุ 20 ต้นๆ ขาวสวย หุ่นดี พวกแขกไม่ว่าหนุ่มหรือแก่ก็คอยแทะโลมเป็นประจำ หรือไม่ก็แซวแบบคะนองปาก ถ้าลามปามจนทำท่าว่าจะล้ำเส้น ดิฉันก็จะเข้าไปปกป้องน้องตูนไว้ก่อน ทำให้เธอซาบซึ้งมากๆ ขอบคุณน้ำตาคลอเชียว วันหนึ่งเกิดเหตุการณ์กลับตาลปัตร..น้องตูนเป็นฝ่ายช่วยเหลือดิฉัน ราวกับจะเป็นโอกาสให้เธอได้ตอบแทนน้ำใจ โดยที่เราต่างก็ไม่ได้คาดคิดมาก่อนเลย ดิฉันเวียนหัวมาตั้งแต่หัวค่ำ อาจเป็นเพราะความดันเลือดต่ำทำพิษก็ได้ ต้องเข้าไปนอนพักในห้องพนักงานด้านหลังเคาน์เตอร์ โชคดีอย่างที่คืนวันพุธแขกน้อยกว่าวันอื่นๆ เป็นธรรมดาอยู่แล้ว ฝืนใจออกมาช่วยดูแลแขกตอนใกล้สองยาม แต่ไม่ช้าก็เกิดวิงเวียนอีก อยากจะขึ้นแท็กซี่กลับบ้านที่ดินแดงก็สองจิตสองใจ กลัวว่าจะไปเป็นอะไรกลางทางละแย่เลย! พอตีหนึ่งกว่า น้องตูนก็ไปบอกรองผู้จัดการว่าขอพาดิฉันไปหาหมอก่อน..แต่เมื่อขึ้นรถออกมาเธอก็พาดิฉันไปห้องพักแถวหน้าอินทรานั่นแหละค่ะ บอกว่าให้นอนค้างห้องเธอจนกว่าจะทุเลา ดิฉันถามว่าทำไมต้องโกหกด้วย คำตอบของน้องตูนก็คือ "ถ้าไม่บอกว่าพี่ดาวอาการหนักจนต้องพาไปหาหมอ มีหวังแกไม่ให้เราลางานแน่ๆ เลยค่ะ" น้องตูนเช่าห้องอยู่คนเดียว ดูสะอาดสะอ้านพอใช้ เธอเอาชุดลำลองมาให้เปลี่ยน ช่วยเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ด้วย คนเราจะเห็นใจกันก็ยามป่วยไข้นี่แหละค่ะ! ดับไฟแล้วก็เข้านอนด้วยกัน..ขณะที่กำลังเคลิ้มๆ ดิฉันก็ได้ยินเสียงสะอื้นมาเข้าหู ตอนแรกคิดว่าเสียงลมที่ดังผ่านหน้าต่างมุ้งลวดเข้ามา แต่เมื่อนิ่งฟังก็แน่ใจว่ามันดังอยู่ในห้องนั่นเอง..เดี๋ยวที่ห้องน้ำ เดี๋ยวหน้าประตูและมุมห้อง ไม่รู้ว่าของจริงอยู่ที่ไหนกันแน่? อากาศในฤดูฝนเย็นยะเยือก หันมองน้องตูนก็เห็นหลับสนิท ระบายลมหายใจสม่ำเสมอ ดิฉันเลยพลิกตัวนอนตะแคง สองมือซุกอกในท่าสบาย..เสียงประหลาดก็ดังขึ้นอีกแล้วค่ะ คราวนี้เป็นเสียงอาบน้ำ! เสียงซู่ซ่าดังชัดเจน ไม่ใช่หูแว่วเด็ดขาด!! ดิฉันตัดสินใจลุกมานั่งจ้องไปที่ประตูห้องน้ำ มันปิดสนิทก็จริง แต่เสียงตักน้ำราดเนื้อตัวยังดังไม่หยุด เอาละซี! ไม่ใช่ฝัน แต่เป็นของจริงแน่ๆ จะว่ากลัวก็กลัว จะว่ากล้าก็กล้าค่ะ..อาจจะเป็นเพราะมีน้องตูนนอนอยู่บนเตียงทั้งคน ตั้งแต่เข้าห้องมาก็ไม่ได้เปิดประตูออกไปรับใครซักคนนี่นา..แล้วใครมาอาบน้ำล่ะ? ตัดสินใจกดสวิตช์ไฟ เปิดประตูห้องน้ำผาง.. ท่ามกลางแสงสว่างเยือกเย็นนั้น มีแต่ความว่างเปล่า พื้นห้องก็แห้งสนิท..เล่นเอาม่านตาพร่าพรายอย่างช่วยไม่ได้ ปากคอแห้งผากไปหมดเลยค่ะ ตอนที่ถอยกลับมาที่เตียงโดยไม่ยอมปิดไฟ คุณพระช่วย! เพียงแต่ล้มตัวลงนอน ชักผ้าห่มขึ้นมาคลุมถึงอกเท่านั้น เสียงสะอื้นก็ดังขึ้นอีกแล้ว! ห้องนั้นดูสว่างขึ้นกว่าเดิม กลั้นใจมองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นอะไรเลย..น้องตูนก็ยังหลับสนิทจนน่าอิจฉา อยากจะปลุกขึ้นมาถามเหลือเกินว่าห้องนี้มีอะไรแน่? แต่ก็เกรงใจน้องที่กำลังนอนหลับอย่างผาสุก เสียงสะอึกสะอื้นคร่ำคราญหายไป..เสียงอาบน้ำซู่ซ่าดังขึ้นแทนที่! ดิฉันอ้าปากค้าง..ทั้งๆ ที่ประตูเปิดแง้ม ไฟยังสว่างโพลงตามเดิม โอย..ทนไม่ไหวแล้วค่ะ! "ตูนๆ" ต้องเขย่าแขนสาวน้อยให้ตื่นจนได้ เธอถามเสียงงัวเงียว่าอะไรคะพี่? ดิฉันยังไม่ทันตอบ เสียงราดน้ำน่าสยองขวัญก็หายไป แต่พอตูนหลับต่อเสียงซู่ซ่าก็ดังขึ้นมาอีก ดิฉันปลุกตูนขึ้นมาอีกครั้ง เธอคงนึกอะไรขึ้นมาได้ ถามว่าห้องน้ำทำพิษใช่ไหมคะ? แหม! ตูนก็ลืมบอกให้พี่จุดธูปบอกเขาก่อนนอน..แล้วเธอก็จัดการให้ดิฉันจุดธูปบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทาง เสียงต่างๆ ก็เงียบไป..ดิฉันสาบานว่าจะไม่ไปนอนค้างที่นั่นจนชั่วชีวิตเลยค่ะ! คอลัมน์ ขนหัวลุก

คืนเขย่าขวัญ ในแท็กซี่ยามดึก

คืนเขย่าขวัญ ในแท็กซี่ยามดึก "ปารณ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกในแท็กซี่ยามดึก เรื่องผีๆ สางๆ นี่ผมยังไม่กล้าฟันธงว่ามีจริงหรือไม่? แต่ถ้าถามถึงความเชื่อก็พอจะบอกได้ว่า 50-50 ครับ คือใจหนึ่งก็ไม่อยากเชื่อว่าผีมีจริง เพราะโลกเราเจริญขนาดนี้แล้วนี่นา แต่อีกใจก็ยังหวาดๆ เวลาอยู่ในที่เปลี่ยวๆ ตอนกลางคืน บางคนบอกว่า เพราะเรากลัวความมืด เราจึงกลัวผี! แต่บางคนก็บอกว่า ผีเกิดจากมโนคติหรือจิตใต้สำนึกของตัวเองต่างหาก คนเราส่วนมากจะมีจินตนาการเรื่องผี ในที่สุดก็สร้างผีขึ้นมา ทำให้ตัวเองเชื่อว่าผีมีจริง ทั้งหลายทั้งปวงก็แล้วแต่ใครจะเชื่อฝ่ายไหน? แต่ผมเองได้พบกับเรื่องแปลกประหลาดสุดๆ ในตอนดึกคืนหนึ่ง ไม่รู้ว่าสิ่งที่เจอะเจอเข้าอย่างจังๆ จะเป็นภูตผีปีศาจ หรือว่าสมองฟั่นเฟือน ขาดสติสัมปชัญญะไปชั่วครู่เพราะเกิดอุบัติเหตุ คืนนั้น ผมไปงานวันเกิดเพื่อนที่อยู่บริษัทเดียวกัน ที่ร้านอาหารริมถนนตัดใหม่ใต้ทางด่วนเอกมัย - รามอินทรา น่าแปลกอย่างที่เพื่อนๆ ดื่มเหล้าไปแค่ 2-3 แก้วก็จับบทคุยเรื่องผีกันแล้วครับ วิชิตอยู่แถวธัญญะ เล่าถึงกระสือที่วัดพญาปลาว่ามีตัวตนจริงๆ ตอนกลางคืนลอยมากินไก่ชาวบ้านจนเขาดักรอกัน พอเห็นมีดวงไฟเหลืองๆ ลอยมาที่ใต้ถุนบ้านแล้วกลายเป็นคนผิวดำๆ ผมยาวสยาย ก็ช่วยกันล้อมจับ แต่ผีกระสือไวมากจนแหวกวงล้อมไปได้ เพื่อนบ้านคนหนึ่งคว้าได้ท่อนไม้ก็ขว้างใส่ โดนขาจนมันแผดร้องเสียงโหยหวนก่อนจะหนีเตลิดไป...รุ่งขึ้นจึงเห็นหญิงชราผู้หนึ่งเดินลากขามาซื้อของที่ร้านชำ ใครถามก็บอกว่าหกล้มเมื่อคืน แต่ไม่มีใครเชื่อ ยืนยันว่าแกเป็นผีกระสือที่ดอดมากินเป็ดกินไก่ชาวบ้านเป็นประจำ...ในที่สุดก็ขับไล่แกออกไปจากหมู่บ้านจนได้! ต่อจากวิชิต คนอื่นๆ ก็ผลัดกันเล่าเรื่องผีกันอย่างสนุกสนาน...สมานอยู่พระโขนงเล่าว่ามีคนโดนรถชนตายในซอยเมื่อเดือนก่อน...อีกไม่กี่วันก็มีคนเห็นร่างโชกเลือดเดินเปะปะอยู่แถวนั้น หมาหอนโหยหวนทุกคืนจนพากันขนลุกขนพองไปตามๆ กัน หลายๆ คนยืนยันว่าโดนผีหลอกชนิดเต็มตา...ผีที่ตายเพราะโดนรถชนยังเดินวนเวียนอยู่ในซอยหลายวันกว่าจะหายไป บ้านผมอยู่หลังไทยอินเตอร์ มีถนนคดเคี้ยวกับบ้านช่องเยอะแยะ ไม่มีอะไรน่ากลัว แถมยังมี วินมอเตอร์ไซค์อยู่ใกล้ๆ บ้านอีกด้วย ราวสองยามก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ผมนั่งแท็กซี่ก็มานึกถึงเรื่องผีๆ สางๆ ที่เพิ่งได้ฟังมาหยกๆ ถ้าเราไปเจอร่างโชกเลือดในที่เปลี่ยวก็คงสยองน่าดูเหมือนกัน...พอดีรถเข้าซอย...เลี้ยวขวาเลี้ยวซ้ายตามที่ผมบอก ถนนโล่งว่างอยู่ในแสงไฟเยือกเย็น... ทันใดนั้นเอง ร่างดำๆ ก็พุ่งพรวดออกมาจากข้างทาง! "เฮ้ย! ไอ้เห้..." คนขับแท็กซี่ร้องลั่น หักรถหลบวูบแต่คงไม่พ้น เพราะได้ยินเสียงโครม! ผมกระเด็นไปฟาดประตูรถด้านซ้ายเต็มแรง...แสงสว่างดับวูบ โลกทั้งโลกกลายเป็นความมืดมิดราวกับขุมนรกอเวจีในบัดดล สรรพสิ่งเงียบเชียบ...เงียบเหลือเกิน ผมคงจะตายไปแล้ว แต่ไม่มีความเจ็บปวดอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว! ผมพยายามเบิ่งตามองฝ่าความมืดออกไป...แปลก! ไม่ยักมืดมิดเหมือนตอนแรกหรอก แต่เห็นแสงเหลืองๆ จากเสาไฟฟ้าส่องลงมาเยือกเย็น ร่างผมนอนเค้เก้อยู่ในพงหญ้าริมทาง ใกล้ๆ กับรั้วบ้านใครก็ไม่รู้... อ้าว? แท็กซี่คันนั้นล่ะ หายไปไหนแล้ว? เพิ่งนึกออกว่ามีคนตัดหน้า เสียงโครม...รถคงชนหรือไม่ก็หักหลบไปชนเสาไฟฟ้าก็ไม่รู้ เพราะผมหมดสติไปก่อน...ว่าแต่ร่างที่ตัดหน้าไปไหน? คงจะไม่โดนชนละมั้ง? ว่าแต่แท็กซี่คันนั้นน่าจะอยู่ใกล้ๆ ผมนะ ทำไมถึงได้พลอยหายเงียบไปด้วย? ทั้งเงียบเชียบและเปล่าเปลี่ยวเหมือนตกอยู่ในโลกร้างไม่มีผิด! ผมพยุงกายลุกขึ้นยืน...เอ๊ะ! ไม่ได้เจ็บปวดหรือเป็นอะไรมากนี่นา หัวไม่ได้แตกแข้งขาก็ไม่ได้หัก มองเห็นมะขามใหญ่จากที่ว่างแผ่กิ่งก้านสาขาออกมานอกรั้ว...คลุมมาถึงเพิงแท็กซี่ในหมู่บ้านที่ผมจำได้ดี ปกติเคยเห็นพวกวินมอเตอร์ไซค์จับกลุ่มคุยกัน รถที่จอดอยู่ก็มีหมวกกันน็อกสีขาวทุกคัน แต่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่เลย รถราก็ไม่เหลือแม้แต่คันเดียว อ้อ! ดึกดื่นป่านนี้แล้วนี่นา...ผมเดินไปที่เพิ่งร้าง ดูเปล่าเปลี่ยวและเงียบเชียบว่าจะนั่งพักเอาแรง กำลังสำรวจร่างกายให้แน่ใจว่าไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ พลางนึกถึงแท็กซี่คันนั้น... ให้ตายเถอะ! เขาไม่น่าจะทิ้งผู้โดยสารไว้ข้างถนนแบบนั้นนี่นา ใจดำชะมัดเลย! แต่...นรกเถอะ! นั่นอะไรที่อยู่บนเพิงไม้เตี้ยๆ แคบๆ มีผ้าใบเก่าๆ คลุมเป็นหลังคาอยู่ใต้กิ่งใบมะขามร่มครึ้มน่ะ? ถึงแม้จะเป็นภาพสลัวๆ ก็ยังเห็นได้ชัดว่าเป็นหญิงชายคู่หนึ่งที่กำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอย่างลืมตัวลืมตาย...ผมชะงัก เกือบเป็นพริบตาเดียวกับที่ร่างทั้งสองลุกพรวดพราดขึ้นมาหันมองจนผมตกใจ ผงะหน้า ร้องอุทานออกมาอย่างไม่รู้ตัว คราวนี้โลกทั้งโลกแตกเป็นเสี่ยงๆ ทันที เมื่อมองเห็นใบหน้าแหลกยับเปรอะเลือดของหญิงชายคู่นั้น ตามลำคอและทรวงอกก็เต็มไปด้วยเลือด...เลือด และเลือดทั้งนั้น! "เฮ้ย! อะไรกัน..." ผมร้องตะโกนสุดเสียง ม่านตาลายพร่าด้วยความหวาดกลัวสุดขีด พลันได้ยินเสียงปนหัวเราะ...ไม่เป็นไร ผมหลบไอ้บ้านั่นทันพอดี! คราวนี้กะพริบตาถี่ๆ มองเห็นคนขับแท็กซี่หันมายิ้มฟันขาว...ผมตกตะลึงไปหมด เหลียวซ้ายแลขวางุนงงก็พบว่าตัวเองยังนั่งอยู่ในรถแท็กซี่ตามเดิม...แสงไฟส่องลงมาเห็นเพิงว่างเปล่าใต้ร่มเงามะขามพอดี ลงจากแท็กซี่หน้าบ้าน ขาสั่นระริกพอๆ กับหัวใจที่ยังเต้นระทึก...ไม่รู้ว่าสิ่งที่เห็นเป็นผีจริงๆ หรือเป็นเพียงภาพหลอนเท่านั้น แต่นึกถึงแล้วขนหัวลุกทุกทีเลยครับ!

โค้ง....ผีเฮี้ยน

แก้วตา วงศ์หน่อแก้ว เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากโค้งผีสิง ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าจะพบเห็นเกี่ยวกับเรื่องราวของผีๆ สางๆ อยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่เคยมีครั้งไหนจะชวนให้น่าสยดสยองพองขนเหมือนครั้งนี้มาก่อนเลย เรื่องมีอยู่ว่า เพื่อนร่วมงานของพี่สาว ขอสมมติว่าชื่อแหม่มได้มาเที่ยวบ้านที่ อ.แม่ทา จ.ลำพูน พูดคุยกันเพลิดเพลินจนถึงประมาณ 3 ทุ่มจึงได้ขี่มอเตอร์ไซค์กลับบ้านซึ่งอยู่ห่างกันหลายกิโลเมตร... เป็นทางเปลี่ยวและค่อนข้างอันตรายอยู่ แต่พี่เขาบอกว่าไม่เป็นไร เวลาประมาณ 3 ทุ่มครึ่ง พี่แหม่มโทร.หาพี่สาวข้าพเจ้า แต่ไม่ได้ยินเสียงเรียกเข้า พอพี่เขาดูแล้วก็บอกว่าเพื่อนคงจะกลับถึงบ้านแล้ว จึงโทร.กลับไปถามให้แน่ใจ...ที่ไหนได้ล่ะ มีเสียงตอบมาว่ายังไปไม่ถึงไหนเลย เกิดประสบอุบัติเหตุนิดหน่อยอยู่ใกล้ๆ นี่เอง อารามเป็นห่วง เราเลยรีบพากันออกตามหา โดยไม่นึกเลยว่าพี่แหม่มจะไปรถแฉลบล้มตรงบริเวณที่เรียกกันว่า "ผีเฮี้ยน" แต่กว่าจะหากันพบเราต้องโทร.ถึงกันตลอดเวลา...พี่แหม่มดีใจมากที่เห็นหน้าพวกเรา บอกว่ายังไม่มีใครเห็นเลยแม้แต่คนเดียว คนที่ขับรถผ่านมาก็ไม่เห็น...ขับเลยไปหมดทุกคน! ข้าพเจ้ากับพี่สาวมองหน้ากันอย่างงุนงง เพราะเราขับรถวนหาพี่แหม่มถึงสามรอบด้วยกัน...คือรอบแรกที่ผ่านตรงนั้น ข้าพเจ้าเป็นคนมองหา ส่วนผีสาวเป็นคนขับรถ ข้าพเจ้ามองเห็นพี่แหม่มเป็นกองผ้ากองหนึ่งเท่านั้น ครั้นบอกให้พี่สาวกลับรถและโทร.หาอีก พี่เขาก็บอกว่าเพื่อนนอนอยู่ข้างๆ ทางใกล้กับหลักกิโลเมตร รอบที่สอง ข้าพเจ้าก็ให้พี่สาวขับต่อ ส่วนตัวเองมองหาอีกครั้ง ปรากฏว่าคราวนี้เห็นแต่หมวกกันน็อก ก็ยังขับเลยพี่แหม่มไปอีก ข้าพเจ้าเลยบอกพี่สาวให้กลับรถไปยังที่ที่เห็นหมวกกันน็อก ปรากฏว่าได้เจอพี่แหม่มในรอบที่สามนี้เอง! พี่แหม่มนอนอยู่ข้างทางแท้ๆ แต่ไม่มีใครเห็นเลย คิดแล้วน่าประหลาดใจจริงๆ เรื่องแบบนี้คนทางภาคเหนือเขาเรียกว่า "ปีกุ๋ม" คือมันต้องการพวกเพิ่มจนบังตาไม่ให้เราหาเจอ บริเวณนั้นค่อนข้างมืดสลัว พี่สาวรีบเข้าไปประคองศีรษะเพื่อนแล้วเรียกให้ได้สติ พอดีมีรถมอเตอร์ไซค์อีกคันผ่านมา... ตอนแรกเขาเลยไปแล้ว แต่แฟนเขาคงบอกให้จอดช่วยเพราะเห็นว่าเรามีแต่ผู้หญิงสามคนเท่านั้น...เมื่อเขาเลี้ยวรถกลับมา ข้าพเจ้าจึงให้เขาช่วยหันหน้ารถ เพื่อให้ไฟตรงรถของพี่สาวเพื่อเอาพี่แหม่มขึ้นมา หนุ่มสาวคู่นั้นบอกว่าจะไปบอกตำรวจให้นะ...แล้วพี่สาวก็พาเพื่อนไปส่งโรงพยาบาล ส่วนข้าพเจ้าก็เป็นหน่วยกล้าตายยืนเฝ้ารถให้พี่แหม่ม... จนกระทั่งรถตำรวจมาถึง...คุณพระช่วย! ทั้งที่ข้าพเจ้าใส่เสื้อขาวและจูงรถไปรออยู่ตรงหน้าปั๊มลูกทุ่ง แถมโบกมือเรียกแต่ตำรวจกลับมองไม่เห็น เล่นเอาขนลุกเกรียว! นี่มันเกิดอะไรขึ้นแน่! ยังดีที่เขาย้อนกลับมาอีกครั้ง คราวนี้มองเห็นและพาไปอยู่ที่ป้อมตำรวจ รอจนกระทั่งหลานชายมารับข้าพเจ้า ครั้นกลับถึงบ้านก็ยังใจสั่นจนนอนไม่หลับ...นึกได้ว่าอารามตกใจ รีบไปตามหาพี่แหม่ม ข้าพเจ้าและพี่สาวจึงไม่ได้ห้อยพระ...พอนึกได้ก็เลยลุกขึ้นหาพระมาห้อยคอ จิตใจสับสนวุ่นวายเพราะเป็นห่วงพวกพี่ๆ จึงตัดสินใจออกไปยืนรอที่หน้าบ้าน... ทันใดนั้น เจ้าแต้ม-หมาแสนรู้ก็ปราดออกจากใต้ถุนไปยืนเห่าอะไรเบาๆ ก่อนจะเงียบเสียง ตัวแข็งทื่อ จ้องมองไปทางประตูรั้ว เล่นเอาเย็นวาบไปทั้งตัว! วิญญาณร้ายคงจะตามมาด้วยความโกรธแค้น ที่เราขัดขวางจนมันเอาพี่แหม่มไปอยู่ด้วยไม่สำเร็จ รุ่งขึ้นคือเช้าวันจันทร์ แฟนพี่เขาก็พาพ่ออุ๊ยแม่อุ๊ย (คนแก่เฒ่า) มาช้อนขวัญตามประเพณีทางเหนือ แล้วเลี้ยงเจ้าที่ ลาบ แกงอ่อม บุหรี่ ฯลฯ จิตใจของแต่ละคนจึงค่อยๆ ดีขึ้น...ข้าพเจ้าก็เลี้ยงผีที่หน้าบ้านด้วย...เชิญวิญญาณที่ตามมาให้กลับไปที่เดิม เมื่อพี่แหม่มอาการทุเลาลงจึงถามว่า ทำไมเอารถไปตกตรงนั้น? พี่แหม่มบอกว่าจู่ๆ ไฟหน้ารถก็ดับเอง แล้วรถก็ไถลไปตามทางนั้น...จะลุกก็ลุกไม่ไหวจึงโทร.หาพี่สาวข้าพเจ้า ตอนที่คุยกันครั้งแรก พี่สาวเปิดลำโพงปรากฏว่ามีเสียงแทรกเข้ามา...มาทั้งเสียงเด็ก, ผู้หญิง, หนุ่ม, แก่ มีหมด แต่พี่แหม่มบอกว่าไม่มีใครเลย แล้วมันเป็นเสียงใครล่ะถ้าไม่ใช่เสียงผี? เพราะเราแยกได้ว่าเป็นเสียงใครบ้าง แต่จับใจความไม่ได้ว่าเขาพูดอะไรกัน? ที่แน่ๆ ก็คือ...มันไม่ใช่ภาษามนุษย์ค่ะ! แต่ที่หาพี่เขาเจอเชื่อว่าเป็นเพราะข้าพเจ้าเกิดวันพฤหัสบดี พี่สาวเกิดวันอาทิตย์ รวมกันแล้วจึงแรงกว่าอำนาจผี ทำให้เราหาพี่แหม่มจนเจอ... ตั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้าไม่กล้าผ่านถนนสายนั้นอีกเลย สุดท้ายนี้ขอขอบพระคุณหลานชาย-หญิงคู่นั้นมากที่ช่วยเอารถขึ้น และไปช่วยบอกตำรวจให้... แต่ที่น่ากลัวมากๆ ก็คือ หากวันนั้นเราหาพี่แหม่มไม่เจอจะเป็นยังไง? คิดแล้วขนหัวลุกค่ะ! ขอขอบคุณข้อมูลจาก

ผีในหอพัก

ความจริงผีก็มีอะไรคล้ายๆ คนเรานี่เองเพียงแต่มักจะฝังใจในการทำอะไรสักอย่าง เพราะไม่รู้ว่าควร จะทำอะไรต่อไป ในหอพักเก่าแก่แห่งหนึ่งในลอนดอนประเทศอังกฤษ นักศึกษาชายคนหนึ่งถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา เวลาตีสอง ในคืนวันหนึ่ง เพราะมีเสียงก้าวเดินหนักๆ จากห้องครูใหญ่ ทีละก้าวทีละก้าวช้าๆ ไปตามทางเดิน ผ่านห้องของเขา ตรงไปหยุดยังห้องน้ำอีกด้านหนึ่ง นักศึกษาผู้นั้นไม่สนใจว่าเป็นเสียงอะไรเขาเข้านอนต่อทันที คืนต่อมาเวลาตีสองเช่นเดิม ก็มีเหตุการณ์ทำนองเดียวกันเกิดขึ้นอีก คราวนี้เขาไม่คิดว่าเขาดูหนังสือมาก จนเพลีย เพราะเสียงนั้นดังชัดมากในความเงียบสงัด เหตุการณ์เกิดขึ้นเหมือนเดิมเปี๊ยบ จนไม่น่าเชื่อว่าจะมีใครมา เข้าห้องน้ำในลักษณะเดียวกัน ในเวลาเดียวกัน โดยบังเอิญขนาดนี้ เขาอดถามครูใหญ่ในเช้าวันรุ่งขึ้นไม่ได้ว่า ครูใหญ่ ไปห้องน้ำในเวลาตีสองหรือ เปล่าคำตอบจากครูใหญ่คือ เปล่าเลย คำตอบนี้ทำให้นักศึกษาหนุ่มขน ลุกเกรียว แต่ก็ยัง ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ อย่างนั้น โดยเฉพาะเขาเองก็เป็นคนหัวสมัยใหม่อย่างนี้ คืนที่3 นักศึกษาหนุ่มก็ตัดสินใจว่า ถ้ามีเสียงเดินอีก เขาจะออกไปดูให้ได้ว่า ใครทำเช่นนั้น หลังจากดื่มกาแฟ แก่ๆ ไปหลายแก้ว แทนที่จะตาค้าง เขากลับผลอย หลับไปง่ายๆ มาตกใจตื่นขึ้นอีกครั้งเวลาตี 2 พอดี พร้อมๆ กับ ที่ได้ยินเสียงคนเดินเช่น 2 คืนที่ผ่านมา เขากระโจนออกจากเตียงทัน ทีเปิดประตูผาง แล้วยื่นศรีษะออกไปนอกห้อง มองไปยังประตูห้องครูใหญ่ ทางเดินทั้งสองข้างและประตูห้องน้ำ เขาไม่พบใครเลย แต่น่าประหลาดเสียงนั้น ยังคงก้องเหมือนมีใครกำลังเดินผ่านเขาไปยังประตูห้องน้ำ เหมือนเช่นเคยเสียงนั้นหยุดลงที่หน้าประตู เหมือนทุกคืน ที่ผ่านมา ชายหนุ่มตัวชาไปหมด เขากลับเข้านอน แต่คืนนั้นทำอย่างไร ก็ไม่สามารถหลับลงได้ เช้าวันรุ่งขื้นเขาจึงพยายามไต่ถาม จากที่ต่างๆ เพื่อแสวงหาความจริง จนพบว่าเมื่อ 14 ปีที่แล้ว มีครูใหญ่ คนหนึ่งตายในห้องน้ำ ห้องนั้น เขาฆ่าตัวตายด้วยการ แขวนคอ !!! น่าเสียดายที่ไม่มีใครพยายามช่วยเหลือ ท่านครูใหญ่ผู้น่าสงสาร ให้หลุดพ้น จาก วงเวียนกรรม ไม่มีใครช่วยชี้ทางออกให้ ท่านจึงยังคงต้องเดินจากห้องเดิมที่ท่านเคย อยู่ เดินไปยังห้องน้ำด้วยฝีเท้าหนัก ๆ เพื่อพบตัวเองแขวนคออยู่ในนั้นทุกคืน... ทุกคืน คุณคงนึกบ้างแล้วใช่ไหมว่า ถ้าเกิดจะต้องพบ กับประสบการณ์น่าขนลุกเช่นนี้ กับตัวเอง ขึ้นมาจริงๆ คุณจะทำอย่างไร วิ่งหนี อยู่สู้ พูดกับผี หรือทำเฉยๆ น่าเสียดายที่ไม่มีใคร เขียนคู่มือการจัดการกับผีขึ้นไว้เสียด้วย แต่ถ้ามีเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นจริงๆ วิธีง่ายๆ ก็คือ ทำใจเย็นไว้ ตั้งสติให้ดีถ้าทำได้ แล้วอย่าลีมว่า ผีก็(เคย)เป็นคน เช่น เดียวกับเรา .

วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555

9 สถานที่แก้บน

การบนบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นสิ่งที่ปฏิบัติมาช้านาน และนี่คือบางส่วนของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนยังคงศรัทธาอยู่เรื่อยมา

วัดมหาบุศย์ (ศาลย่านาค) เรื่องที่บนบาน โชคลาภ, ความรัก, การเกณท์ทหาร วิธีบน จุดธูป 9 ดอก วิธีแก้บน แก้ตามคำกล่าว หรือ ถวายผ้าถุง, ของเล่นเด็ก, พวงมาลัย

วัดมหาบุศย์ ท้าวพรหมเอราวัณ เรื่องที่บนบาน ค้าขาย, การงาน, การเรียน วิธีบน จุดธูป 12 ดอกไหว้ทั้ง 4 หน้า วิธีแก้บน แก้ตามคำกล่าว หรือรำแก้บน

ศาลหลักเมือง เรื่องที่บนบาน ความมั่นคงในหน้าที่การงาน วิธีบน ธูป 3 ดอก, เทียน 1 เล่ม, ผ้าแพร่ 3 สี, ดอกบัว วิธีแก้บน ถวายพวงมาลัย หรือ ผูกผ้า 3 สี

พระเจ้าตากสิน (วงเวียนใหญ่) เรื่องที่บนบาน ค้าขาย, การเรียน, งาน, หนี้สิน, (โดยมากจะเป็นเรื่องค้าขาย) วิธีบน ใช้ธูป 16 ดอก, มาลัยดาวเรือง, มาลัยมะลิดาวเรือง หากขอพรใช้ 9 ดอก วิธีแก้บน แก้บนตามคำกล่าว หรือโดยการนำอาหารมาถวายท่าน ลานพระบรมรูปทรงม้า เรื่องที่บนบาน การเรียน, ขอให้มีสิทธิ์เรียนรักษาดินแดน วิธีบน จุดธูป 16 ดอก, กุหลาบสีชมพู, (บรครั้งแรกจุดธูป 16 ดอก ครั้งต่อไป 9 ดอก) วิธีแก้บน แก้บนตามคำกล่าว หรือนำ น้ำมะพร้าวอ่อน, กล้วยน้ำว้า, ทองหยอด, บรั่นดี, ซิก้าร์ม, ข้าวคลุกกะปิ,กุหลาบชมพู

กรมหลวงชุมพร (เสด็จเตี่ย) เรื่องที่บนบาน ส่วนมากจะเป็นการขอมากกว่าการบน วิธีบน จุดธูป 19 ดอก และกุหลาบแดง วิธีบนแก้บน แก้ตามคำกล่าว หรือ ถวาย กุหลาบแดง, ประทัด, หมากพูล, ผลไม้ ศาลเจ้าพ่อเสือ เรื่องที่บนบาน การค้าขาย, เสริมวาสนาบารมี วิธีบน ธูป 18 ดอก ปีก 6 กระถาง เทียนแดง 1 คู่ มาลัย 1 พวง (หรือถวายเงินเติมน้ำมันตะเกียง) วิธีแก้บน แก้ตามคำกล่าว

พระตรีมูรติ เรืองที่บนบาน เกี่ยวกับความรัก วิธีบน เทียนแดง 1 เล่ม, ธูป (ควรบนตั้งแต่ 09.30 – 21.30 น.) วิธีแก้บน แก้ตามคำกล่าว หรือ น้ำผลไม้, กุหลาบแดง, มาลัยกุหลาบ, ช้าง

วัดหลวงพ่อโสธร เรื่องที่บนบาน การมีบุตร, และโชคลาภ วิธีบน จุดธูป 16 ดอก และพวงมาลัย วิธีแก้บน แก้จามคำกล่าว

ข้อมูลจาก เวป อาถรรพ์แก้บนผี

10 เรื่องสยองขวัญ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

เรื่องที่ 1: ป๊อก ป๊อก ครืด เรื่องผีอันดับหนึ่งของ มหาลัย... ระยะเวลาที่เกิดเหตุการณ์ไม่ทราบแน่ชัดแต่สถานที่เกิดคือ หอหญิง ในสมัยที่มหาลัย ยังเป็นที่รกร้างอยู่มาก ถนนยังเป็นลูกรัง ถนนหน้าฝนเป็นโคลน รถไปมาลำบาก ตอนกลางคืนมืด ไม่มีแสงไฟ เรื่องเกิดกับ นักศึกษาสาว คู่หนึ่งอาศัยอยู่ที่ประมาณ ชั้น 2 หรือ 3 ของหอ ช่วงนั้นเป็นช่วงสอบ นักศึกษาต่างกำลังอ่านหนังสือกันอยู่ นักศึกษาหญิงคนหนึ่งไม่สบาย อ่านหนังสือในห้องตอนหัวค่ำแล้ว รูมเมทชวนไปทานข้าว แต่เพราะเป็นไข้อยู่จึงไปไม่ไหว อยากพักผ่อน พอเมทคนนั้นเห็นเพื่อนไม่สบาย ด้วยความเป็นห่วง จึงบอกว่าเดี๋ยวไปทานข้าวเองก็ได้ แล้วจะห่อข้าวมาฝากเพื่อนคนที่ไม่สบายก็บอกว่า ยังไงฝาก ซื้อลาดหน้า (หรือซักอย่างที่เป็นเส้นๆ) มาให้ทีละกัน กินแล้วจะได้กินยาเมท คนนั้นก็บอกว่าได้ๆ เดี๋ยวจะรีบไปรีบกลับ หลังจากที่เพื่อนออกไปจากห้อง คนที่ไม่สบายก็นั่งอ่านหนังสือต่อ อ่านได้ซักพักก็ไม่ไหว เพราะไข้ขึ้น จึงนอนรอ ต่อมามีความรู้สึกว่านานมากแล้ว เพื่อนทำไมยังไม่กลับมาซะที ตกดึก ฝนเริ่มตก นักศึกษาคนนั้นก็ตื่นขึ้นมาอ่านหนังสือต่อ ในใจเป็นห่วงเพื่อนเพราะออกไปนานมากยังไม่กลับ ซักพักนักศึกษาคนนั้นได้ยินเสียงเบาๆ ดังจากชั้นล่าง จากทางบันได ”ป๊อก…………ป๊อก………ป๊อก………ป๊อก…….” เสียงนั้นดังเป็นระยะๆ ใกล้เข้ามา จากทางบันได ดังขึ้นเรื่อยๆ เสียงเหมือนคนกำลังแบกของหนักบางอย่างขึ้นมา ”ป๊อก…………ป๊อก………ป๊อก………ป๊อก…….” และเสียงนั้นก็ดังมาจนถึงชั้นที่ห้องนักศึกษาหญิงคนนั้นอยู่ แล้วเสียงก็เปลี่ยนไป “ครื……..ด……..ครื………..ด…….ค..รื…ด” เสียงเหมือนคนกำลังลากอะไรซักอย่างใกล้ เข้ามาเรื่อย จนมาหยุดอยู่ที่หน้าห้อง “ครื……..ด……..ครื………..ด…….ค..รื…ด” นักศึกษาหญิงเริ่มเอะใจ และมองไปทางประตู ในใจนึกว่าเพื่อนกลับมาแล้ว แต่ยังเงียบ อึดใจนึง ก็มีเสียงเคาะห้อง “ก๊อก ก๊อก ก๊อก” แล้วเงียบไป นักศึกษาสะดุ้งสุดตัว คิดว่าไม่ใช่เพื่อนแน่แล้ว ถ้างั้นทำไมไม่เปิดเข้ามาเลย จึงเดินไปเปิดประตู ตรงลูกบิดประตูมีถุงใส่ห่อลาดหน้าแขวนอยู่ พอ เห็นห่อลาดหน้า ก็งง แล้วเพื่อนอยู่ไหน ทำไมไม่กลับมา หรือติดฝนเลยฝากคนอื่นเอามาให้ แต่ทำไมต้องเอามาแขวนไม่รอเจอกันก่อน จะได้รู้ว่าเป็นใคร แล้วทำไมเดินเร็วจัง มีแต่ รอยเปียกน้ำเป็นทางจากบันได….คิดต่างๆนา แต่แล้วก็แกะห่อลาดหน้าออกทานเสร็จก็ทานยาตาม ได้ซักพักก็ม่อยหลับไป รุ่งเช้า…………….มีคนมาเคาะห้องบอกว่าเพื่อนตายแล้ว นักศึกษาหญิงคนนั้นถูกฆ่าข่มขืนตรงพงหญ้าข้างทาง คาดว่าเหตุเกิดประมาณหัวค่ำ ลักษณะศพ สภาพแขนและ ขาทั้งสองข้างหักอาจเกิดจากการที่คนร้ายเอาท่อนไม้ทุบตีเพื่อไม่ให้หนี นักศึกษาหญิงที่ตายกำลังเดินทางกลับจากตลาด (ไม่แน่ใจว่าเป็นฝายหินหรือตลาดต้นพยอม) หลังจากทานข้าวเสร็จทุกทีจะไปกับเพื่อน แต่เพื่อนไม่สบายจึงไปคนเดียว โดย เพื่อนฝากซื้อข้าวห่อคนร้ายอาจเห็นว่าเป็นคนเดียวจึงลงมือ แล้วลาดหน้าเมื่อคืนล่ะ? ไม่มีใครรู้คำตอบแน่ชัด แต่จากที่ฟังกันมาคือหลังจากที่ตายไปแล้ว ด้วยความเป็นห่วงเพื่อนเพราะว่าไม่สบาย และยังหิว จึงนำห่อลาดหน้าที่ซื้อมาฝาก แต่จะไปส่งยังไง แขนหัก ขาหักหมดแล้ว…. ลักษณะที่เขาเล่ามาคือพื่อนคนนั้นใช้ปากคาบถุงแล้วใช้คางเกยพาตัวเองมาจนถึงหอพักแล้วใช้คางเกยบันไดลากตัวเอง ขึ้นมา เป็นเสียง “ป๊อก ป๊อก” เสียง “ครืด” ที่ได้ยินคือเสียงลากตัวเองจากบันได มาจนถึงหน้าห้องปรากฎเป็นรอยเปียกน้ำยาวติดต่อกัน หลังจากส่งห่อลาดหน้าให้ได้แล้วก็หมดห่วง ตอนแรกทุกคนไม่เชื่อที่นักศึกษาคนนั้นเล่าแต่หลังจากที่นักศึกษาที่พักอยู่ข้างๆ ห้องยืนยันว่าในคืนนั้นได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังยกของหนักและลากของหนักจากข้างล่าง ขึ้นมาแล้วทุกคนต่างเชื่อสนิทใจ เรื่องที่ 1: ป๊อก ป๊อก ครืด เรื่องผีอันดับหนึ่งของ มหาลัย... ระยะเวลาที่เกิดเหตุการณ์ไม่ทราบแน่ชัดแต่สถานที่เกิดคือ หอหญิง ในสมัยที่มหาลัย ยังเป็นที่รกร้างอยู่มาก ถนนยังเป็นลูกรัง ถนนหน้าฝนเป็นโคลน รถไปมาลำบาก ตอนกลางคืนมืด ไม่มีแสงไฟ เรื่องเกิดกับ นักศึกษาสาว คู่หนึ่งอาศัยอยู่ที่ประมาณ ชั้น 2 หรือ 3 ของหอ ช่วงนั้นเป็นช่วงสอบ นักศึกษาต่างกำลังอ่านหนังสือกันอยู่ นักศึกษาหญิงคนหนึ่งไม่สบาย อ่านหนังสือในห้องตอนหัวค่ำแล้ว รูมเมทชวนไปทานข้าว แต่เพราะเป็นไข้อยู่จึงไปไม่ไหว อยากพักผ่อน พอเมทคนนั้นเห็นเพื่อนไม่สบาย ด้วยความเป็นห่วง จึงบอกว่าเดี๋ยวไปทานข้าวเองก็ได้ แล้วจะห่อข้าวมาฝากเพื่อนคนที่ไม่สบายก็บอกว่า ยังไงฝาก ซื้อลาดหน้า (หรือซักอย่างที่เป็นเส้นๆ) มาให้ทีละกัน กินแล้วจะได้กินยาเมท คนนั้นก็บอกว่าได้ๆ เดี๋ยวจะรีบไปรีบกลับ หลังจากที่เพื่อนออกไปจากห้อง คนที่ไม่สบายก็นั่งอ่านหนังสือต่อ อ่านได้ซักพักก็ไม่ไหว เพราะไข้ขึ้น จึงนอนรอ ต่อมามีความรู้สึกว่านานมากแล้ว เพื่อนทำไมยังไม่กลับมาซะที ตกดึก ฝนเริ่มตก นักศึกษาคนนั้นก็ตื่นขึ้นมาอ่านหนังสือต่อ ในใจเป็นห่วงเพื่อนเพราะออกไปนานมากยังไม่กลับ ซักพักนักศึกษาคนนั้นได้ยินเสียงเบาๆ ดังจากชั้นล่าง จากทางบันได ”ป๊อก…………ป๊อก………ป๊อก………ป๊อก…….” เสียงนั้นดังเป็นระยะๆ ใกล้เข้ามา จากทางบันได ดังขึ้นเรื่อยๆ เสียงเหมือนคนกำลังแบกของหนักบางอย่างขึ้นมา ”ป๊อก…………ป๊อก………ป๊อก………ป๊อก…….” และเสียงนั้นก็ดังมาจนถึงชั้นที่ห้องนักศึกษาหญิงคนนั้นอยู่ แล้วเสียงก็เปลี่ยนไป “ครื……..ด……..ครื………..ด…….ค..รื…ด” เสียงเหมือนคนกำลังลากอะไรซักอย่างใกล้ เข้ามาเรื่อย จนมาหยุดอยู่ที่หน้าห้อง “ครื……..ด……..ครื………..ด…….ค..รื…ด” นักศึกษาหญิงเริ่มเอะใจ และมองไปทางประตู ในใจนึกว่าเพื่อนกลับมาแล้ว แต่ยังเงียบ อึดใจนึง ก็มีเสียงเคาะห้อง “ก๊อก ก๊อก ก๊อก” แล้วเงียบไป นักศึกษาสะดุ้งสุดตัว คิดว่าไม่ใช่เพื่อนแน่แล้ว ถ้างั้นทำไมไม่เปิดเข้ามาเลย จึงเดินไปเปิดประตู ตรงลูกบิดประตูมีถุงใส่ห่อลาดหน้าแขวนอยู่ พอ เห็นห่อลาดหน้า ก็งง แล้วเพื่อนอยู่ไหน ทำไมไม่กลับมา หรือติดฝนเลยฝากคนอื่นเอามาให้ แต่ทำไมต้องเอามาแขวนไม่รอเจอกันก่อน จะได้รู้ว่าเป็นใคร แล้วทำไมเดินเร็วจัง มีแต่ รอยเปียกน้ำเป็นทางจากบันได….คิดต่างๆนา แต่แล้วก็แกะห่อลาดหน้าออกทานเสร็จก็ทานยาตาม ได้ซักพักก็ม่อยหลับไป รุ่งเช้า…………….มีคนมาเคาะห้องบอกว่าเพื่อนตายแล้ว นักศึกษาหญิงคนนั้นถูกฆ่าข่มขืนตรงพงหญ้าข้างทาง คาดว่าเหตุเกิดประมาณหัวค่ำ ลักษณะศพ สภาพแขนและ ขาทั้งสองข้างหักอาจเกิดจากการที่คนร้ายเอาท่อนไม้ทุบตีเพื่อไม่ให้หนี นักศึกษาหญิงที่ตายกำลังเดินทางกลับจากตลาด (ไม่แน่ใจว่าเป็นฝายหินหรือตลาดต้นพยอม) หลังจากทานข้าวเสร็จทุกทีจะไปกับเพื่อน แต่เพื่อนไม่สบายจึงไปคนเดียว โดย เพื่อนฝากซื้อข้าวห่อคนร้ายอาจเห็นว่าเป็นคนเดียวจึงลงมือ แล้วลาดหน้าเมื่อคืนล่ะ? ไม่มีใครรู้คำตอบแน่ชัด แต่จากที่ฟังกันมาคือหลังจากที่ตายไปแล้ว ด้วยความเป็นห่วงเพื่อนเพราะว่าไม่สบาย และยังหิว จึงนำห่อลาดหน้าที่ซื้อมาฝาก แต่จะไปส่งยังไง แขนหัก ขาหักหมดแล้ว…. ลักษณะที่เขาเล่ามาคือพื่อนคนนั้นใช้ปากคาบถุงแล้วใช้คางเกยพาตัวเองมาจนถึงหอพักแล้วใช้คางเกยบันไดลากตัวเอง ขึ้นมา เป็นเสียง “ป๊อก ป๊อก” เสียง “ครืด” ที่ได้ยินคือเสียงลากตัวเองจากบันได มาจนถึงหน้าห้องปรากฎเป็นรอยเปียกน้ำยาวติดต่อกัน หลังจากส่งห่อลาดหน้าให้ได้แล้วก็หมดห่วง ตอนแรกทุกคนไม่เชื่อที่นักศึกษาคนนั้นเล่าแต่หลังจากที่นักศึกษาที่พักอยู่ข้างๆ ห้องยืนยันว่าในคืนนั้นได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังยกของหนักและลากของหนักจากข้างล่าง ขึ้นมาแล้วทุกคนต่างเชื่อสนิทใจ

เรื่องที่ 2: เปรตหอนาฬิกา อันเนื่องจากเคยเป็นป่าช้าและลานประหารเก่ามาก่อน ทำให้เรื่องเล่า เรื่องผีทั้งเก่าและใหม่มีมากมาย เรื่องนี้อยู่ที่หอนาฬิกาใหญ่ ตรงสี่แยกจากประตูหลังมอตรงนั้นจะเป็นวง เวียนสี่แยก ฝั่งตะวันตกเฉียงใต้เป็นคณะวิศวะ ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้เป็นคณะศึกษาและโรงเรียนสาธิต ฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือเป็นหอชาย และฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือเป็นหอหญิง เล่ากันว่าตรงหอนาฬิกา กลางวงเวียน มีเปรต หากไปลองของอาจโดนดีได้ วิธีการลองดีคือ ตอนเที่ยงคืนให้ไปวนรถทวนเข็มที่หอนาฬิกา สามรอบ (วงเวียนจะ เวียนรถตามเข็ม) เล่ากันว่า ผู้ที่ลองทำอย่างนั้น ไม่เคยมีใครวนรถทวนเข็มได้ครบสามรอบซักคน ผู้มีประสบการณ์เล่าว่าในขณะที่วนรถอยู่นั้น จะรู้สึกได้ถึงลมที่เย็นผิดปกติ แต่วนไปสองรอบก็ไม่เกิดอะไรขึ้น มาเกิดตอนที่จะครบรอบที่สามจู่ๆ ก็มีเสาสองต้นตั้งขวางถนนอยู่ ทำให้ต้องหักรถหลบ รถล้มบ้าง แฉลบบ้างไปตามๆ กันใครอยากรู้ก็ลองดู อีกกรณีหนึ่งมีข่าวอยู่บ่อยๆ ว่านักศึกษาที่พักอยู่ในหอพักชายและหญิงฝั่งที่ติดกับหอนาฬิกา มักได้ยินเสียงแหลมๆ เล็ก ดังมาจากทางหอนาฬิกา สอบถามแล้วคืนนั้น เด็กสาธิต ไม่มีการทำกิจกรรมและคณะวิศวะไม่มีกิจกรรม หรือการก่อสร้างใดๆ และที่สำคัญ บางห้องได้ยินบางห้องไม่ได้ยินทั้งที่อยู่ติดกัน? เป็นเพียงเรื่องเล่า

เรื่องที่ 3: ห้องสีชมพู เรื่องนี้เกิดที่หอหญิง เป็นเรื่องของนักศึกษาหญิงที่เข้ามาพักในหอในแล้วได้เสียกับผู้ชาย เกิดพลาดตั้งครรภ์ขึ้นมา รู้ตัวเอาตอนท้องได้ 4 เดือนแล้วแต่มันยังไม่ป่องออกมา จึงปิดเงียบไม่ให้ใครรู้แม้แต่เมท ทำยังไงถึงจะเอาออกได้ พลาดไปแล้วแต่ไม่อยากเสียอนาคต ไม่มีเงินทำแท้ง แฟนไม่รับผิดชอบ ตัดสินใจเอาออกเองในห้องพักโดยเลือกตอนช่วงที่เพื่อนไม่อยู่ ทำเองคนเดียว โดยไม่ทราบวิธีการ ปรากฎว่าผลร้ายกว่าที่คิดนักศึกษาคนนั้นตกเลือดตายในห้องเพื่อนมาพบศพตอนเย็น เห็นรอยเลือดกระจัดกระจาย ติดฝาผนังบ้างก็มี หลังจากจัดการเรื่องศพเรียบร้อยแล้ว (รวมถึงทำความสะอาดห้อง) เมทของคนตายก็ย้ายไปอยู่ที่อื่น แม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดเห็นรอยเลือดสีจางๆ ติดอยู่ที่ผนังสีขาวก็เลยให้คนเอาสีขาวมาทาทับ วันรุ่งขึ้นเปิดเข้าไปทำความสะอาดรอย เลือดยังมีอยู่เหมือนเดิม ไม่ว่าจะทำยังไงทั้งขัด ทั้งถู หรือทาสีใหม่ รอยเลือดนี้ก็ยังไม่หายไป จนสุดท้ายทางหอพักจึงต้องนำสีชมพูไปทาทั้งห้องเพื่อไม่ให้เห็นรอยเลือด กลายเป็นห้องสีชมพูตั้งแต่นั้นมา ปัจจุบันเป็นห้องเก็บของที่ปิดตาย เคยมีแม่บ้านเข้าไปทำความสะอาดที่ห้องนี้ แล้วออกจากห้องไม่ได้ เพราะลูกบิดถูกล๊อค (ทั้งที่ตัวล๊อคอยู่ในห้อง) ลองไปเยี่ยมชมดูได้ครับ หนึ่งความพลาดพลั้งที่ไม่มีอะไรแก้ไขได้

เรื่องที่ 4: ห้องน้ำคณะสังคม ที่ห้องน้ำคณะสังคมศาสตร์ ที่เก่าๆ หน่อยลองไปหาดูเอาเอง ลักษณะห้องน้ำคือประตูอยู่ตรงกลาง เข้าไปแล้วโถฉี่จะอยู่ทางซ้ายมือ ส่วนอ่างล้างหน้ากับกระจกส่องหน้า จะอยู่ทางขวา รุ่นพี่ที่อยู่คณะสังคมเคยเล่าว่าเคยมีคนเล่าให้ฟังว่า(ฟังเขามาอีกต่อหนึ่ง) ตอนกลางคืนช่วงใกล้สอบไปอ่านหนังสือที่คณะสังคม แล้วปวดฉี่เลยไปฉี่ที่ห้องน้ำนี้ ลุกไปเข้าห้องน้ำคนเดียว คนอื่นๆ ก็นั่งอ่านหน้งสืออยู่ คนไปฉี่ก็เข้าไปฉี่ธรรมดา ห้องน้ำมีโถฉี่สองอัน อันแรกติดประตูอันที่สองอยู่ด้านขวา ข้างในไปอีก เขาบอกว่าตอนจะฉี่ ก็จะฉี่ที่โถแรกเพราะใกล้กว่า แต่ไม่รู้นึกยังไงเลยเดินเลยไปฉี่ที่โถข้างใน ตอนฉี่ก็ ยังไม่มีอะไรแต่ตอนฉี่เสร็จแล้วมองออกไปที่กระจก ภาพในกระจกสะท้อนเห็นกำลังมีคนยืนฉี่อยู่ที่โถฉี่อันแรก! (หันหลังให้) นึกว่าตาฝาดเพราะหันไปดูก็ไม่มีอะไร แต่พอไปดูในกระจก ก็เห็นเหมือนเดิม? คืนนั้นเลยไม่ได้อ่านหนังสือกันพอดี พวกขี้เหล้าทั้งหลายที่ชอบไปกินแถวนั้นก็ระวังหน่อยละกัน

เรื่องที่ 5: ถนนขึ้นดอยสุเทพ สมัยนั้นเวลากลางคืนดอยสุเทพยังไม่ปิดความนิยม(ที่ไม่ค่อยดีเท่าไร) อย่างหนึ่งก็คือเวลาเมาๆ นักศึกษาทั้งหลายมักจะขับรถขึ้นดอยกันขึ้นไปดูเชียงใหม่ทั้งเมือง ตอนกลางคืนมันสวยดี (แต่ดันขับรถตอนเมา ไม่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง) วันหนึ่ง นักศึกษาจากคณะวิศวะสองคนเพิ่งเลิกจากกังสดาล(แต่ก่อนร้านนี้ฮิตครับ) ครึ้มๆ ขึ้นมาก็เลยขับรถเลยจากทางเข้า กะขึ้นดอยไปชมเมืองเล่น คนขับก็ขับไปข้างหลังคน ซ้อนก็นั่งไป เมาๆ ขึ้นมาคนซ้อนก็เลยหลับ(สมัยก่อนแปดสิบเปอร์เซ็นต์นักศึกษาขับแมงกะไซค์ไม่ใช่รถยนต์อย่างทุกวันนี้) ซักพักหนึ่งคนซ้อนก็ตื่น กำลังเข้าโค้งพอดี เห็นหญิงสาวคนหนึ่งยืนโบกรถอยู่ข้างทาง แต่คนขับก็ขับเลยผ่านไป ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษจัด ก็เลยถามคนขับว่า “ทำไม mungไม่ จอดรถลงไปถามหน่อยล่ะ เผื่อเขามีปัญหาอะไร?” คนขับ “gu ไม่จอดด้วยหรอก คนนี้เขารอโบกทุกโค้งเลย เจอมาหลายโค้งแล้ว เดี๋ยวโค้งหน้า mung กะ gu ก็เจอเขาอีกแหละ...”

เรื่องที่ 6: วงเวียนธรณี วงเวียนธรณี - ต้องขอโทษคนที่ผ่านทางนี้เป็นประจำ(ผมด้วย) จุดนี้มีเรื่องเยอะจริงๆ นานมาแล้วมีนักศึกษาสองคนกินเหล้าเมากันมา พอมาถึงข้างตึกธรณีคนขี่มองไปทาง ข้างตึกอังกฤษ เห็นคนหัวขาดยืนอยู่ ตกใจจึงหยุดรถขยี้ตาดูอีกทีแล้วสะกิดถามเพื่อนๆ บอกไม่เห็นอะไร มองอีกทีก็ไม่มีแล้ว หันกลับมาข้างหน้ามีลวดเส้นเล็กๆขึงอยู่ระดับคอห่างออกไปเมตร เดียว ถ้าไม่หยุดรถคง!.....

เรื่องที่ 7: ก๊อกน้ำนิติเวช อาคารเรียนรวมแพทย์ มีคนไปอ่านหนังสือกันสองคน พอดึกๆ ก็ไปซื้อไก่ทอดมากินเสร็จแล้วก็หาที่ล้างมือเจอก๊อกน้ำข้างตึก ก็ไปล้างมือที่นั่น ตอนที่ล้างอยู่เพื่อนอีกคนก็ทำหน้าตกใจมากแต่ยังไม่พูดอะไร คนที่ทำหน้าตกใจรีบจูงมือเพื่อนกลับมาใต้ตึก แล้วถามว่ารู้มั้ยเมื่อกี้เห็นอะไร อีกคนบอกไม่รู้ คนนั้นจึงบอกว่าเห็นผมของอีกคนซึ่งผมยาวชี้ขึ้นมากระจุกหนึ่งเหมือนมีคนจับขึ้น มา รู้ทีหลังว่าตรงนั้นเป็นที่ล้างศพ!

เรื่องที่ 8: ห้องแลปฟิสิกส์ แลปฟิสิกส์ – อันนี้ฟังเค้าเล่ามาอีกทีเป็นเรื่องนานมาแล้ว เรื่องมีว่าเมื่อก่อนตอนที่ตึกเก้าชั้นวิดยายังไม่ได้สร้างแลปฟิสิกส์ของเด็กปี 1 ก็ยังทำที่แลปเก่า (น่าจะ เป็นตึกฟิสิกส์) แลปคราวนั้นเป็นแลปเรื่องแสง คนที่เคยเรียนคงรู้ว่าห้องจะมืดเพราะปิดไฟและเป็นแลปมืดจริงๆ เพราะทำช่วงค่ำ นักศึกษาหญิงคนนึงก็เข้าห้องแลปแต่พาร์ทเนอร์แลปยังไม่มา คนอื่นๆ ก็มากันแล้ว เตรียมอุปกรณ์เสร็จเพื่อนก็มา แต่ก้มหน้าก้มตา ไม่พูดไม่จา ถามว่าเป็นอะไรก็ไม่ตอบ เหลือบเห็นที่คอมีรอยแผลเป็นทางยาว เธอจับไหล่เพื่อนถามว่าไปโดนอะไรมาเพื่อนเงยหน้าขึ้นมาแล้วหัวหลุดกลิ้งไปกับพื้น ผู้หญิงร้อง กรี้ดแล้ววิ่งออกมาสลบตรงระเบียง ฟื้นมามียามกับรุ่นพี่สองสามคน ถามว่าไม่รู้เหรอว่าวันนี้แลปงด เพราะเมื่อเช้ามีนักศึกษาในเซค รถคว่ำตาย เพื่อนเลยไปงานศพช่วงค่ำกันหมด สอบถามชื่อได้ความว่าคือพาร์ท เนอร์แลปของเธอนั่นเอง! ส่วนคนที่เจอในห้องแลปทุกคนล้วนแต่ไร้ชีวิต

เรื่องที่ 9: ทางเดินคณะวิศวะ ทางเดินคณะวิดวะ มีคนสี่คนเข้าไปเล่นผีถ้วยแก้วตรงทางเดินยาวตรงข้ามหอ 5 ชาย วันนั้นฝนตกด้วย มีผีผู้ชายเข้ามา พอถามว่าชื่ออะไร ไม่ตอบถามว่ามาคนเดียวใช่รึไม่ใช่ ก็ตอบว่าไม่ใช่จึงถามต่อว่ามากันเท่าไหร่ เค้าก็ตอบว่าเก้า (ไปเลข 9) คนเล่นรู้สึกกลัวขึ้นมาจึงเชิญออก แล้วรีบกลับมาที่หอ มีเพื่อนถามว่าไปไหนกันมา ก็บอกว่าไปเล่นผีถ้วยแก้วในคณะวิดวะเพื่อนก็ว่า อ๋อที่ยืนมุงเยอะๆ ตรงทางเดินน่ะนะ

เรื่องที่ 10: หอผู้ป่วย ห้องพิเศษ เรื่องนี้เกิดขึ้นในหอผู้ป่วยใน ห้องพิเศษ มีนักศึกษาชายมาเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ซึ่งรักษาอยู่ในโรงพยาบาล คณะแพทย์ คุยกันจนเพลิน นึกขึ้นได้ว่าดึกมากแล้ว จึงขอลากลับ เวลา 4 ทุ่มของวอร์ดนี้ โดยเฉพาะแผนกห้องพิเศษ ช่างเงียบสงัดนัก นศ. คิด เขาไม่เคยเจอบรรยากาศแบบนี้มาก่อน… เขาเดินผ่านห้องผู้ป่วยอื่นมาเรื่อยๆ เพื่อเดินไปขึ้นลิฟท์ซึ่งอยู่ที่สุดทางเดินอันยาวนี้ พยาบาลที่เคาท์เตอร์ก็ไม่อยู่ เนื่องจากต้องไปดูแลผู้ป่วยห้องต่างๆ…. เขาไม่เห็นใครคนอื่นเลย เขาเดินไปได้กลางทาง ก็มีผู้ชายคนหนึ่ง ใส่ชุดสีกากี ดูเหมือนเจ้าหน้าที่ส่งเอกสารทั่วๆ ไป เดินเข้ามาในวอร์ดผ่านประตูซึ่งเปิดอยู่…. พยาบาลคงเรียกเขามาเอา specimen ไปส่งห้อง LAB กระมัง…. นศ. คิดในใจ ทันใดนั้นเอง นศ. ขนลุกซู่ โดยไม่รู้ตัว ชายคนดังกล่าวที่กำลังเดินใกล้เข้ามานั้น ไหล่และมือของเขานิ่งมาก ไม่มีการขยับหรือแกว่ง ตามจังหวะการเดินเลย…. เหมือนว่าเขาไม่ได้เดินมา….!! เขาเหมือนลอย… เข้ามา มากกว่า ในใจของ นศ. รู้สึกถึงความกลัวที่สุดในชีวิต แต่เขาก็ยังเดินต่อไปข้างหน้า ขณะที่ชายเสื้อสีกากีดังกล่าวก็…ใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จังหวะที่ทั้งสองสวนผ่านกันนั้น (ห่างกันไม่ถึง 2 เมตร) นศ. สังเกตเห็นว่าชายคนนั้นลอยอยู่จริงๆ …!! ปลายนิ้วเท้าสองข้างของเขา ชี้ลงไปที่พื้น หน้าก้มต่ำ ผมเขายาวเล็กน้อยปิดบังหน้าตาไว้ นศ. ถึงกับขนลุกเกรียวทั้งตัวและสัมผัสได้ถึงความเย็น หลังจากเดินผ่านชายเสื้อกากีมาแล้ว นศ. ก็หันกลับไปมองชายคนนั้น ซึ่งเขาเองก็เหมือนจะรู้ตัว…. ชายคนดังกล่าวหยุดอยู่นิ่ง แล้วค่อยๆ หันหน้าซึ่งมีผมเผ้ารุงรัง ผิวสีเทาๆ มายัง นศ. แล้ว ยิ้ม แหยะๆ ให้ ไม่ต้องคิดอะไรอีกแล้ว…. นศ. รีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกมาจากวอร์ด แล้วไม่หันหลังกลับไปดูอีกเลย

++++8 วิ ธี เ ห็ น ผี สุ ด เ ฮี้ ยน++++

เค้าบอกว่า 50 % เห็นมาแล้ว แต่ก้อไม่รู้จิงเท็จแค่ไหน ก้อใช้วิจารณญาณ ดูกันเอาเองแล้วกัน ข้าน้อยเห็นบางวิธีก้อเป็นวิธีที่แปลกจากที่เคยอ่านๆมานะ ไม่น่าเชื่อ ว่าจะเห็นได้ด้วยหรือ แต่ก็น่ะ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ลองอ่านดูแล้วกัน

.......ข้อปฎิบัติ........ • ทุกวิธีต้องทำระหว่าง 4 ทุ่ม ถึงเที่ยงคืน และต้องไม่เลย เที่ยงคืนเพราะจะถือว่าเป็นวันใหม่ •ทุกวิธีห้ามใส่พระยกเว้นวิธีที่ 8 •วันที่ทำแล้วมีโอกาสเห็นได้ง่ายสุดคือวันพุธและ วันศุกร์ และวันอาทิตย์ •ทุกวิธีอาจจะให้คนอื่นอยู่ด้วยก็ได้ยกเว้นบางวิธีที่จะระบุบว่าคุณต้องทำคนเดียว •ทุกวิธีต้องหลับตาหากคุณเปลี่ยนใจไม่อยากเห็น ให้เอาอุปกรณ์ทุกอย่างออก แล้วค่อยลืมตา

*วิธีที่1* “มองลอดใต้หว่างขา” (เห็นผี 21 คน) 1. นำใบไม้ (จากต้นใดก็ได้) ที่ร่วงลงมาจากต้นไม้ ต้องเป็นของต้นนั้นจริง ๆ และร่วมลงมาไม่ห่างจากลำต้นมากนัก หากอยู่ใกล้รากจะยิ่งดี 2. ยืนในที่โล่ง และต้องมองเห็นพระจันทร์ หันหน้าไปทางทิศตะวันออกหันหลังไปทางทิศตะวันตก (เพื่อเวลาก้ม จะได้ก้มไปทางทิศตะวันตก 3. นำใบไม้ที่เก็บมา เอาไว้ในฝ่ามือ (จะทำมืออย่างไรก็ได้ แต่ห้ามพนมมือ) 4. หมุนตัวตามเข็มนาฬิกา (หมุนซ้าย) ช้า ๆ เมื่อมาหยุดที่เดิม (ทิศตะวันออกที่หันหน้าไว้ตั้งแต่แรก) ให้ท่องว่า “พุทโธทายะ” (เหมือนผีถ้วยแก้วเลย) ทำแบบนี้ 3 รอบ (ท่อง 3 ครั้งด้วย) ***เพื่อให้เห็นภาพ*** รอบที่1 ยืนหันไปทางทิศตะวันออก หมุนซ้ายไปจนมาหยุดที่จุดเริ่มต้นแล้วท่องว่า “พุทโธทายะ” และทำต่อไป รอบที่ 2 และรอบที่3 5. หลับตานึกถึงใบไม้ที่อยู่ในมือ กับต้นเจ้าของใบไม้ แล้วให้คิดว่าใบไม้ในมือ คือพลังงานอย่างหนึ่งที่จะเรียกวิญญาณมาได้ และนึกเอาว่าใบไม้นี้ได้ตายไปแล้วจึงได้หลุดมาจากต้นไม้ เพราะฉะนั้นเราติดต่อกับวิญญาณได้ เหมือนที่ติดต่อกับใบไม้ที่ตายแล้วใบนี้ 6. ค่อย ๆ ก้มหน้าลง (ระหว่างนี้ห้ามลืมตาเด็ดขาด) เมื่อคุณก้มและพร้อมแล้ว “ให้ตั้งสติดี ๆ” แล้วลืมตา 7. แล้วผีจะมาให้เห็น

***หากเห็นอะไรห้ามวิ่ง ไม่ว่าสิ่งที่เห็จะอยู่ไกล หรือมาประจันหน้าก็ตาม ต้องทำตามนี้ก่อน*** 1. เงยหน้าขึ้น ทิ้งใบไม้ลงพื้นทันที 2. หมุนตัวทวนเข็มนาฬิกา (หมุนย้อนกลับไปทางขวานั่นเอง) 3 รอบ โดยไม่ต้องท่องอะไรเลย 3. เมื่อกลับถึงบ้านต้องล้างหน้า 3 ครั้ง ก่อนล้างให้ท่อง “พุทโธ” แล้วเป่าลมลงน้ำจึงค่อยล้างหน้าทำแบบนี้ 3 ครั้ง ::

*วิธีที่2* “ตัดเล็บตอนกลางคืน” (เห็นผี 12 คน) ***ขอย้ำเลยวิธีนี้ ต้องทำระหว่าง 4 ทุ่ม ถึง เที่ยงคืน เพราะต้องไม่ให้โพล้เพล้ หรือ เป็นวันใหม่”*** 1. ตัดเล็บมือเท่านั้น โดยเริ่มจากนิ้วก้อย ,นิ้วโป้ง ,นิ้วนาง ,นิ้วชี้ และนิ้วกลาง (ตัดจากนอกเข้าในนั่นเอง) โดยเริ่มตัดจากมือขวาก่อน และทำแบบเดียวกันกับมือซ้าย *เล็บที่ตัดห้ามหักหรือขากเด็ดขาดต้องเป็นโค้งตามรูปเล็บ มิเช่นนั้นจะไมได้ผล* 2. น้ำเศษเล็กที่ตัดห่อใส่ผ้าอะไรก็ได้แต่ต้องเป็นสีดำ (ต้องใช้แล้ว ไม่ใช่ผ้าใหม่) 3. นำไปวางไว้ทางทิศตะตก (เช่นเคย) ของที่พักอาศัย 4. เมื่อคุณเข้านอนได้ไม่นาน จะมีคนมานั่งตัดเล็บอยู่ตรงปลายเท้าที่คุณนอน (เสียงดัง “แก๊กๆ” นั่นแหละ) เป็นการตัดเล็บของเค้ามาคืนคุณ 5. ถ้าอยากเห็นก็ลืมตาแต่ห้ามโวยวาย เพราะเขาจะไปแล้วคุณอาจจะซวยได้ (เพราะถือว่าเค้ามาดี โดยที่เขาคิดว่าเราเอาเล็บไปแลก หรือไปเล่นกับเขา แล้วเขาก็เลยเอาของเขามาคืน 6. เมื่อคุณตื่นในตอนเข้า ให้ไปยังจุดที่คุณเอาเล็บไปวางไว้ คลี่ห่อผ้าออก จะพบเล็บของคนอื่นไม่ใช่ของคุณ 7. ให้คุณพูดเบา ๆ ว่า “ขอบคุณ” แล้วเอาไปฝังไว้ที่ใดก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องอยู่ในที่พักอาศัยของคุณ (แต่ห้ามทิ้งหรือเผาโดยเด็ดขาด)

*วิธีที่3* “หันหลังให้กระจกแล้วกลืนน้ำลาย” (เห็นผี 16 คน) - วิธีนี้ต้องทำคนเดียวเท่านั้น - วิธีนี้ต้องทำก่อนเที่ยงคืน 6 นาที - นาฬิกาที่คุณใช้เป็นเกณฑ์ในกาวัด ให้ยึดเรือนใดเรือนหนึ่งในบ้านได้เลย 1. ยืนหันหลังให้กระจก (ครั้งนี้จะทิศใดก็ได้) ตอนเวลา 5 ทุ่ม 54 นาที 2. กลืนน้ำลาย 1 ครั้ง ทุก ๆ 1 นาที 3. พอครบ 6 นาที หมายความว่าคุณกลืนน้ำลายไปแล้ว 6 ครั้ง และถึงเวลาเที่ยงคืนพอดี 4. หลับตาแล้วหันไปทางกระจก (จะหันซ้ายหรือขวาก็ได้แต่ช้า ๆ) แล้วกลืนน้ำลายอีกครั้ง (เป็นครั้งที่7) แล้วลืมตา และผีจะมาให้เห็น 5. เมื่อคุณต้องการยุติพิธี ให้หลับตากลืนน้ำลายอีกครั้ง เป็นอันจบพิธี

*วิธีที่4* “ดีดลูกคิดตอนกลางคืน” (เห็นผี 32 คน) - ลูกคิดที่ใช้ดีด ให้ดีดอันที่มีรางยาวที่สุดเท่านั้น - ต้องอยู่คนเดียว เพราะต้องใช้สมาธิอย่างมาก 1. ให้ลูกคิดทุกลูก ในทุกรางอยู่สุดรางที่หันมาหาตัวเรา 2. ดีดีลูกคิดขึ้นโดยให้ลูกคิดออกจากตัวทีละลูก(ต้องมีสมาธิมากๆ) ไล่ไปตั้งแต่รางแลก ไปจนรางสุดท้าย 3. ตั้งสมาธิให้ดีอย่างมาก แล้วจับรางลูกคิดตั้งขึ้น ให้ลูกคิดวิ่งกลับมาที่เดิมในตอนแรก 4. มองรอดช่องรางลูกคิด(รางใดก็ได้) แล้วผีก็จะมาให้เห็น 5. หลังจาการทำเรียบร้อยแล้ว ให้ทิ้งลูกคิดนั้นทันที *ห้าม* นำกลับมาใช้อีกเป็นเป็นอันขาด *วิธีที่5* “เอามุ้งคลุมหัวตอนกลางคืน” (เห็นผี 6 คน) 1. เอามุ้งมาครอบหัวไว้ (หลับตาตั้งแต่ก่อนคลุมแล้ว) 2. ท่อง มะ-อะ-อุ 7 ครั้ง (อย่าลืมว่าต้องหลับตา) 3. ลืมตา แล้วผีจะมาให้เห็น

*วิธีที่6* “ใส่เสื้อกลับแล้วนอนห้อยหัว” (เห็นผี 31 คน) - ต้องทำคนเดียว 1. ใส่เสื้อโดยการเอาข้างหลังมาอยู่ข้างหน้า (ถ้ามีกระดุม ก็เอากระดุมไว้ขางหลังนั่นเอง) 2. นอนลงบนที่นอนที่สูงกว่าพื้น แล้วห้อยหัวลงมอง (เหมือนแหงนหน้า) 3. แล้วผีจะมาให้เห็น

*วิธีที่7* “แหงนหน้ามองตรงบันได” (เห็นผี 42 คน) - ต้องทำคนเดียว 1. นั่งบนบันไดชั้นบนสุด แล้วลงมาทีละขั้นทั้งที่ยังนั่งอยู่ (ใช้ก้อนลงบันได้นั่นเอง) 2.เมื่อถึงขั้นสุดท้าย ให้ยังคงนั่งอยู่ที่ขั้นสุดแล้ว แล้วจึงแหงนหน้ามองกลับขึ้นไปชั้นบนสุด 3. แล้วผีจะมาให้เห็น

*วิธีที่8* “สวมพระกลับหลัง” (เห็นผี 28 คน) - ต้องทำคนเดียว 1. สวมพระโดยคล้องสร้อยพระไว้ด้านหลัง(ให้เหมือนที่อยู่ด้านหน้าเลย) 2. ยื่นแขนซ้ายออกไปข้าง ๆ แล้วทำมุมข้อศอกโดยให้กำปั้นทิ่มลงพื้น และให้ข้อศอกตั้งฉากกับพื้น 3. มองลอดผ่านช่องแขน แล้วจะเห็นผี

10 เรื่องผีในมหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา

1. ที่มาของชื่อ "ศาลายา" เชื่อกันว่าชื่อ "ศาลายา" นี้มาจาก ในสมัยก่อนพื้นที่บริเวณนี้เกิดโรคระบาดหรือโรคห่าลง เด็ก ผู้ใหญ่ ฯลฯ ผู้คนมากมายนอนตายทับถมเป็นกองสูง ศพที่ไม่ได้นำไปเผาก็ถูกทิ้งให้แร้งจิก กินเป็นที่น่าสังเวช เช่นเดียวกับประตูผีที่ วัดสระเกศ บริเวณภูเขาทองในปัจจุบัน ทางการจึงตั้งศาลาแห่งหนึ่ง ไว้เพื่อส่งมอบยาแก่ชาวบ้าน ต่อมาจึงเรียกพื้นที่ดังกล่าวว่า "ศาลายา"

2. เพลงรักน้อง "เจ้านกน้อย ล่องลอยโผบิน จากแผ่นดินทะเลสีคราม..." นั่นคือเนื้อเพลงรักน้องหรือเจ้านกน้อยอย่างที่ใครหลายๆคนพูดจนชินปาก เพลงอาถรรพ์ของชาวศาลายา มีเรื่องเล่ากันว่านักศึกษาพยาบาลคนหนึ่ง ถูกผู้เป็นพ่อแม่บังคับให้เรียนในสายที่ไม่เต็มใจ ด้วยความเสียใจกอปรกับคิดว่าไม่มีใครเข้าใจอีกแล้ว นักศึกษาพยาบาลคนนั้นจึงปีนขึ้นไปบนดาดฟ้าของหอพัก และเขียนข้อความสั้นๆ นี้ไว้ จึงทิ้งร่างลงมาสู่พื้นด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ เพลงรักน้อง จึงเป็นเครื่องหมายที่บ่งบอกความระลึกถึงนักศึกษา พยาบาลคนนั้น ชาวศาลายาจะถือกันว่า เพลงนี้ห้ามร้องในเวลากลางคืน และถ้าใครคนใดคนหนึ่งร้องขึ้นมาแล้ว ต้องร้องต่อจนจบเพลง มิฉะนั้น จะเท่ากับเป็นการเรียกนักศึกษาพยาบาลคนนั้นจากพื้นดินมาสู่เจ้าของเสียง ในบางครั้งก็ปรากฏตัวให้นักศึกษารุ่นน้องที่เข้าใหม่เห็นในลักษณะกระโดดลง จากดาดฟ้าหอพัก เมื่อนักศึกษาคนนั้นตั้งสติได้และเรียกให้คนมาช่วย พอไปถึงจุดเกิดเหตุกลับปรากฏว่า ไม่มีร่องรอยใดๆ อยู่เลย

3. SI วันมหิดล เตียง C อีกหนึ่งความเชื่อเกี่ยวกับวันสำคัญของมหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งกล่าวถึงนักศึกษาคณะแพทย์ศิริราช (ต่อไปจะขอเรียกสั้นๆว่าSI) ที่จะกลับมาเยี่ยมเยียนหอพักในวันนี้ของทุกๆ ปี แต่งกายด้วยชุดนักศึกษา เสื้อนั้นย้อมด้วยเลือด และร่างเต็มไปด้วยบาดแผล เรื่องนี้จัดเป็นอันดับต้นๆของความเฮี้ยนสุดยอด ในวิทยาเขตศาลายา นักศึกษาแพทย์คนนี้ประสบอุบัติเหตุรถชนขณะข้ามถนนมายังมหาวิทยาลัยอาจเป็น เพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาจึง ไม่รู้ตัวว่าได้เสียชีวิตไปเรียบร้อยแล้วห้องพักดังกล่าวที่นักศึกษา แพทย์คนนี้อาศัยอยู่กลายเป็นเรื่องถูกปิดตาย ทราบแต่เพียงว่า เตียงCของนัก ศึกษาSIในคืนวันมหิดลเท่านั้นที่จะพบเห็น เค้าได้ ถ้าอยากทราบว่าความเฮี้ยนนั้นจัดขนาดไหน? ก็ลองสัมผัสได้จากบรรยากาศที่ไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้ในคืนนี้ ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะเป็นที่สนุกปากขนาดไหนก็ตาม 4. เชือกในห้องน้ำ เรื่องนี้เกิดขึ้นได้ไม่นานประมาณปีกว่าๆ มีข่าวแพร่สะพัดตามหอพักว่า ช่วงปิดเทอมเดือนตุลา แม่บ้านคนหนึ่งได้ผูกคอตายในห้องน้ำชาย ห้องดังกล่าว ได้ถูกปิดตายไปพักใหญ่ เจ้าหน้าที่หอพักแก้ต่างเป็นพัลวันว่า "ห้องน้ำเสีย" นักศึกษาชายที่อยู่ตรงข้ามกับห้องน้ำนั้น มักได้ยินเสียงร้องไห้ระงมจากประตูเจ้ากรรมเสมอๆ เมื่อมองผ่านจากหอตรงข้าม มีคนสังเกตว่าบริเวณขื่อมีเชือกผูกอยู่จริง แม่บ้านที่ทำความสะอาดประจำชั้นนั้นก็หายหน้าหายตาไป เจ้าหน้าที่หอก็ชี้แจงต่อข่าวลือน้ำขุ่นๆว่า"เค้ากลับต่างจังหวัด" ในปัจจุบันห้องน้ำดังกล่าวได้เปิดใช้งานตามปกติแล้ว ถ้าเข้าไปแล้วเห็นแม่บ้าน ผิวดำผมหยักศกยิ้มให้ ก็อย่าลืมยิ้มตอบหล่อนด้วย คุณคือผู้โชคดีแล้ว

5.ผีถ้วยแก้ว ขอยกเรื่องเล็กๆให้ฟังพอหอมปากหอมคอละกัน ก็มีอยู่ว่า... นักศึกษากลุ่มหนึ่งได้เล่นผีถ้วยแก้วในบริเวณหอพัก ทีนี้เมื่อเล่นจบก็ถกเถียงกันว่า ใครเป็นคนดันแก้ว เมื่อไม่มีข้อสรุป และด้วยความไม่เชื่อในเรื่องผีสาง ทั้งหมดก็เดินออกไปหน้า ม.เพื่อหาข้าวกิน ..เพื่อนต่างคณะที่นั่งรถแท็กซี่ เข้ามาได้สวนกับนักศึกษากลุ่มนั้นพอดี ภาพที่เห็นก็คือ ชายแก่คนหนึ่งเดินออกมาจากบริเวณศาลใกล้คณะอินเตอร์ และได้ยกมือชี้ ร้องไล่ให้ผู้หญิงในกลุ่มออกไป แต่ทุกคนกลับไม่มีใครใส่ใจ เมื่อมาถึงหอนักศึกษาคนหนึ่งก็เล่าให้เพื่อนฟังว่า "นี่ เมื่อกี๊เล่นผีถ้วยแก้ว มันบอกว่าเป็นผู้หญิงว่ะ อย่าให้กูจับได้นะว่าใครเป็นคนดัน" เพื่อนก็รีบเล่าเรื่องที่ชายแก่ไล่หญิงสาวในกลุ่มให้ฟัง ทุกคนก็ยืนยันว่ามีแต่ผู้ชายล้วนๆ ชายแก่คนดังกล่าวอาจเป็นวิญญาณเจ้าที่เจ้าทางที่รู้จักกันในนาม "พ่อปู่จันธูป"หรือ "เจ้าขุนทุ่ง" ส่วนผู้หญิงคนดังกล่าว จะเป็นคนเดียวกับในถ้วยหรือเปล่า? โฮะๆ คิดเอาเอง

6. เรือนไทย เรือนไทยเป็นเรือนสีแดงสดตั้งอยู่ตรงข้ามตึกวิทย์เก่า เดินเข้ามาไม่ไกลก็จะพบได้อย่างง่ายดาย ด้วยความสวยงามและอากาศเย็นสบาย ทำให้เรือนไทยกลายเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจยอดนิยม นักศึกษาหลายกลุ่มมานั่งติวหนังสือกันที่นี่ และบางกลุ่มก็ใช้เป็นที่พลอดรักกันอย่างน่าอิจฉา เรื่องเล่าเกี่ยวกับเรือนไทยมีมากมาย เพราะความคลุมเครือในที่มาของเรือนไทยโบราณหลังนี้ เมื่อ 2 ปีก่อน นักศึกษาหญิงคนหนึ่งเข้าไปอ่านหนังสือ บริเวณเรือนไทย เวลาผ่านไปจนเริ่มเย็น ขณะนักศึกษาคนนั้นเก็บของเตรียมตัวกลับไปหอพักก็เหลือบไปเห็นเส้นสีดำๆ คล้ายผมของใครบางคนปลิวไสวอยู่ไม่ไกล เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ ก็พบว่า เส้นผมที่ว่านั่น...เป็นเส้นผมของผู้หญิงใส่ชุดไทยโบราณ และกำลังห้อยหัวลงมาจากเสาเรือน ปากยิ้ม แสยะเห็นฟันดำขลับ นักศึกษาคนนั้นกรีดร้องและเป็นลมทันที >พี่ยามได้ยินเสียงจึงเข้าช่วยเหลือ-ทำการปฐมพยาบาล >รุ่นพี่เล่าต่อๆ กันมาว่าเสา ต้นหนึ่งในเรือนไทยตกน้ำมันได้ >ถ้าคุณไม่เชื่อเกี่ยวกับ"ความแรง"ของที่นี่ มีเรื่องพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่าที่เรือนไทยนี้อากาศเย็นสะท้านตลอดเวลาไม่ ว่าจะฤดูอะไร และวันนั้นแดดจะแรงขนาดไหนก็ตาม :-)

7. หอชาย เชื่อหรือไม่? ในสมัยก่อนหอชายของมหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา เป็นหอหญิงมาก่อน บางคนอยู่มาเป็นปีๆไม่เคยจะรู้ ไม่เคยจะใส่ใจกับความ เป็นมาตรงนี้เลย หอชายในปัจจุบันนั้นมีสภาพค่อนข้างใหม่กว่าหอหญิง (ยกเว้นแต่หอ10) ก็มีเรื่องเล่ากันว่า นักศึกษาหญิงคนหนึ่งได้ฆ่าตัวตาย ภายในหอพัก วิญญาณก็ยังวนเวียนไม่ไปไหน คอยปรากฏตัวให้นักศึกษารุ่นหลังได้ประสาทกินเป็นพักๆ และในแต่ละปีจะมีนักศึกษาชายจำนวน มากที่โวยวายกับเจ้าหน้าที่หอพักเรื่องผู้หญิงชุดขาวที่เดินไปมาในบริเวณหอ พัก ส่วนสถานที่หลักๆที่จะพบได้ก็คือ 1.บันไดหนีไฟ ใครที่ชอบเดิน ทางนี้บ่อยๆ ระวังให้ดี คุณไม่มีทางหนี นอกจากวิ่งชนหรือลงไปติดแหง็กอยู่ด้านล่าง2.ทางเชื่อมระหว่างหอ เมื่อมองจากระเบียง หรือด้านล่าง ของหอ นี่คือสามแพร่งที่ทุกคนต้องผ่านเข้าออกในแต่ละวัน โถฉี่ในหอพักหญิงเป็นเครื่องยืนยันอย่างดี แต่อย่าหวังคำตอบจากเจ้าหน้าที่หอเกี่ยว กับสาเหตุที่ย้ายมา เพราะต่อให้ตาย "...เค้าก็ไม่ตอบคุณหรอก"

8.คอนโด C ห้องxxxx คอนโดบริเวณประตูสาม จะถูกจองตั้งแต่เดือนเมษา แต่จะมีอยู่ห้องหนึ่งในคอนโด C ซึ่งปิดขอบประตูโดยรอบด้วยยันต์ และประไว้ที่หน้าประตูอีก หนึ่งแผ่น ลองนึกภาพดูว่าบรรยากาศของห้องจะหม่นๆ เหมือนมีสายตาเฝ้ามองอยู่ตลอด ใครที่เคยอาศัยอยู่ย่อมรู้ถึงความกดดันได้เป็นอย่างดี ประวัติของห้องนี้ก็มีอยู่ว่า ช่วงปิดเทอมเมื่อ 4-5 ปีก่อน มีเด็กอินเตอร์คนหนึ่งกรอกยาฆ่าตัวตาย กว่าเพื่อนจะไปพบ ศพมันก็อืด เน่า เฟะ เละจนแทบจำไม่ได้ เด็กคนนี้เป็นผู้หญิงอยู่ปี 2 น้อยใจแฟนก็เลยประชดด้วยการลาโลก พองานศพเสร็จ เพื่อนๆ ทำใจไม่ได้ก็เลยขอย้ายไปพักที่อื่น คนที่ย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ๆ ไม่รู้เรื่องรู้ราว ตกกลางคืนมักได้ยินเสียงเปิดก็อกในห้องน้ำบางครั้งก็ได้ยินเสียงกุกกักทั้งๆ ที่ไม่มีใคร แต่นั่น...ไม่ร้ายแรงเท่านักศึกษาบางคนที่กำลังนอนหลับ เหลือบไปเห็นผู้หญิงหน้าตาบวมปูดเหมือนศพ จับขาและกระชากลงจากเตียง เพื่อนที่เคยไปอาศัยอยู่ในห้องเจ้าปัญหา การันตีความเฮี้ยนระดับห้าดาว!!! รูม เมทบางคนมองเห็นผู้หญิงเดินไปเดินมาในเวลากลางคืน และมักได้ยินเสียงร้องไห้ ปนโกรธแค้นที่ถูกทอดทิ้ง หลายคนก็ถูกผีอำจนอยู่ไม่ได้ เครื่องใช้ไฟฟ้า-ข้าวของ >เปิดปิด เคลื่อนที่ได้เองอย่างน่าสงสัย เป็นอีกเรื่องที่ฮอทสุดๆและเฮี้ยนสุดๆ ในรั้วศาลายา

9. ตู้ผี ฟังชื่อแล้วต้องบอกว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับหนังผีเกาหลีเกรดบี แต่นี่คือเรื่องจริงของนักศึกษาดวงซวยสุดๆ ในคืนวันมหิดล เมื่อสองปีก่อนช่วงสอบกลางภาค ตรงกับวันมหิดลพอดี นักศึกษาหญิงคนหนึ่งซึ่งอ่านหนังสือเตรียมสอบอยู่ภายในห้องพัก กำลังจะไขกุญแจตู้เสื้อผ้าไปอาบน้ำ เครียดก็เครียด อ่านก็ไม่ทัน ไหนจะไม่ค่อยรู้เรื่องอีก ความซวยก็เข้าเยือนต่อทันที ขณะเดียวกันเรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น มีมือข้างหนึ่งยื่นออกมาจากข้างในคว้าท่อนแขนนักศึกษาโชคร้ายและพยายามดึง เข้าไปในตู้ เท่านั้นแหละ...เสียงกรี๊ดดังลั่นมาถึงหอชาย เพื่อนร่วมห้องได้ยินก็กระวีกระวาดมาดู เห็น เจ้าหล่อนเป็นลมนอนฟุบอยู่กับพื้นห้อง จึงโทรศัพท์เรียกเจ้าหน้าที่หอให้รับตัวไปโรงพยาบาลทันทีสอบถามจากเจ้า หน้าที่หอพักก็ตีหน้าซื่อ แก้ตัว กับเหตุการณ์นี้ว่า "สงสัยเค้าจะเครียดมากไป" เป็นอันว่าเรื่องสยองในคืนวันมหิดลก็ยังเป็นปริศนาต่อไป ยาวไปหน่อย แต่อ่านแล้วขนลุกได้เลย

มีแค่ 9 เรื่อง... อ้าวทำไมมีแค่9เรื่อง? เพราะว่า เรื่องที่ 10 ผมรอให้เพื่อนๆมาเล่าดีกว่า... เหอๆ Credit http://webboard.yenta4.com/topic/442884

กลิ่นสยองขวัญ

'เขาจิรา' เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากบ้านใกล้วัด ฤดูฝนปีนี้มาเร็วนะคะ พอครึ้มฟ้าครึ้มฝนทีไร ดิฉันอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องสยดสยองที่เคยเจอเมื่อ 7 ปีก่อน ปกติดิฉันรักฤดูฝนมาก ธรรมชาติแสดงพลังอำนาจให้เห็นสายฝนกระหน่ำให้เห็นพลังอำนาจ เสียงฟ้าที่สะเทือนกึกก้อง แสงที่แปลบปลาบบาดตา ความชุ่มฉ่ำและความสวยงามของสายรุ้ง! สิ่งที่ดิฉันไม่ชอบในฤดูฝนมีอยู่อย่างหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องฝนตก น้ำท่วม รถติดหรอกค่ะ แต่ในเวลาที่ฟ้าปิด บรรยากาศตอนพลบน่ะ กลิ่นแปลกๆ จะลอยต่ำลงมาเหมือนเรี่ยยอดไม้ยอดหลังคาบ้านต่างๆ มาเรื่อย...กลิ่นคล้ายเผาหนังหมู! กลิ่นผมไหม้ บางทีเหมือนมีใครกำลังทอดปลาเค็มเน่า! ทุกๆ ปียามฤดูฝนดิฉันจะได้กลิ่นนี้ แม้จะไม่ทุกวัน แต่ได้กลิ่นทีไรก็ขนหัวลุกทุกที เพราะทราบดีว่ามันเป็นกลิ่นเผาศพที่ลอยอวลมาจากวัดแห่งหนึ่งในละแวกนั้น ที่จริงดิฉันไม่เคยได้ยินใครบ่นเรื่องนี้ให้ฟังสักที อาจจะเป็นเพราะความเชื่อถือที่ว่า...ห้ามพูดว่าเหม็นศพ เพราะเป็นการดูหมิ่นคนตาย แต่ที่ยิ่งกว่านั้นคือดิฉันคิดว่าบ้านตัวเองมันอยู่ท้ายซอย ถ้าตรงมาเรื่อยๆ ราว 200 เมตรก็จะเจอกำแพงอิฐ นั่นแหละบ้านดิฉันเอง ที่ห้องนอนชั้นสองของบ้านจะมีบานหน้าต่างตรงกับถนนเป๊ะ...ห้องนอนดิฉันค่ะ! ตามหลักฮวงจุ้ยมันไม่ดีเลยใช่ไหมคะ สาเหตุเพราะมีถนนพุ่งตรงแหนวเข้าใส่ แต่จะทำไงได้ล่ะคะ บ้านหลังนี้ปลูกมาตั้งแต่สมัยคุณตาคุณยาย ดิฉันก็อยู่จนใกล้จะ 30 ปี ที่นี่เป็นบ้านของเรา ห้องนอนของเรา! ใครจะทักว่าผิดหลักฮวงจุ้ยอย่างไรก็ตาม ดิฉันไม่มีปัญญาย้ายไปไหนหรอกค่ะ เมื่อสภาพแวดล้อมทั่วไปเป็นเช่นนี้ ห้องนอนดิฉันก็มีสภาพเป็นที่ดักกลิ่น! เวลาบ้านใครทำกับข้าวกลิ่นฉุนๆ อย่างผัดพริก ผัดกะเพรา หรือหมูทอดกระเทียมพริกไทย ทอดปลาสลิด กลิ่นจะมารวมกันที่ดิฉันนี่แหละ... แต่นั่นยังไม่ร้ายเท่ากลิ่นเผาศพ ยามฤดูฝนดิฉันมักจะปิดหน้าต่างบานนี้เสมอ แต่บางทีก็ไม่ไหว อากาศร้อนอบอ้าว ดิฉันเปิดหน้าต่างไว้แต่เช้าก่อนไปทำงาน กว่าจะกลับบ้านก็ทุ่มสองทุ่ม จึงต้องรับกลิ่นเผาศพเต็มที่ เมื่อ 7 ปีก่อนดิฉันยังจำได้ว่า ขณะนอนหลับก็ถูกดึงผ้าห่มลงไปทางปลายเท้า ทีแรกนึกว่ามันเลื่อนตกไปเอง ดิฉันสะดุ้งตื่นและตะครุบมันไว้ ก่อนจะดึงขึ้นมาห่มถึงลำคอแล้วทำท่าจะหลับตา แต่ก็ถูกมันดึงอีก... พอลืมตาขึ้นเพื่อจะยึดผ้าห่มไว้ สายตาก็พลันแลเห็นภาพประหลาดตรงมุมห้อง...มีเงาคนยืนอยู่ตรงนั้น 5-6 คน ทั้งผู้ชาย ผู้หญิงแก่ๆ และเด็ก...ทุกคนกำลังจ้องมองมาเขม็ง! เหงื่อกาฬแตกพลั่ก...เราฝันร้ายไปหรือเปล่านี่? พอขยี้ตาภาพน่ากลัวก็หายไป ดิฉันเลยไม่แน่ใจตัวเองว่าตาฝาด หรือยังไม่ตื่นจากฝันกันแน่? วันต่อมาราวสองทุ่มดิฉันกลับถึงบ้านก็ขึ้นห้องนอน พอเปิดประตูเข้าไปก็ผงะเพราะกลิ่นฉุนจัด...กลิ่นเผาศพอีกแล้ว! แต่จะปิดหน้าต่างก็เท่ากับอบกลิ่นไว้ มีทางเดียวคือเปิดหน้าต่างแล้วเปิดพัดลมไล่กลิ่น สักพักหนึ่งก็ค่อยยังชั่ว ราวห้าทุ่มดิฉันเข้านอน กลิ่นสยองนั่นหายไปแล้ว... ข้างนอกฟ้าแดง ลมแรง แสดงว่าพายุกำลังจะมา ห้องดิฉันมีแต่พัดลมค่ะ คืนนั้นจึงจำเป็นต้องปิดหน้าต่างเพราะกลัวฝนสาด ซึ่งก็ดีเหมือนกันเพราะฟ้าแลบบาดตามาก ต่อจากนั้นก็เป็นเสียงฟ้าคำรามกึกก้อง ดิฉันเคยชอบ แต่คืนนั้นรู้สึกกลัวๆ พิกล แม้จะปิดหน้า แต่เวลาฟ้าแลบแสงก็ยังลอดเข้ามาได้จากช่องแสง...มันเพิ่มบรรยากาศให้เหมือนหนังผีเข้าไปใหญ่! ดิฉันนอนบนเตียงและยังลืมตา พอมองไปตามเพดานก็เห็นหยากไย่แมงมุม...ตายจริง! นี่เราละเลยขนาดนี้เชียวหรือเนี่ย? เพราะคิดมากหรือเปล่าก็ไม่รู้ ดิฉันเคลิ้มหลับ...ผู้หญิงผมยาวเกาะใยแมงมุมห้อยหัวลงมาจ้องเขม็ง นัยน์ตาวาวเรืองน่ากลัวจนต้องสะดุ้งตื่น ใจเต็นแรงเหมือนจะทะลักออกมานอกอก ภาพภายในห้องเหมือนฝัน...แต่ไม่มีผีผู้หญิง!! ทุกคืนดิฉันฝันร้าย บางทีก็โดนผีอำ ในห้องมีเงาวูบวาบ รู้สึกเหมือนผีผู้คนมากมายพากันขวักไขว่อยู่ในห้องนอน กลิ่นสยองก็ชวนขนลุกบ่อยขึ้นทุกที วันเสาร์นั้นคุณป้ามาเยี่ยม ดิฉันปรับทุกข์เรื่องนี้ ท่านบอกว่าหยากไย่ใยแมงมุมอาจจะดักเอาฝุ่นเถ้าธุลีหรือกลิ่นจากปล่องเมรุเข้ามาได้ ต้องหาไม้กวาดไปตักของพวกนั้นลงมาจนหมด หลังจากนั้นก็สบายใจขึ้นมาก ไม่มีฝันร้ายหรือเรื่องสยดสยองอีกเลย...ทุกวันนี้ก็หมั่นทำความสะอาดมุมห้อง เวลามีกลิ่นเผาศพดิฉันก็ทำเฉยๆ ไม่กังวล...แต่นึกกลิ่นสยองก่อนหน้านั้นแล้ว อดขนหัวลุกไม่ได้ค่ะ! ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ ข่าวสด

วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555

การแก้กรรม ในการทำแท้งที่ดีที่สุดคือ

ทำแท้ง….กรรมมีจริงนะ “ ทำท้องมันใช้อารมณ์กับความมันส์ แต่ทำแท้งต้องเสียเงิน เสียน้ำตาและเสียความรู้สึก แถมยังเจ็บตัวหรืออาจถึงตายได้” คิดให้ดีการจะทำอะไรลงไป กรรมมีจริงนะ เราไม่ได้สนับสนุนให้เกิดการทำแท้งขึ้น แต่เป็นการช่วยแบ่งเบากรรม และสร้างความสบายใจให้แก่คนที่พลาดพลั้งไปในชีวิต จะเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี เราไม่ได้หวังว่าจะส่งเสริมให้คนทำมากขึ้น แต่เป็นการแก้กรรมที่ถูกต้องที่ดีที่สุด เสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด และได้รับประโยชน์สูงสุด สำหรับการแก้กรรมนี้ ใช้ได้ทั้งคนที่ไปทำแท้ง คนที่สนับสนุนการทำแท้ง เช่น แฟนของผู้หญิงที่ท้อง พ่อแม่ของผู้หญิงที่ท้อง และก็เพื่อนที่พาไปทำหรือแนะนำสถานที่ไปทำแท้ง ทุกคนที่กล่าวมานี้ล้วนมีกรรมในการกระทำครั้งนี้ ทางเราขอย้ำว่า เราไม่ได้สนับสนุน ส่งเสริมให้เกิดการทำแท้ง แต่เราต้องการให้แก้กรรมโดยถูกวิธีที่สุด •การตักบาตรเป็นการสั่งสมบุญไปใช้ชาติหน้าไม่มีผลต่อการแก้กรรมในการทำแท้ง •การทำสังฆทานเป็นการใช้กรรมให้แก่เจ้ากรรมนายเวรไม่มีผลต่อการแก้กรรมทำแท้ง การแก้กรรมในการทำแท้งที่ดีที่สุดคือ 1.ต้องตั้งจิตอธิฐานว่า ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย จะไม่ทำแท้งอีก การแก้กรรมครั้งนี้ถึงจะได้ผล 2.ต้องบริจาคร่างกาย 3.ต้องบริจาคอวัยวะ 4.ต้องบริจาคเลือดอย่างน้อย 7 ครั้ง 5.ต้องบริจาคเงินเพื่อไถ่ชีวิตโค – กระบือ 6.ซื้อเครื่องมือแพทย์ บริจาคให้กับตามโรงพยาบาล •ถ้าให้ดีที่สุดควรทำทุกอย่าง แต่ถ้าไม่มีความสามารถให้ทำอย่างใดอย่างหนึ่ง รับรองว่าได้ผล 100 % แต่ต้องยึดมั่นข้อที่ 1 เป็นหลักคือ ไม่กลับไปทำแท้งอีก จึงจะได้ผล •เมื่อท่านทำวิธีแก้กรรมครั้งนี้แล้ว ถ้ากลับไปทำแท้งอีกผลกรรมจะกลับมาหาท่านหลายร้อยเท่า พันเท่า •และหลังจากที่ได้ทำบุญทุกอย่างแล้ว ท่านต้องกลับมาจุดธูป 16 ดอก เพื่อขออโหสิกรรมกับเจ้ากรรมนายเวรและเจ้าบุญนายคุณ และขอพรหลังจากอโหสิกรรมแล้ว ท่านจะสมหวังทุกประการ ขอให้ทุกคนมีความสุขและสมหวัง

หอพักสยอง

ผมเป้นคนมีเซ้นส์เกี่ยวกับเรื่องผี มากๆ ผมเจอบ่อย วันนี้ขอเล่าอีก1ประสบการณ์ เกี่ยวกับ หอพัก ที่ จังหวัดขอนแก่น.. เป็นหอสร้างใหม่ แต่บริเวณนั้น เป็นป่าช้าเก่า แล้วคนอยู่ละแวกนั้นมักเห็นคนเดินกันตอนกลางคืนจำนวนมาก แต่เรื่องนี้มันเกิดขึ้นในห้องของผมเอง พวกผมชอบกินเหล้าเสียงดัง แล้วเจ้าของหอ มักพูดว่า เดี๋ยวก็เจอผีเจ้าที่หลอก พวกผมก้ไม่กลัว มีวันนึงนั่งกินกันอยุ่ ตี 2-3 อยู่ๆประตูหลังห้องก็ปิดเอง พวกผมก็หันไปมอง แล้วพากันเงียบ แล้วก็ขำ บอกว่า ลมๆ ไม่มีอะไรหรอก สักพัก ประตูเปิดออก พวกผมก็ขำอีก แล้วพูดว่า เอาแล้วไงมึง แต่ก็ไม่สนใจ คิดว่าลม เพื่อนผมคนนึงเลย ลุกไป ปิดประตู ดึงเข้ามา แน่นแล้วล้อก แต่สักพัก ประตูเปิดออกเอง พวกผมเลยพูดว่า ถ้ามึงเป้นผีจิง ไหนลองปิดประตูซิ แล้วประตูก็ปิด แล้วก็พูดต่อว่า ถ้าใช่ผีจิงๆ กูขออีกที ประตุเปิดซื แล้วมันก็เปิด แค่นั้นแหละครับ วงแตก ที่หลังประตุไม่มีใครนะครับ ไม่ใช่การอำกันเล่นๆ ทีนี้ห้องนี้ก้ว่าง พากันไปนอนอีกห้องหมด แล้วผม ต้องมานอนคนเดียว เพราะเป้นห้องผม ผมก็ไม่สนใจ ยังไม่ทันได้นอน โดนผีอำครับ อำรุนแรง อำแบบรุ้สึกตัว ผมก็ร้องให้เพื่อนช่วย แต่เหมือนไม่มีใครได้ยิน ผมก็สวดมนต์ ทุกบท จนผมหลุดได้ แค่นั้นแหละครับ ผมพุ่งชนประตูออกมา ทั้งๆที่แค่ หมุนนิดเดวมันก้เปิดแล้ว แต่ด้วยความตกใจ แล้วรีบวิ่งไปหาเพื่อน ตะโกนบอกเพื่อนๆ กูโดนผีหลอกๆ แล้วเราก้ย้ายห้อง ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนมีคนมาอยุ่ใหม่ อยู่ได้ 7วัน ก็ออกอีก เค้าบอก โดนผีอำ ทุกวัน อยุ่ไม่ได้ แล้วคนแถวห้องนั้นก็โดนทีละคนๆ จนพากันออกจะหมด นี่คือส่วนของชั้นบนนะครับ ส่วนห้องแถวล่าง รุ่นพี่ผมคนนึง เข้าไปอาบน้ำครับ พออาบเสร็จเดินออกมา มีผีมุดใต้เตียง...ผีจริงๆนะครับ ไม่ใช่ ใครอำทั้งนั้น รุ่นพี่ผมกรี๊ดสนั่น แล้ววิ่งออกมายืนกลางหอ แล้วตะโกนว่า ช่วยด้วยๆ ทั้งตัวพี่แก ใส่ผ้าขนหนูผืนเดียว แกบอกว่าผีที่เห็น คือ คุณลุง ที่ อยุ่ตรงข้ามกับหอ ที่เพิ่งตายล่าสุด ไม่กี่วัน แล้วยามก็ลาออก ตาม เพราะอะไรเหรอครับ อันนี้ผมรุ้ตอนที่ผมได้เจอกับยาม ตอนแกย้ายไปอยุ่อีกหอ ผมก็ถาม ทำไมย้ายออก แกบอก ลุงคนที่ตาย ก่อนแกตาย มานั่งกินเหล้าด้วยกันทุกวัน พอลุงแกตาย มีคืนนึง แกนั่งเฝ้าหอคนเดียว แกเห็นวิญญาณ ลุง เดินผ่าน แกเลย ยกมือไหว้สวดมน แล้ว พอเช้ามาแกก็ไปขอลาออก หอนี้ สยองมากครับ เพราะมันเป็นป่าช้าเก่า ผีเยอะ ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่โดน แต่ โดนทั้งหอครับ ... ใครอยู่หอระวังตัวไว้ให้ดีนะครับ ดอกไม้ราคาไม่แพง รีบซื้อไปไหว้ซะ

ตำนานศุกร์ 13

ตำนานศุกร์ 13 เมื่อเอ่ยถึงวันศุกร์ 13 นั้นหลาย ๆ คนอาจจะนึกไปถึงวันแห่งอาถรรพ์ เพราะเคยมีภาพยนตร์เรื่องหนึ่งใช้ชื่อว่า ศุกร์ 13 ฝันหวาน แต่เป็นภาพยนตร์สยองขวัญ ในขณะที่อีกหลาย ๆ คนอาจจะยังไม่ทราบความเป็นมาว่า ทำไมวันศุกร์ 13 ถึงเป็นวันที่ไม่ดี ว่ากันว่าความเชื่อที่ว่าถ้าวันศุกร์เกิดไปตรงกับวันที่ 13 ของเดือนใดก็ตามแล้ว จะกลายเป็นวันแห่งความโชคร้ายนั้นเป็นความเชื่อของชาวตะวันตก โดยต้นตอแห่งความเชื่อนี้มาจาก อาหารมื้อสุดท้ายของพระเยซู (The Last Supper) โดยเชื่อกันว่าในอาหารมื้อนั้นมีผู้ร่วมรับประทานอาหารกับพระองค์ 13 คนก่อนที่พระองค์จะถูกนำตัวไปตรึงบนไม้กางเขนใน วันศุกร์ประเสริฐ (Good Friday) ในขณะที่มีอีกความเชื่อหนึ่งกล่าวว่าวันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม 1307 เป็นวันที่พระเจ้าฟิลิปที่ 4 แห่งฝรั่งเศส ทำการจับกุมตัวบรรดาอัศวินเทมพลาร์ชาวฝรั่งเศสจำนวนหลายร้อยคนไป ก่อนจะนำตัวไปทรมานและสังหาร เพื่อนำทรัพย์สินของพวกเขามาเป็นของฝรั่งเศส ทั้งนี้นักจิตวิทยาพบว่า ในบางคนจะมีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุหรือล้มป่วยในวันศุกร์ที่ 13 ซึ่งมีการให้เหตุผลเอาไว้ว่าเป็นเพราะบางคนรู้สึกวิตกจริตเป็นอย่างมากในวันศุกร์ที่ 13 โดยทางศูนย์จัดการความเครียดและสถาบันอาบำบัดการกลัวในเมืองแอชวิลล์ มลรัฐนอร์ทแคโรไลนา ประเมินว่าในแต่ละครั้งที่มีวันศุกร์ที่ 13 สหรัฐอเมริกาต้องสูญเสียทางเศรษฐกิจเป็นเงิน 800 - 900 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทีเดียว เพราะว่าประชาชนบางคนไม่กล้าเดินทางไปไหนและไม่กล้าแม้แต่จะไปทำงาน จนทำให้เกิดโรคกลัววันศุกร์ที่ 13 มีชื่อเรียกว่า Paraskavedekatriaphobia หรือ paraskevidekatriaphobia หรือfriggatriskaidekaphobia ซึ่งเป็นอาการหนึ่งของโรค triskaidekaphobia คือ โรคกลัวหมายเลข 13 และที่มาที่ทำให้วันศุกร์ 13 กลายเป็นวันโชคร้ายไปทั่วนั้นน่าจะมาจากภาพยนตร์สยองขวัญอย่าง ศุกร์ 13 ฝันหวาน หรือ "Friday the 13th" ซึ่งเรื่องเกี่ยวกับฆากรต่อเนื่องในสหรัฐอเมริกา ซึ่งตัวเอกของเรื่องมีเอกลักษณ์เด่นคือการสวมหน้ากากฮ็อกกี้ เพื่อปกปิดใบหน้า ก่อนทำการฆาตกรรมเหยื่อ สำหรับความเชื่อเรื่อง ศุกร์ 13 เป็นวันไม่ดีนั้นส่วนใหญ่จะเชื่อกันในหมู่ชาวตะวันตกเสียเป็นส่วนมาก ซึ่งเรื่องแบบนี้นั้นถือเป็นเรื่องของความเชื่อส่วนบุคคลค่ะ

ลิฟโรงพยาบาลหลอน

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เพื่อนผมเค้าไปเจอมาจะมาเล่าคับ เรื่อง มีอยู่ว่า คุณแม่ของเพื่อนผมเข้าโรงพยาบาลใกล้กับโรงพยาบาลศ....(ไม่ใช่ ศ...นะคับ) ปรากฏว่าคุณแม่ต้องอยู่โรงพยาบาลหลายวัน เพื่อนผมต้องสลับกับคุณพ่อมาเฝ้า วันนั้นเป็นวันที่เพื่อยผมมาเฝ้าพอดี ตอนกลาง คืนหลังจากที่กลับไปอาบน้ำที่บ้านมาแล้ว เพื่อนผมก็กลับมาเฝ้าคุณแม่ที่ห้องชั้น 8 พอตกดึกซักประมาณหลังเที่ยงคืนไปแล้วเพื่อนผมเกิดหิวขึ้นมา จึงเดินลงไป 7-11 ด้านล่าง เมื่อซื้อของเสร็จแล้วจึงขึ้นลิฟท์ไปที่ห้อง ระหว่างที่อยู่บนลิฟท์เพื่อนผมก็มองที่เลขชั้นที่ลิฟท์กำลังขึ้นพอขึ้นถึง ชั้น 5 ลิฟท์ก็หยุดตัวเลขก็กระพริบ หมายความว่ามีคนกดจะขึ้น พอลิฟท์เปิด เพื่อนผมก็ตกใจมาก เพราะว่าชั้นที่ 5 นี้ปรกติจะเป็นชั้นที่เพื่อนผมเค้าจะมาดูหนังบ่อยมาก เพราะว่าชั้นนี้มี UBC จอใหญ่ติดใว้บริการ 24 ชม.เพราะ ฉะนั้นไม่มีทางที่จะไม่มีใครอยู่เพราะว่านางพยาบาลที่ว่างอยู่ก็จะชอบมาดู กัน แต่ภาพที่เพื่อนผมเห็นนั้นมันเป็นชั้นที่มืดมาก มองออกไปนอกลิฟท์แทบไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความมืด ไม่มีแม้ไฟสักดวง เพื่อนผมเริ่มกลัวจึงรีบกดปุ่มปิดประตู แต่ประตูลิฟท์ปิดได้แค่นิดเดียวมันก็เปิดออก แล้วจึงปิดเข้ามาใหม่อีกที ลิฟท์ ก็ขึ้นตามปรกติสักพักเพื่อนผมก็ได้กลิ่นเหมือนกลิ่นเหม็นเน่าอย่างรุนแรง เกือบจะอาเจียนออกมา พอถึงชั้น 8 เพื่อนผมก็รีบเดินออกมา ตรงข้ามลิฟท์ที่เพื่อนผมเดินออกมานั้น มันจะเป็นระเบียงที่เอาใว้ให้นั่งพักผ่อนหย่อนใจ และจะมีประตู ที่เป็นกระจกใสกั้นใว้ เค้ามองเข้าไปในกระจก เห็นลิฟท์ที่กำลังจะปิดนั้น มีคนอยู่เกือบเต็มลิฟท์ และคนทั้งลิฟท์กำลังมองที่เค้าคนเดียว วินาทีนั้นเพื่อนผมแทบช็อค ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร จึงรีบเดินกลับห้องโดยไม่มองกระจกอีกเลย รุ่งเช้าเค้าไปถามพยาบาลทีอยู่ชั้นนั้น ก็ไม่มีใครรู้เลย เกี่ยวกับลิฟท์ตัวนั้น และชั้นที่มืดมิด...

วิญญาณที่ทาง 3 แพร่ง

ย้อนอดีตไปเมื่อปี พ.ศ. 2505 (ผู้ใหญ่เล่าให้ฟัง) ในสมัยนั้นการเดินทางไม่สะดวก จะไปไหนมาไหนต้องเดินทางด้วยเรือ หรือไม่ก็ต้องเดินด้วยเท้าเปล่าย่ำไปบนคันนา ไฟฟ้าก็ยังไม่มี บ้านทุกหลังคาเรือนต้องใช้ตะเกียงน้ำมัน และบ้านส่วนใหญ่จะมุงด้วยจาก นายหยด หรือที่ชาวบ้านเรียกแกว่า ลุงหยด แกทำงานอยู่ในกรุงเทพฯ คือ รับราชการครู นาน ๆ จะกลับมาเยี่ยมบ้านที่ หนองจอกครั้งหนึ่ง ส่วนมากแกจะออกจากกรุงเทพฯ ในวันศุกร์ หลังเลิกสอนแล้ว และจะมาขึ้นเรือโดยสาร ในสมัยนั้นเป็นเรือของบริษัท นายเลิศ คือ เรือขาว เรือออกจากท่าน้ำที่ประตูน้ำประมาณ ๖ โมงเย็น จะถึงที่ตลาดหนองจอกก็เวลาประมาณ ๕ ทุ่ม หลังจากนั้นก็ต้องเดินด้วยเท้า กว่าจะมาถึงบ้านก็เกือบๆ ตี ๒ ในขณะที่เดินทางตอนกลางคืน ท้องฟ้าจึงมืดสลัว อาศัยแสงดาวที่กระพริบอยู่บนท้องฟ้าให้แสงสว่าง น้ำค้างพรั่งพรมลงมาต้องใบหญ้าเพราะเป็นเวลาดึกสงัด สายลมชายทุ่งพัดผ่านเย็นสบาย อากาศสดชื่นไร้มลพิษ เจ้าแมลงกลางคืน (หิ่งห้อย) ลอยกระพริบวูบวาบไปตามสุมทุมพุ่มไม้ใบหนา มองดูเหมือนแสงไฟกระพริบ ตามสถานเริงรมย์ต่างๆ แต่ทุกอย่างที่เห็นนี้เกิดจากธรรมชาติ อันแสนจะบริสุทธิ์ ลุงหยดเดินลัดคันนามาเรื่อยๆ เพราะความเคยชินและมองไปทางเบื้องหน้าเห็นในเงามืดเป็น ทางสามแพร่งตาม เส้นทางรอบ ๆ บริเวณ มีต้นไม้ใหญ่คือ ต้นกระทุ่ม และ ต้นตาล ลุงหยดเดินใกล้ทางสามแพร่งเข้าไปทุกขณะ และจู่ ๆ สุนัขก็เริ่มเห่าหอนอย่างน่าประหลาด คล้ายกับว่ามันเห็นผี ทำให้ลุงหยดชะลอฝีเท้าที่ก้าวเดินให้ช้าลง เพราะเกิดความรู้สึกแปลกๆ ขนตามแขนและขาลุกซู่ซ่า ชาสันหลังวาบๆ ลุงหยดไม่เคยเชื่อเรื่องผีจึงพยายามเพ่งสายตาฝ่าความมืดของคืนแรมมองไปข้าง หน้า แต่ก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ จึงเดินต่อไป แต่ในใจนั้นคิดว้าวุ่นว่า ผีมีจริงหรือ ความคิดหวนไปถึงคำพูดของผู้ใหญ่ว่า "ผีหรือวิญญาณนั้นมีจริง" ถึงตอนนี้ความคิดของลุงหยดหยุดกึก เกิดความกลัวขึ้นมาเฉย ๆ ทั้ง ๆ ที่ตั้งแต่หนุ่มจนอายุเกือบจะห้าสิบ แกยังไม่เคยเห็นผี เสียงหมาหอนยังคงดังโหยหวนและเยือกเย็น มันวังเวงบาดใจในยามดึกสงัด ลุงหยดได้ยินเสียงฝีเท้าของตัวเองย่ำไปบนคันนาเพราะความเงียบมันเงียบเสียจน น่ากลัว ในขณะที่ลุงหยดมาถึงทางสามแพร่ง พลันได้ยินเสียงเด็กเล็ก ๆ ร้องไห้บ้าง หัวเราะบ้าง สลับกันไปทำให้ลุงหยดแปลกใจ ดึกดื่นขนาดนี้ทำไมพ่อแม่ถึงปล่อยให้เด็กออกมาเล่นซนแบบนี้ และเมื่อมาถึงลุงหยดก็ต้องหยุดเดิน เพราะเด็กๆ หลายคนแต่งตัวแปลกๆ บางคนนุ่งโจงกระเบน ไว้จุก บางคนเป็นทารกนอนแบเบาะส่งเสียงร้องจ้า ฟัง ๆ ดูแล้ว มันน่ากลัวมากกว่าเสียงร้องของเด็กธรรมดา และเด็กบางคนก็วิ่งแย่งอาหารกันกินเหมือนกับอดมานานแรมปี และที่น่าแปลกอีกอย่างก็คืออาหารที่เด็กๆ แย่งกันกินนั้นมันวางอยู่ข้างๆ ทาง และอาหารเหล่านั้นอยู่ในกระทงทั้งสิ้น นี่มันอะไรกัน ใครหนอทำพิเรนทร์ เอาขนมนมเนยคาวหวานมาใส่กระทงวางไว้แล้วปล่อยให้เด็ก เล็กๆ เหล่านี้แย่งกันกิน ดูแล้วน่าสงสารจริงๆ ลุงหยดส่ายหน้า แล้วความความคิดของแกก็มาสุดุดอยู่ที่คำว่า "เครื่องเซ่น" วิญญาณเด็กที่ทางสามแพร่ง ลุงหยดชักใจสั่น หรือว่าโดนผีที่ทางสามแพร่งหลอกเอา เสียง หมาเห่าหอนยังดังไม่หยุด ลุงหยดคิดในใจ ใช่แน่แล้วทุกอย่างที่เห็นนั้นต้องเป็น ผะ...ผี.. ผี ..แน่ ๆ เมื่อคิดได้ดังนั้นขาแข้งเริ่มสั่น คือ เกิดอาการก้าวขาไม่ออก เหงื่อเม็ดเล้ก ๆ ผุดขึ้นบนใบหน้า ลุงหยดแข็งใจ นึกปลอบใจตัวเอง ค่อยๆ ก้าวเดินต่อไปและพยายามไม่สนใจกลุ่มเด็กเหล่านั้นเสียงหัวเราะของเด็กๆ ดังขึ้นอย่างโหยหวนสลับกับเสียง ร้องไห้งอแง ลุงหยดก้าวเดินช้าๆ เพราะขาแกสั่น แต่แล้วให้ตายเถอะ! หัวใจของลุงหยดทบหลุดจากขั้ว เพราะเสียงเด็กวิ่งคึก ๆ "ลุง...ลุง หนูไปด้วย หนูหิว" เท่านั้นเองลุงหยดถึงกับก้าวขาไม่ออก หัวใจเสียวปลาบหล่นลงมาที่กองเท้า เสียงหัวเราะของเด็ก ๆ มันน่ากลัวและบาดความรู้สึกแทบคลั่ง แสง เงิน แสงทอง เริ่มจับขอบฟ้า เสียงไก่ขันดังเจื้อยแจ้ว ฝูงนกเล็ก ๆ ส่งเสียงร้องชวนกันออกหาอาหาร ส่งเสียงร้องชวนกันออกหาอาหาร แสงสว่างเริ่มจับของฟ้าต้องหยาดน้ำค้างบนใบหญ้าเป็นประกาย ภาพของเด็ก ๆ บนทางสามแพร่งค่อย ๆ เลือนหายไปช้า ๆ เหลือไว้ให้เห็นก็คือกระทงที่ตั้งเรียงอยู่ตรงทางสามแพร่งกับเศษอาหารที่หก เกลื่อนตามพื้นดิน ลุงหยดยกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อ มาถึงบ้านเอาตอนหกโมงเช้าพอดี แกเป็นไข้เสียหลายวัน ไปทำงานไม่ได้ และต่อมาแกก็ลาออกจากราชการกลับมาอยู่บ้าน เปลี่ยนอาชีพมาทำไร่ไถนาเพราะสมัยก่อนความเจริญยังก้าวมาไม่ถึง จึงมีเหตุการณ์แปลกๆ เกิดขึ้นเสมอๆ จนกระทั่งเวลานี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อม มีถนน มีไฟฟ้าใช้ มีรถสองแถวแล่นผ่านล ทางสามแพร่งยังคงอยู่ แต่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา แต่ ! ไม่มีใครไปสร้างที่อยู่อาศัย เพราะวิญญาณตรงที่นั้นดุร้ายมาก ปล่อยให้เป็นทางสัญจรของชาวบ้าน วันดี คืนดี ก็จะได้ยินเสียงแปลก ๆ อยู่เสมอ

10 สถานที่ผีดุ

"สถานที่แห่งความสยองขวัญ" พูดถึงเรื่องวิญญาณย่อมมีทั้งคนที่เชื่อว่า "มีจริง" และ "ไม่เชื่อว่ามีจริง" นอกจากคนสองกลุ่มนี้ยังมีอีกสองกลุ่มคือ "เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง" และ"ไม่เชื่ออย่าลบหลู่" แต่ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มีทัศนะ ต่อผีต่อวิญญาณในกลุ่มไหนก็ตาม หากขอให้ไปเดินเล่นคนเดียวในป่าช้าตอนเที่ยงคืน เชื่อได้เลยว่าไม่มีใครเล่นด้วยเด็ดขาด. บุคคลทั่วไปเชื่อว่า สถานที่ซึ่งควรจะเป็นที่ชุมนุมผีชมรมวิญญาณ คือป่าช้าทั้งหลายนั่นเอง ดังนั้นป่าช้าจึงได้รับการยกย่อง ให้เป็นที่สยองขวัญระดับสุดยอด และดูเหมือนไม่เคยตกอันดับทุกยุคทุกสมัย สถานที่สยองขวัญนอกจากป่าช้าแล้ว ก็ยังมีที่อื่นอีกกระจายไปทั่วทุกๆจังหวัด สำหรับสถานที่ใดได้รับการย่อง ให้เป็นอาณาบริเวณสยองขวัญชวนขนหัวลุก จะต้องมีมาตรฐานประการสำคัญนั่นคือ จะต้องมีผี หรือ วิญญาณปรากฏซ้ำซาก มีประวัติน่าหวาดเสียวระทึกใจ และต้องมีพยานรู้เห็นหลายครั้งหลายหนเป็นที่น่าเชื่อถือได้ และ 10 อันดับนั้นก็คือ 1. ในซอยรามคำแหง 32 ลึกเข้าไปในซอยรามคำแหง 32 ท่านจะพบบ้านทรงสเปนหลังหนึ่งรูปทรงสวยสง่าน่าอยู่ แต่บ้านนี้ไม่มีใครอยู่อาศัยนานกว่า 20 ปีแล้ว ปล่อยให้ทิ้งร้างเก่าทรุดโทรมอย่างน่าใจหาย ประวัติของบ้านมีว่าเจ้าของบ้านเป็นชาวต่างชาติ วันหนึ่งเจ้าของบ้านขับรถออกไปทำงานตามปกติ ที่บ้านมีสาวใช้อยู่เพียงคนเดียว คนร้ายไม่ทราบจำนวน ซึ่งคงมาแอบสังเกตการณ์นานพอสมควรได้ฉวยโอกาสเข้าปล้น และฆ่าสาวใช้ตายคาที่ นับตั้งแต่นั้นมักจะได้ยินเสียงผู้หญิง ร้องให้ช่วยดังโหยหวนน่าสยดสยอง และยังเห็นผู้หญิง (เข้าใจว่าเป็นสาวใช้ที่ถูกฆ่าตาย ) เดินวนเวียนวูบวาบอยู่ในบ้าน เจ้าของบ้านทนอยู่ไม่ไหวต้องย้ายไปอยู่ที่อื่น เล่ากันว่าหลังจากนั้น มีคนได้ยินเสียงผู้หญิงร้องให้ช่วย ดังมาจากบ้านร้างบ่อยๆ และมีคนเห็นผู้หญิงลึกลับยืนอยู่หน้าบ้านเป็นประจำเมื่อเข้าไปใกล้ก็หายไป. 2. วัดมหาบุศย์ พระโขนง ที่วัดมหาบุศย์ ยังมีศาลย่านาคตั้งอยู่ สืบเนื่องมาจากตำนานรักของแม่นาคพระโขนง ที่รู้กันแพร่หลายเล่ากันว่า เมื่อผีแม่นาคอาลวาดหลอกหลอน จนชาวบ้านหาปกติสุขมิได้ เจ้าประคุณสมเด็จโต (วัดระฆัง ) ได้มานำวิญญาณแม่นาคไป พร้อมกับกระดูก กระโหลกหน้าผาก แล้วอบรมสั่งสอนให้รักษาศีล ปฏิบัติธรรม นัยว่าแม่นาคเลื่อนภพเป็นเทพแล้ว หากยังมีผีวนเวียนที่วัดมหาบุศย์ คงมิใช่วิญญาณแม่นาคอย่างแน่นอน. 3. ในซอยสายหยุด อู่รถเมลล์เก่า ที่นี่เป็นสุสานรถเมลล์หรือรถโดยสารประจำทางที่ประสบอุบัติเหตุร้ายแรงจนใช้กา รไม่ได้ ซากรถเมลล์แต่ละคันมีประวัติคนตายโหงคารถ ในสภาพสยดสยองมาแล้ว และเป็นที่เล่าลือกันว่า อยู่ดีๆไฟในรถกลับเปิดสว่างขึ้นมาเอง หรือมีคนมายืนโบกรถหน้าอู่ แท๊กซี่จะเข้าไปจอดรับก็หายไปบางครั้งมีคนวิ่งตัดหน้า และหายไปดื้อๆ. 4. ในซอยรอดอนันต์ 1 ถ.สุขาภิบาล1 เป็นบ้านร้างทรงไทยอยู่ริมบึง ห่างไกลจากบ้านอื่นๆ ในระแวกนั้นบริเวณบ้านรกครึ้มด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยคุณยายเจ้าของบ้าน เสียชีวิตที่บ้านหลังนี้ และน่าเชื่อว่า วิญญาณของคุณยายไม่ยอมไปผุดไปเกิด แต่ยังคงวนเวียนอยู่ในบ้าน จนกระทั่งลูกหลานไม่กล้าอยู่ ต่างแยกย้ายไปอยู่ที่อื่นหมด ปล่อยบ้านทิ้งร้างชำรุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลา และที่บ้านหลังนี้เล่าลือกันว่าผีดุนัก คนอยู่ระแวกใกล้เคียงเคยเห็นผีคุณยายมายืนชี้นิ้วอยู่ที่หน้าบ้านเมื่อมีเด็กๆ วิ่งเล่นอยู่ในบริเวณหน้าบ้าน เคยมีคนใจกล้าเข้าไปในบ้าน ได้ยินเสียงผู้หญิงแก่ๆขู่ตะคอก จนต้องเผ่นออกมาแทบไม่ทัน. 5. รังสิต คลอง 13 จากถนนใหญ่เข้าไปประมาณ 2 กิโลเมตร มีบ้านพักถูกไฟไหม้เกือบหมดทั้งหลัง แต่ยังเหลือซากบ้านอยู่ส่วนหนึ่ง ข้อมูลบางกระแสเล่าว่า มีผู้หญิงตายในไฟ บ้านหลังนี้อยู่ในสวนมะขามหวาน แต่ถูกทิ้งให้รกร้าง คนในระแวกใกล้เคียงต่างยืนยันกันว่าตอนกลางคืน จะได้ยินเสียงผู้หญิงกรีดร้องโหยหวน มาจากซากบ้านบ่อยๆ พร้อมกันนั้นเคยมีคนเห็นผีผู้หญิงในบริเวณซากบ้านด้วย. 6. ในซอยมหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ถ.พัฒนาการ เป็นโรงงานร้าง เมื่อก่อนนี้เป็นโรงงานทำปากกา และเป็นโรงกลึงขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ในพื้นที่ 80 ไร่ เหตุที่กลายเป็นโรงงานร้าง ชำรุดทรุดโทรม มีวัชพืชขึ้นปกคลุมรกครึ้มเช่นทุกวันนี้ ว่ากันว่าเจ้าที่เจ้าทางแรง ระหว่างที่ดำเนินงานอยู่ มีคนเสียชีวิตจากอุบัติเหตุหลายคน ผู้ลงทุนขาดทุนย่อยยับจนต้องเลิกกิจการ หากเดินเข้าไปในอาณาเขตโรงงานร้าง จะสัมผัสบรรยากาศยะเยือกผิดปกติ และเล่าลือกันว่าหากไปเคาะแท้งก์น้ำซึ่งตั้งอยู่ 3 ใบ 3 ครั้ง จะปรากฏเจ้าที่เจ้าทางออกมาให้เห็นทันที. 7. วัดปราสาท จ.นนทบุรี เป็นวัดเก่าแก่โบราณ สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนกลาง เคยขุดพบกำแพงเมืองรอบอุโบสถอายุ 300 ปี ด้านหลังอุโบสถ มีคุ้มเก่าแก่ชำรุดทรุดโทรมว่ากันว่าเจ้าของสถานที่คือ พระนางอุษาวดีเทวี ชาวบ้านระแวกนั้นเรียกว่า "แม่" และ" เจ้าแม่ " เวลากลางคืน หากไปที่บริเวณคุ้มจะมีบรรยากาศวังเวงน่ากลัวมาก ผู้ใดไปแสดงกิริยาวาจาจ้วงจาบหยาบคาย ไม่เคารพผู้เป็นเจ้าของสถานที่ มักจะพบกับเหตุการณ์แปลกๆน่าขนหัวลุก. 8. โรงงานร้างอยู่ในอุตสาหกรรมบางปู (ฝั่งเดียวกับเมืองโบราณ) สถานที่อยู่สุดซอย 2 เมื่อก่อนนี้เป็นโรงงานทำรองเท้า ขณะที่กิจการกำลังดำเนินงานไปด้วยดี ได้เกิดอุบัติเหตุร้างแรง คือเครื่องปั้มลมเกิดระเบิดคนงานหลายคนเสียชีวิตสยอง นับตั้งแต่นั้นคนงานที่ทำงานอยู่ ถูกผีหลอกวิญญาณหลอน จนต้องทะยอยลาออกไปเรื่อยๆจนหมด กิจการประสบความวินาศ เจ้าของโรงงาน ยิงตัวตายในห้องทำงานชั้นบนของโรงงาน และกลายเป็นสถานที่รกร้างเรื่อยมา เล่าลือกันว่าผีดุมาก ปัจจุบันนี้ยังมีเศษรองเท้ากระจายเกลื่อนและปั้มลมมรณะก็ยังอยู่. 9. ในซอยวัชรพล เป็นบ้านทรงยุโรปหลังใหญ่ ซึ่งยังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ ถูกทิ้งร้างค้างคาอยู่ในสภาพเดิม เวลากลางคืนดูน่ากลัวชวนขนลุกยิ่ง และว่ากันว่ามีคนพบเห็นวิญญาณของชายหญิงและเด็ก ปรากฏวูบวาบบ่อยๆ สาเหตุที่บ้านหรูหลังใหญ่ กลายเป็นบ้านร้าง เนื่องจากเจ้าของบ้านหลังนี้ พาครอบครัวขับรถไปเที่ยวต่างจังหวัด และประสบอุบัติเหตุ เสียชีวิตหมดทุกคน. 10. ในซอยวัชรพลเช่นกัน เป็นหมู่บ้านร้างตั้งอยู่บนเนื้อที่กว่า 100 ไร่ ชื่อหมู่บ้านปิยพร คนเก่าคนแก่ในพื้นที่เล่าว่า ที่ดินส่วนนี้เคยเป็นป่าช้ามาก่อน เจ้าของโครงการ ไม่ได้ทำพิธีบอกกล่าวขออนุญาตเจ้าที่เจ้าทาง ดังนั้นพอเริ่มงานก่อสร้าง จึงพบกับอุปสรรคนานาประการ ต่อมามีคนงานเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุหลายคน ในเขตหมู่บ้านมีบึงใหญ่อยู่แห่งหนึ่ง ก็มีเด็กตกไปตาย 2-3 คน ประกอบกับบ้านในโครงการ ไม่มีผู้สนใจอย่างที่ประเมินเอาไว้ จึงต้องยุติโครงการ กลายเป็นหมู่บ้านร้างกลางกรุง พร้อมกันนั้นก็มีเสียงเล่าลือว่า ผู้ที่เข้าไปในเขตหมู่บ้านยามวิกาล มักจะพบวิญญาณแสดงตัวหลอกหลอน เล่นเอาขวัญหนีดีฝ่อ ไม่บังอาจกล้ำกลายเข้าไปอีก

วิญญาณ ผีเด็ก ในห้องน้ำโรงแรม

ลูกน้องเรา สมมติชื่อว่า บี (ก็ชื่อเล่นจริงๆนั่นแหละ) เล่าให้ฟังเมื่อสองปีที่แล้วว่า พี่ๆ บีเจอผีล่ะ เราก็ เจอที่ไหนเหรอ .. ที่โรงแรม....(หรูหรา) บีไปฟังเพลงกับเพื่อนสองสามคน แล้วบีก็เข้าห้องน้ำ บีใส่รองเท้าไม่มีส้น (เธอเป็นคนสวยมากๆ สูงด้วย) เดินไปห้องน้ำ ก็ได้ยินเสียงก๊อกๆ เหมือนส้นร้องเท้า ยังสงสัยเลยว่า ทำไมเสียงรองเท้าเราดัง ก็ไม่ได้สนใจ พอเข้าห้องน้ำ จะกั้นเป็นห้องๆ กำลังทำธุระ ได้ยินเสียงเด็กหัวเราะ ก็นึกว่า เด็กเข้าห้องน้ำ แต่เด็กหลายคนเลย หัวเราะกันคิกคัก บีก็ว่า แต่เสียงมันแปลก เหมือนกำลังปีนข้างฝาห้องน้ำ บีก็เสร็จธุระ พอเปิดประตู ก็ว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่ นึกว่า เด็กๆ ออกไปแล้วแต่ทำไมออกไปเร็วจัง เสียงยังโครมครามแหมบๆ แต่ที่พื้นมีรอยน้ำ ประมาณเท้าเด็ก เป็นหย่อมๆ ก็เลยนึกว่า เด็กจริงๆ ก็เดินออกมาเข้ากลุ่มกับเพื่อน แต่ความรู้สึกเหมือนมีคนตามมาด้วย มันอยู่ในใจว่า ใครตามเรามาหว่า .... จนคืน นั้น นอนหลับ ฝันเห็นเด็ก สามคน ปีนเล่นอยู่บนตัว อายุประมาณ 3-4 ขวบ ทั้งเด็กหญิง ชาย ซนมาก ปีนเล่นแถมตัวเปียกด้วย บีก็นึกว่า ฝันอยู่ ก็เพียงแต่ไล่ว่า ไป..ไปเล่นที่อื่น ความง่วงก็ทำท่าจะหลับ แต่..เห้ยยย....ทำไมตัวเปียก ก็ตื่นเลย แต่ความรู้สึกยังกึ่งฝัน บีก็ไล่ พวกเด็กผีก็ไม่ยอมไป ปีนป่ายก่ายกอดบีไม่ปล่อย บีก็ว่า จะไปดีๆมั๊ย เด็กว่า ไม่ไป หนูหนาว ขอกอดหน่อย บีว่า ไม่เอา แล้วทำไมตัวเปียก เด็กว่า หนูตกสระน้ำโรงแรมตาย บีว่า ไปเลย อย่ามาหลอก เด็กผีทำท่าดื้อ ไม่ไป บีคิดถึงคำพูดพี่ (คือตัวเรา) ว่า ถ้าผีงี่เง่ามากๆ บอกจะแช่งนะ รับรองมันไปแน่ บีเลยว่า ไม่ไปจะแช่งแล้ว จะไปหรือไม่ไป พรุ่งนี้ทำบุญไปให้ ผีเด็กได้ยินว่าจะแช่ง รีบวิ่งหนีไปเลย บีว่า ตัวบีเปียกน้ำไปหมด ถ้าฝันแล้วจะเปียกน้ำได้ไง นอนห้องแอร์นะ แล้วก็คงจะได้ไปทำสังฆทานให้แล้วมั๊ง เพราะคนนี้ชอบทำบุญ แต่กลัวผี จะเจอะเจอผีบ่อยมากๆเลย เคยโดนผีข่มขืนด้วย

วิญญาณที่ เช็นทรัลเวิลด์ เฮี้ยน

นนี้ได้เวลาดีเข้า สำนักงานใหญ่ที่ The Office CTW ชั้น 24 สักที หลังจาก ที่โดนคนเสื้อแดงยึดแยกราชประสงค์ไปนานร่วมสองเดือน และก็มีเหตุการน่าเศร้าสลดใจมีการเผาห้างมีคนเสียชีวิตไปหลายคน จริงแล้ว..น้อง ๆ ที่ สนง.ใหญ่ ได้ย้ายเข้าไปตั้งแต่วันจันทร์ที่ผ่านมา ก็ไม่มีใครโทรมาบอกหรือเล่าให้ฟังว่า เจอกับอะไรบ้าง ข้าพเจ้าเอง ต้องเข้าประชุมบอร์ด ทุกๆ วันจันทร์ช่วง 10-11 โมงอยู่แล้ว วันนี้ได้ขับรถเข้าไปประชุมตามปกติ ในขณะที่กำลังจะเลี้ยวเข้าทางเข้า ประจำคือทางเข้า 1 ด้านฝั่งถนนพระราม 1 หน้ากรม ตร. วันนี้ได้มีการ ปรับเปลี่ยนทางเข้าให้มาเข้าทางเข้าถนนพระราม 1 แต่เป็นเส้นที่ติดกับ วัดปทุมวนาราม ขับลงที่จอดรถ B1 ซึ่งปกติก็หาที่จอดรถชั้นนี้ยากอยู่ แล้วในโซนออฟฟิศนี้ วนลงไปชั้น B2 มองไปขวามือ รถจอดกันเต็ม เลยขับไปอีกนิดหนึ่งเป็นทางแยกและมี รปภ. ยืนอยู่หลายคน จึงได้ กดกระจกรถลงไป ตั้งใจจะถามว่า... สามารถจอดตรงไหนได้อีก ไม่อยากลงไปจอด B3 บรรยากาศ เงียบวังเวงมาก ในขณะที่กดกระจกลง มีกลิ่นเหม็นคล้ายกลิ่นคนตาย โชยเข้าจมูก อันนี้หลายคนคงคิดว่า ข้าพเจ้าอุปทานไป ไม่ใช่ค่ะ เป็น กลิ่นเดียวกับที่ข้าพเจ้าเคยได้กลิ่นตอนคุณพ่อเสียไปเมื่อปลายปีที่แล้ว ....ง่ะ..ชัด ๆ เลย อาการออกทาง สีหน้าชัด ๆ จะอาเจียน หน้าเสียซีด รปภ. ถามว่า..มีอะไรให้ช่วยครับ ? ข้าพเจ้าบอกว่า ไม่เป็นไร แล้วรีบปิดกระจกขึ้น ขับรถวนซ้ายหาที่ จอดรถได้ไม่ไกลนัก ลงรถแล้วยังได้กลิ่นเหม็นเน่าติดจมูกขึ้นไป จนถึงออฟฟิศ พี่เจี๊ยบเห็นหน้าตาไม่ค่อยดี แกเลยเอายาดมมาให้ ความลับเลยแตก....ทุกคนในออฟฟิศรู้หมดว่า..ข้าพเจ้ากลัวผี...!!! เล่าให้ทกคนฟัง มีน้องแป๋ม ก็เข้ามาผสมโรงด้วยว่า ที่ B3 มีคนลือว่า ชั้นจอดรถ B3 มีคนนอนตายเพราะสำลักควันอยู่ไม่น้อย นั่นยิ่ง ทำให้ต่อมความกลัวของข้าพเจ้ายิ่งทำงานหนักมากขึ้น หลังจากที่ประชุมเสร็จประมาณ บ่ายสามกว่า ๆ น่าจะได้เดินลงมาที่ ชั้น B2 ที่จอดรถไว้ เดินมาถึงที่รถเงียบม๊าก....... ไม่มีใครเลย...... วังเวง วิเหวงโหวง มาก ๆ กำลังจะเปิดประตูรถ จมูกตัวดีได้กลิ่นเหม็นแบบ เดิมโชยมาอีกแล้ว...!!!ไม่พอ หูเจ้ากรรมได้ยินเสียง...หวีดโหยหวลดังมา ตอนแรกนึกว่าเสียงลม ที่ไหนได้ นี่มันชั้นใต้ดินนี่หว่า...!!!! จะมีลมจากไหน พัดมาล่ะ.....แป๋วววววววววว......ความตาขาวในตัวแสดงออกมาชัดเจน รีบปิดประตูรถ ล๊อคประตูทันที นั่งทำใจแปปหนึ่ง ก่อนออกจากที่จอดรถได้ ถ่ายรูปบรรยากาศมาให้ดู...ว่า CTW ที่เคยมีคนพลุกพล่านหนาตา ตอนนี้ เหลือแต่ความเงียบเหงา และวังเวงน่ากลัวให้เห็น.....

ความเล้นลับของคาถาอิติปิโสถอยหลัง

บทสวดนี้ไม่ค่อยจะคุ้นหูคนทั่วไปมากนัก โดยทั่วไปจะท่องบทสวด อิติปิโส ธรรมดาทั่วไป ซึ่งก่อนนอนหากท่านสวดมนต์อิติปิโสนี้ทุกวัน เขาว่ากันว่า นอนแล้วจะหลับฝันดี และได้รับความคุ้มครองจากทวยเทพ ซึ่งหากเราไปต่างจังหวัดหรือไปในที่ที่เรา ไม่คุ้นที่และต้องพักข้างแรม ควรมีติดตัวเอาไว้ อย่างน้อยๆก็ทำให้เราสบายใจในยามหลับนอน.. ครับ บท อิติปิโส ถอยหลัง เมื่อสมัยพุทธกาล มีเหล่าพระสงฆ์อยู่กลุ่มหนึ่งได้ออกธุดงค์ไปในป่าเขาแห่งหนึ่งซึ่งเป็นป่าที่ว่ากันว่า ไม่มีนักบุญท่านใดอยู่ได้นาน เพราะมักจะมีเหล่าอสูรกายมาหลอกหลอน ให้ตบะพังจนสติแตกอยู่ร่ำไป พระสงฆ์กลุ่มนี้ได้ปักกรด และจำศีลอยู่ที่นั่น ซึ่งมีกันทั้งหมด 8 องค์ ตกกกลางคืน เหล่าอสูรกายก็ออกฤทธิ์ ทั้งหัวเราะทั่วหุบเขา ทั้งแปลงเป็นผี ควักไส้พุง ตาถลน ทั้งหมดกลัวสุดขีดแต่ได้ตั้งสติและสวดมนต์ โดยเฉพาะอิติปิโส แต่พอสวด อสูรกายกลับกลายร่างเป็นยักษ์โล้น(ร่างแท้ๆ) ปัดกลดกระเด็นไปคนละทิศละทาง ทั้งหมดทุกท่านโกย..โกยเถอะโยม..ม และนำเรื่องนี้ไปกราบทูลพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า ได้ให้บทสวด อิติปิโส แต่ให้สวดถอยกลับ เพื่อไปปลดปล่อยยักษ์ตนั้นที่หวงที่ เหล่าพระสงฆ์เหล่านั้น ก็กลับไปที่เดิม ตกกลางคืน มาอีกหนักกว่าครั้งที่แล้ว ทั้งพายุ***ฝนทั้งฟ้าผ่า และมันกำลังจะกระทืบไปที่เหล่าพระสงฆ์กลุ่มนั้น ทั้งหมดห้อมล้อมและท่อง อิติปิโส ถอยหลัง ยักษ์ตนนั้น ปวดหัวทรมานอย่างแรง จนต้องอ้อนวอนให้พระสงฆ์กลุ่มนั้นหยุดท่องคาถานี้ หัวหน้าคณะได้ให้ยักษ์สาบานด้วยวาจาสัตย์ว่าต้องไม่ทำร้ายใครอีก และต้องจำศีลเพื่อให้หลุดพ้นจากวัฏสงสารที่เป็นอยู่นี้ ยักษ์จึงตกลง..และในที่สุดก็มาเป็นบทคาถาบทหนึ่งที่ไม่ใช่แค่คุ้มครองผู้สวดแล้ว ยังป้องกันภัยอันตรายทั้งหลาย ยามจำเป็นต้องพักในที่ที่เราไม่คุ้นเคย... คาถาบทนี้มี56ตัว ให้ภาวนา3 หรือ 7คาบ ก่อนออกเดินทางไปสารทิศใด ๆ จะแคล้วคลาดปราศจากทุกภัยพิบัติทั้งปวง หากภาวนาได้ครบ108คาบ ติดต่อกัน จะมีตัวเบา เดินตัวปลิว เสกหรือสะเดาะเคราะห์ สะเดาะกุญแจ หรือโซ่ตรวนของจองจำทั้งปวงได้สิ้น ติ วา คะ ภะ โธ พุท นัง สา นุส มะ วะ เท ถา สัต ถิ ระ สา มะ ทัม สะ ริ ปุ โร ตะ นุต อะ ทู วิ กะ โล โต คะ สุ โน ปัน สัม ณะ ระ จะ ชา วิช โธ พุท สัม มา สัม หัง ระ อะ วา คะ ภะ โส ปิ ติ อิ ฯ

บริษัทสยอง

ปวัตต์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากสี่พระยา บริษัทประกันภัยที่ผมทำงาน อยู่แถวสี่พระยานี่เองครับ ความเจริญไม่ต้องพูดถึงก็ได้ เพราะเป็นย่านธุรกิจการค้าที่ใหญ่เป็นอันต้นๆ ของกรุงเทพฯ มาหลายสิบปีแล้ว ตอนเที่ยงๆ พนักงานบริษัทและห้างร้านกรูเกรียวกันออกไปหามื้อเที่ยงกิน มองจากตึกสูงๆ เห็นแต่หัวดำๆ เหมือนมดเหมือนปลวกไม่มีผิด เฉพาะ บริษัทผมแห่งเดียวก็ปาเข้าไปตั้งเกือบ 100 คน! เมื่อราว 2-3 ปีก่อน เกิดเรื่องสยองติดๆ กัน คือพนักงานสาวกินยาตายในห้องน้ำ สาเหตุจากปัญหาท้องไม่มีพ่อ กับอกหักกระโดดตึกที่หนังสือพิมพ์เขาเรียกว่า "โหม่งโลก" ฆ่าตัวตายนั่นแหละครับ ตึกสูงสิบกว่าชั้นจะไปมีอะไรเหลือล่ะ? "พี่แอ๋ว" ผู้ช่วยฝ่ายการเงินไปเข้าห้องน้ำ เกิดอุบัติเหตุลื่นล้มหมดสติ กว่าจะมีคนไปพบและนำส่งโรงพยาบาล พี่แอ๋วก็กลายเป็นเจ้าหญิงนิทราอยู่เกือบหนึ่งเดือนก่อนจะสิ้นชีวิต เพิ่งจะเผาศพเธอไปหยกๆ "น้องหมวย" สาวสวยประจำแผนกบริการลูกค้า เพิ่งจะออกจากห้องน้ำมาหยกๆ กลับมานั่งโต๊ะเดี๋ยวเดียวก็ทะลึ่งพรวดขึ้นสุดตัว ก่อนจะล้มฮวบลงบนพื้น มือหนึ่งตะกายเก้าอี้ ที่ลูกล้อมันลื่นหนีไปเรื่อยๆ พอเพื่อนๆ วิ่งมาดูก็แตกตื่นร้องวี้ดว้ายไปตามๆ กัน น้องหมวยเอียงหน้าซบกับท่อนแขน ปากอ้า นัยน์ตาลืมค้าง...เบิกโพลงเหมือนมองเห็นภาพที่สยดสยองสุดขีดก่อนจะสิ้นใจ! ชั่วเวลาเดือนเศษๆ มีทั้งฆ่าตัวตาย 2 ราย กับตายด้วยอุบัติเหตุ รวมทั้งหัวใจวายอย่างละ 1 ราย...ปาเข้าไปตั้ง 4 ศพ จะไม่ให้คนขวัญอ่อนกลัวผีได้ยังไง? พนักงานส่วนมากมักหน้าตาไม่ค่อยเสบยนัก ดูซีดๆ เซียวๆ ยังไงชอบกล มักจะเหลียวหน้าเหลียวหลังด้วยอาการหวาดระแวงเกือบตลอดเวลา เรียกว่าแทบจะไม่มีกะจิตกะใจทำงานก็คงจะไม่ผิดนัก มีเสียงซุบ ซิบว่าเจ้าที่แรงบ้าง ผี ดุบ้าง เมื่อราว 3 ปีกว่าๆ มาแล้วเคยมีคนงานเช็ดกระจกพลัดหล่นลงไปคอหักตาย เชื่อว่าวิญญาณที่เจ็บปวดคงจะวนเวียนอยู่บริเวณนั้น ไม่ยอมไปผุดไปเกิด กลายเป็นวิญญาณดุร้าย เฮี้ยนจัด ตามรังควานคนชะตาขาดเพื่อเอาไปอยู่เมืองผี ติดๆ กันถึง 4 คน จนอกสั่นขวัญหายกันไปทั้งบริษัท พอจะซาไปหน่อย อ้าว? น้าติ๋ม-แม่บ้านประจำชั้นเราเกิดเป็นลมตายในห้องพักขึ้นมาดื้อๆ ห้องที่ว่าจะเรียกกันว่า "ห้องกาแฟ" คือมีทั้งตู้เย็น กาน้ำร้อน ชั้นวางขวดเครื่องดื่มต่างๆ เช่น น้ำชา กาแฟ โกโก้ โอวัลติน น้ำตาลและคอฟฟี่เมต สำหรับบริการพนักงานอาวุโสกับแขกเหรื่อที่มาติดต่อธุรกิจแทบทั้งวัน มีโต๊ะอาหารเล็กๆ กับเตียงเตี้ยๆ สำหรับนั่งพักผ่อน แต่ไม่ถึงกับเอนหลังหรอกครับ เพราะมีแขกมากหน้าหลายตาจนน้าติ๋ม กับผู้ช่วยชื่อพี่แป้งไม่ค่อยมีเวลาหยุดหย่อนเท่าไรนัก วันเกิดเหตุ มีลูกค้ามาติดต่อเรื่องเคลมประกันตอนใกล้งานเลิกพอดี พี่แป้งเล่าว่าน้าติ๋มชงกาแฟสองที่ วางซองน้ำตาลกับคอฟฟี่เมตไว้ที่จานรองเรียบร้อย แล้วส่งให้เธอเอาไปบริการที่ห้องลุงอรรถ-หัวหน้าแผนก แต่พอกลับมาก็เห็นน้าติ๋มนอนหลับตา เอียงหน้านิดๆ ปากอ้าเผยอเหมือนคนนอนหลับ ทั้งๆ ที่เพิ่งจะแยกมาหยกๆ นี่เอง น้า ติ๋มตายแล้ว! พี่แป้งวิ่งออกจากห้องกาแฟมาร้องไห้โฮจนพวกเราลุกพรวด ผมวิ่งไปดูก็เห็นน้าติ๋มสิ้นลมไปแล้วจริงๆ พวกผู้หญิงที่ตามหลังมาทำท่าเหมือนจะเป็นลมเป็นแล้งต้องไล่กลับไปที่โต๊ะหมด ทุกคน บ้างก็ว่าน้าติ๋มเป็นลมตาย บ้างก็ว่าโรคหัวใจกำเริบ และบ้างก็ว่าโดนผีหลอก!! พี่แป้งไม่กล้าทำงานต่อ จะลาออกท่าเดียว หัวหน้าต้องเรียกน้าแหม่มจากชั้นบนลงมาช่วยงานและอยู่เป็นเพื่อน พี่แป้งยังไม่วายขวัญหนีดีฝ่อ ต้องตามน้าแหม่มแจ...ขนาดจะเข้าห้องน้ำพี่แป้งยังต้องขอให้น้าแหม่มอยู่หน้า ห้องเลยครับ เวลาผ่านไปเกือบเดือน พวกเรากำลังจะลืมเรื่องนี้อยู่แล้ว ก็พอดีมีลูกค้าเก่ามาหาลุงอรรถ ดูเหมือนจะมาเยี่ยมเยียนธรรมดาไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องงาน เลขาฯ หน้าห้องก็บอกไปทางน้าแหม่ม พี่แป้งที่อยู่ใกล้ๆ ก็กุลีกุจอหยิบน้ำตาลกับคอฟฟี่เมตมาใส่จานรองเตรียมพร้อม น้าแหม่มหันมายื่นถ้วยกาแฟให้...แต่ใบหน้านั้นกลับกลายเป็นใบหน้าของน้าติ๋มที่ตายไปแล้วชัดๆ โลกของพี่แป้งแตกกระจายในพริบตานั่นเอง เสียงร้องกรี๊ดๆ เหมือนเกิดไฟไหม้ พวกเราเห็นพี่แป้งร้องไห้โฮ นัยน์ตาเหลือกลาน พูดไม่เป็นภาษานอกจากชี้ไม้ชี้มือไปข้างหลัง ได้ยินแต่ว่า...น้าติ๋ม! ผีน้าติ๋ม! โอย... พี่แป้งลาออกไปแล้ว ไม่ว่าใครจะอ้อนวอนให้อยู่ต่อก็ไม่ฟังเสียง ยืนยันแต่ว่า...ตกงานยังดีกว่าโดนผีหลอกจนช็อกตาย!

เสียงร้องของนกแสกแห่งความตาย

นกแสก เป็นนกแทนความตายมีคนเล่าว่าถ้าบ้านไหนป่วยแล้วนกแสกมาร้องจะอยู่ได้ไม่เกิน 3 วัน 7 วันอะนะครับส่วนตัวผมนั้นก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น"อา"ของผมก็คือน้องพ่ออะนะครับเค้าป่วยเป็นโรคอะไรผมก็ไม่รู้นะครับเพราะตอนนั้นผมยังเด็กก็เลยไม่ได้สนใจเท่าไหร่ อา ผมนอนป่วยอยู่ที่บ้านมาประมาณ 2-3 เดือนซึ่งช่วงระยะเวลานี้ อา ผมก็ผอมลงมาก กินอะไรก็ไม่คอยได้ด้วยแล้ววันหนึ่งตอนประมาณสัก บ่าย 2 โมงป้าผมก็โทรมาบอกพ่อว่า อา กำลังจะเสียแล้วให้เรียบกลับมาที่บ้าน ผมเลยนึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนนี้มี "นก" มาร้องอยู่บนหลังคาบ้านตอนนั้นผมก็ยังเด็กก็เลยถามลุกผมว่าเสียงนกอะไรอะครับลุง ลุกผมก็บอกว่ามันคือเสียงของ"นกแสก"แต่แปลกนะครับบ้านผมไม่เคยมีนกแสกนะ แล้วลุงผมก็บอกว่า สงสัยว่าอาของเองจะอยู่กับเองได้ไม่นานแล้วละผมก็ถามว่าทำไมละครับ ก็มันเป็นลางสังหรณ์นะซิ ผมก็งงว่ามันคืออะไรก็แค่นกตัวหนึงมันมาร้องเองจะเป็นลางอะไรกันแล้ว อา ผมก็เสียชีวิตลง.......หลังจากวันนั้นผมก็คิดว่ามันน่าจะมีส่วนอยู่บางอะนะ ....แต่ผมมารู้วิธีที่จะทำการแก้เคล็ดได้ก็คือว่าเวลาได้ยินเสียงนกแสกมาร้องในบริเวณบ้านที่มีคนป่วย ให้ตะโกนออกไปว่า"บ้านนี้ไม่มีคนป่วยให้ไปที่อืนไร่มันไปให้ไกลเลยครับ เป็นความเชื่อส่วนบุคคลอะนะครับ ขอบคุณครับ......*-*