วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555

การแก้กรรม ในการทำแท้งที่ดีที่สุดคือ

ทำแท้ง….กรรมมีจริงนะ “ ทำท้องมันใช้อารมณ์กับความมันส์ แต่ทำแท้งต้องเสียเงิน เสียน้ำตาและเสียความรู้สึก แถมยังเจ็บตัวหรืออาจถึงตายได้” คิดให้ดีการจะทำอะไรลงไป กรรมมีจริงนะ เราไม่ได้สนับสนุนให้เกิดการทำแท้งขึ้น แต่เป็นการช่วยแบ่งเบากรรม และสร้างความสบายใจให้แก่คนที่พลาดพลั้งไปในชีวิต จะเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี เราไม่ได้หวังว่าจะส่งเสริมให้คนทำมากขึ้น แต่เป็นการแก้กรรมที่ถูกต้องที่ดีที่สุด เสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด และได้รับประโยชน์สูงสุด สำหรับการแก้กรรมนี้ ใช้ได้ทั้งคนที่ไปทำแท้ง คนที่สนับสนุนการทำแท้ง เช่น แฟนของผู้หญิงที่ท้อง พ่อแม่ของผู้หญิงที่ท้อง และก็เพื่อนที่พาไปทำหรือแนะนำสถานที่ไปทำแท้ง ทุกคนที่กล่าวมานี้ล้วนมีกรรมในการกระทำครั้งนี้ ทางเราขอย้ำว่า เราไม่ได้สนับสนุน ส่งเสริมให้เกิดการทำแท้ง แต่เราต้องการให้แก้กรรมโดยถูกวิธีที่สุด •การตักบาตรเป็นการสั่งสมบุญไปใช้ชาติหน้าไม่มีผลต่อการแก้กรรมในการทำแท้ง •การทำสังฆทานเป็นการใช้กรรมให้แก่เจ้ากรรมนายเวรไม่มีผลต่อการแก้กรรมทำแท้ง การแก้กรรมในการทำแท้งที่ดีที่สุดคือ 1.ต้องตั้งจิตอธิฐานว่า ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย จะไม่ทำแท้งอีก การแก้กรรมครั้งนี้ถึงจะได้ผล 2.ต้องบริจาคร่างกาย 3.ต้องบริจาคอวัยวะ 4.ต้องบริจาคเลือดอย่างน้อย 7 ครั้ง 5.ต้องบริจาคเงินเพื่อไถ่ชีวิตโค – กระบือ 6.ซื้อเครื่องมือแพทย์ บริจาคให้กับตามโรงพยาบาล •ถ้าให้ดีที่สุดควรทำทุกอย่าง แต่ถ้าไม่มีความสามารถให้ทำอย่างใดอย่างหนึ่ง รับรองว่าได้ผล 100 % แต่ต้องยึดมั่นข้อที่ 1 เป็นหลักคือ ไม่กลับไปทำแท้งอีก จึงจะได้ผล •เมื่อท่านทำวิธีแก้กรรมครั้งนี้แล้ว ถ้ากลับไปทำแท้งอีกผลกรรมจะกลับมาหาท่านหลายร้อยเท่า พันเท่า •และหลังจากที่ได้ทำบุญทุกอย่างแล้ว ท่านต้องกลับมาจุดธูป 16 ดอก เพื่อขออโหสิกรรมกับเจ้ากรรมนายเวรและเจ้าบุญนายคุณ และขอพรหลังจากอโหสิกรรมแล้ว ท่านจะสมหวังทุกประการ ขอให้ทุกคนมีความสุขและสมหวัง

หอพักสยอง

ผมเป้นคนมีเซ้นส์เกี่ยวกับเรื่องผี มากๆ ผมเจอบ่อย วันนี้ขอเล่าอีก1ประสบการณ์ เกี่ยวกับ หอพัก ที่ จังหวัดขอนแก่น.. เป็นหอสร้างใหม่ แต่บริเวณนั้น เป็นป่าช้าเก่า แล้วคนอยู่ละแวกนั้นมักเห็นคนเดินกันตอนกลางคืนจำนวนมาก แต่เรื่องนี้มันเกิดขึ้นในห้องของผมเอง พวกผมชอบกินเหล้าเสียงดัง แล้วเจ้าของหอ มักพูดว่า เดี๋ยวก็เจอผีเจ้าที่หลอก พวกผมก้ไม่กลัว มีวันนึงนั่งกินกันอยุ่ ตี 2-3 อยู่ๆประตูหลังห้องก็ปิดเอง พวกผมก็หันไปมอง แล้วพากันเงียบ แล้วก็ขำ บอกว่า ลมๆ ไม่มีอะไรหรอก สักพัก ประตูเปิดออก พวกผมก็ขำอีก แล้วพูดว่า เอาแล้วไงมึง แต่ก็ไม่สนใจ คิดว่าลม เพื่อนผมคนนึงเลย ลุกไป ปิดประตู ดึงเข้ามา แน่นแล้วล้อก แต่สักพัก ประตูเปิดออกเอง พวกผมเลยพูดว่า ถ้ามึงเป้นผีจิง ไหนลองปิดประตูซิ แล้วประตูก็ปิด แล้วก็พูดต่อว่า ถ้าใช่ผีจิงๆ กูขออีกที ประตุเปิดซื แล้วมันก็เปิด แค่นั้นแหละครับ วงแตก ที่หลังประตุไม่มีใครนะครับ ไม่ใช่การอำกันเล่นๆ ทีนี้ห้องนี้ก้ว่าง พากันไปนอนอีกห้องหมด แล้วผม ต้องมานอนคนเดียว เพราะเป้นห้องผม ผมก็ไม่สนใจ ยังไม่ทันได้นอน โดนผีอำครับ อำรุนแรง อำแบบรุ้สึกตัว ผมก็ร้องให้เพื่อนช่วย แต่เหมือนไม่มีใครได้ยิน ผมก็สวดมนต์ ทุกบท จนผมหลุดได้ แค่นั้นแหละครับ ผมพุ่งชนประตูออกมา ทั้งๆที่แค่ หมุนนิดเดวมันก้เปิดแล้ว แต่ด้วยความตกใจ แล้วรีบวิ่งไปหาเพื่อน ตะโกนบอกเพื่อนๆ กูโดนผีหลอกๆ แล้วเราก้ย้ายห้อง ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนมีคนมาอยุ่ใหม่ อยู่ได้ 7วัน ก็ออกอีก เค้าบอก โดนผีอำ ทุกวัน อยุ่ไม่ได้ แล้วคนแถวห้องนั้นก็โดนทีละคนๆ จนพากันออกจะหมด นี่คือส่วนของชั้นบนนะครับ ส่วนห้องแถวล่าง รุ่นพี่ผมคนนึง เข้าไปอาบน้ำครับ พออาบเสร็จเดินออกมา มีผีมุดใต้เตียง...ผีจริงๆนะครับ ไม่ใช่ ใครอำทั้งนั้น รุ่นพี่ผมกรี๊ดสนั่น แล้ววิ่งออกมายืนกลางหอ แล้วตะโกนว่า ช่วยด้วยๆ ทั้งตัวพี่แก ใส่ผ้าขนหนูผืนเดียว แกบอกว่าผีที่เห็น คือ คุณลุง ที่ อยุ่ตรงข้ามกับหอ ที่เพิ่งตายล่าสุด ไม่กี่วัน แล้วยามก็ลาออก ตาม เพราะอะไรเหรอครับ อันนี้ผมรุ้ตอนที่ผมได้เจอกับยาม ตอนแกย้ายไปอยุ่อีกหอ ผมก็ถาม ทำไมย้ายออก แกบอก ลุงคนที่ตาย ก่อนแกตาย มานั่งกินเหล้าด้วยกันทุกวัน พอลุงแกตาย มีคืนนึง แกนั่งเฝ้าหอคนเดียว แกเห็นวิญญาณ ลุง เดินผ่าน แกเลย ยกมือไหว้สวดมน แล้ว พอเช้ามาแกก็ไปขอลาออก หอนี้ สยองมากครับ เพราะมันเป็นป่าช้าเก่า ผีเยอะ ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่โดน แต่ โดนทั้งหอครับ ... ใครอยู่หอระวังตัวไว้ให้ดีนะครับ ดอกไม้ราคาไม่แพง รีบซื้อไปไหว้ซะ

ตำนานศุกร์ 13

ตำนานศุกร์ 13 เมื่อเอ่ยถึงวันศุกร์ 13 นั้นหลาย ๆ คนอาจจะนึกไปถึงวันแห่งอาถรรพ์ เพราะเคยมีภาพยนตร์เรื่องหนึ่งใช้ชื่อว่า ศุกร์ 13 ฝันหวาน แต่เป็นภาพยนตร์สยองขวัญ ในขณะที่อีกหลาย ๆ คนอาจจะยังไม่ทราบความเป็นมาว่า ทำไมวันศุกร์ 13 ถึงเป็นวันที่ไม่ดี ว่ากันว่าความเชื่อที่ว่าถ้าวันศุกร์เกิดไปตรงกับวันที่ 13 ของเดือนใดก็ตามแล้ว จะกลายเป็นวันแห่งความโชคร้ายนั้นเป็นความเชื่อของชาวตะวันตก โดยต้นตอแห่งความเชื่อนี้มาจาก อาหารมื้อสุดท้ายของพระเยซู (The Last Supper) โดยเชื่อกันว่าในอาหารมื้อนั้นมีผู้ร่วมรับประทานอาหารกับพระองค์ 13 คนก่อนที่พระองค์จะถูกนำตัวไปตรึงบนไม้กางเขนใน วันศุกร์ประเสริฐ (Good Friday) ในขณะที่มีอีกความเชื่อหนึ่งกล่าวว่าวันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม 1307 เป็นวันที่พระเจ้าฟิลิปที่ 4 แห่งฝรั่งเศส ทำการจับกุมตัวบรรดาอัศวินเทมพลาร์ชาวฝรั่งเศสจำนวนหลายร้อยคนไป ก่อนจะนำตัวไปทรมานและสังหาร เพื่อนำทรัพย์สินของพวกเขามาเป็นของฝรั่งเศส ทั้งนี้นักจิตวิทยาพบว่า ในบางคนจะมีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุหรือล้มป่วยในวันศุกร์ที่ 13 ซึ่งมีการให้เหตุผลเอาไว้ว่าเป็นเพราะบางคนรู้สึกวิตกจริตเป็นอย่างมากในวันศุกร์ที่ 13 โดยทางศูนย์จัดการความเครียดและสถาบันอาบำบัดการกลัวในเมืองแอชวิลล์ มลรัฐนอร์ทแคโรไลนา ประเมินว่าในแต่ละครั้งที่มีวันศุกร์ที่ 13 สหรัฐอเมริกาต้องสูญเสียทางเศรษฐกิจเป็นเงิน 800 - 900 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทีเดียว เพราะว่าประชาชนบางคนไม่กล้าเดินทางไปไหนและไม่กล้าแม้แต่จะไปทำงาน จนทำให้เกิดโรคกลัววันศุกร์ที่ 13 มีชื่อเรียกว่า Paraskavedekatriaphobia หรือ paraskevidekatriaphobia หรือfriggatriskaidekaphobia ซึ่งเป็นอาการหนึ่งของโรค triskaidekaphobia คือ โรคกลัวหมายเลข 13 และที่มาที่ทำให้วันศุกร์ 13 กลายเป็นวันโชคร้ายไปทั่วนั้นน่าจะมาจากภาพยนตร์สยองขวัญอย่าง ศุกร์ 13 ฝันหวาน หรือ "Friday the 13th" ซึ่งเรื่องเกี่ยวกับฆากรต่อเนื่องในสหรัฐอเมริกา ซึ่งตัวเอกของเรื่องมีเอกลักษณ์เด่นคือการสวมหน้ากากฮ็อกกี้ เพื่อปกปิดใบหน้า ก่อนทำการฆาตกรรมเหยื่อ สำหรับความเชื่อเรื่อง ศุกร์ 13 เป็นวันไม่ดีนั้นส่วนใหญ่จะเชื่อกันในหมู่ชาวตะวันตกเสียเป็นส่วนมาก ซึ่งเรื่องแบบนี้นั้นถือเป็นเรื่องของความเชื่อส่วนบุคคลค่ะ

ลิฟโรงพยาบาลหลอน

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เพื่อนผมเค้าไปเจอมาจะมาเล่าคับ เรื่อง มีอยู่ว่า คุณแม่ของเพื่อนผมเข้าโรงพยาบาลใกล้กับโรงพยาบาลศ....(ไม่ใช่ ศ...นะคับ) ปรากฏว่าคุณแม่ต้องอยู่โรงพยาบาลหลายวัน เพื่อนผมต้องสลับกับคุณพ่อมาเฝ้า วันนั้นเป็นวันที่เพื่อยผมมาเฝ้าพอดี ตอนกลาง คืนหลังจากที่กลับไปอาบน้ำที่บ้านมาแล้ว เพื่อนผมก็กลับมาเฝ้าคุณแม่ที่ห้องชั้น 8 พอตกดึกซักประมาณหลังเที่ยงคืนไปแล้วเพื่อนผมเกิดหิวขึ้นมา จึงเดินลงไป 7-11 ด้านล่าง เมื่อซื้อของเสร็จแล้วจึงขึ้นลิฟท์ไปที่ห้อง ระหว่างที่อยู่บนลิฟท์เพื่อนผมก็มองที่เลขชั้นที่ลิฟท์กำลังขึ้นพอขึ้นถึง ชั้น 5 ลิฟท์ก็หยุดตัวเลขก็กระพริบ หมายความว่ามีคนกดจะขึ้น พอลิฟท์เปิด เพื่อนผมก็ตกใจมาก เพราะว่าชั้นที่ 5 นี้ปรกติจะเป็นชั้นที่เพื่อนผมเค้าจะมาดูหนังบ่อยมาก เพราะว่าชั้นนี้มี UBC จอใหญ่ติดใว้บริการ 24 ชม.เพราะ ฉะนั้นไม่มีทางที่จะไม่มีใครอยู่เพราะว่านางพยาบาลที่ว่างอยู่ก็จะชอบมาดู กัน แต่ภาพที่เพื่อนผมเห็นนั้นมันเป็นชั้นที่มืดมาก มองออกไปนอกลิฟท์แทบไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความมืด ไม่มีแม้ไฟสักดวง เพื่อนผมเริ่มกลัวจึงรีบกดปุ่มปิดประตู แต่ประตูลิฟท์ปิดได้แค่นิดเดียวมันก็เปิดออก แล้วจึงปิดเข้ามาใหม่อีกที ลิฟท์ ก็ขึ้นตามปรกติสักพักเพื่อนผมก็ได้กลิ่นเหมือนกลิ่นเหม็นเน่าอย่างรุนแรง เกือบจะอาเจียนออกมา พอถึงชั้น 8 เพื่อนผมก็รีบเดินออกมา ตรงข้ามลิฟท์ที่เพื่อนผมเดินออกมานั้น มันจะเป็นระเบียงที่เอาใว้ให้นั่งพักผ่อนหย่อนใจ และจะมีประตู ที่เป็นกระจกใสกั้นใว้ เค้ามองเข้าไปในกระจก เห็นลิฟท์ที่กำลังจะปิดนั้น มีคนอยู่เกือบเต็มลิฟท์ และคนทั้งลิฟท์กำลังมองที่เค้าคนเดียว วินาทีนั้นเพื่อนผมแทบช็อค ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร จึงรีบเดินกลับห้องโดยไม่มองกระจกอีกเลย รุ่งเช้าเค้าไปถามพยาบาลทีอยู่ชั้นนั้น ก็ไม่มีใครรู้เลย เกี่ยวกับลิฟท์ตัวนั้น และชั้นที่มืดมิด...

วิญญาณที่ทาง 3 แพร่ง

ย้อนอดีตไปเมื่อปี พ.ศ. 2505 (ผู้ใหญ่เล่าให้ฟัง) ในสมัยนั้นการเดินทางไม่สะดวก จะไปไหนมาไหนต้องเดินทางด้วยเรือ หรือไม่ก็ต้องเดินด้วยเท้าเปล่าย่ำไปบนคันนา ไฟฟ้าก็ยังไม่มี บ้านทุกหลังคาเรือนต้องใช้ตะเกียงน้ำมัน และบ้านส่วนใหญ่จะมุงด้วยจาก นายหยด หรือที่ชาวบ้านเรียกแกว่า ลุงหยด แกทำงานอยู่ในกรุงเทพฯ คือ รับราชการครู นาน ๆ จะกลับมาเยี่ยมบ้านที่ หนองจอกครั้งหนึ่ง ส่วนมากแกจะออกจากกรุงเทพฯ ในวันศุกร์ หลังเลิกสอนแล้ว และจะมาขึ้นเรือโดยสาร ในสมัยนั้นเป็นเรือของบริษัท นายเลิศ คือ เรือขาว เรือออกจากท่าน้ำที่ประตูน้ำประมาณ ๖ โมงเย็น จะถึงที่ตลาดหนองจอกก็เวลาประมาณ ๕ ทุ่ม หลังจากนั้นก็ต้องเดินด้วยเท้า กว่าจะมาถึงบ้านก็เกือบๆ ตี ๒ ในขณะที่เดินทางตอนกลางคืน ท้องฟ้าจึงมืดสลัว อาศัยแสงดาวที่กระพริบอยู่บนท้องฟ้าให้แสงสว่าง น้ำค้างพรั่งพรมลงมาต้องใบหญ้าเพราะเป็นเวลาดึกสงัด สายลมชายทุ่งพัดผ่านเย็นสบาย อากาศสดชื่นไร้มลพิษ เจ้าแมลงกลางคืน (หิ่งห้อย) ลอยกระพริบวูบวาบไปตามสุมทุมพุ่มไม้ใบหนา มองดูเหมือนแสงไฟกระพริบ ตามสถานเริงรมย์ต่างๆ แต่ทุกอย่างที่เห็นนี้เกิดจากธรรมชาติ อันแสนจะบริสุทธิ์ ลุงหยดเดินลัดคันนามาเรื่อยๆ เพราะความเคยชินและมองไปทางเบื้องหน้าเห็นในเงามืดเป็น ทางสามแพร่งตาม เส้นทางรอบ ๆ บริเวณ มีต้นไม้ใหญ่คือ ต้นกระทุ่ม และ ต้นตาล ลุงหยดเดินใกล้ทางสามแพร่งเข้าไปทุกขณะ และจู่ ๆ สุนัขก็เริ่มเห่าหอนอย่างน่าประหลาด คล้ายกับว่ามันเห็นผี ทำให้ลุงหยดชะลอฝีเท้าที่ก้าวเดินให้ช้าลง เพราะเกิดความรู้สึกแปลกๆ ขนตามแขนและขาลุกซู่ซ่า ชาสันหลังวาบๆ ลุงหยดไม่เคยเชื่อเรื่องผีจึงพยายามเพ่งสายตาฝ่าความมืดของคืนแรมมองไปข้าง หน้า แต่ก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ จึงเดินต่อไป แต่ในใจนั้นคิดว้าวุ่นว่า ผีมีจริงหรือ ความคิดหวนไปถึงคำพูดของผู้ใหญ่ว่า "ผีหรือวิญญาณนั้นมีจริง" ถึงตอนนี้ความคิดของลุงหยดหยุดกึก เกิดความกลัวขึ้นมาเฉย ๆ ทั้ง ๆ ที่ตั้งแต่หนุ่มจนอายุเกือบจะห้าสิบ แกยังไม่เคยเห็นผี เสียงหมาหอนยังคงดังโหยหวนและเยือกเย็น มันวังเวงบาดใจในยามดึกสงัด ลุงหยดได้ยินเสียงฝีเท้าของตัวเองย่ำไปบนคันนาเพราะความเงียบมันเงียบเสียจน น่ากลัว ในขณะที่ลุงหยดมาถึงทางสามแพร่ง พลันได้ยินเสียงเด็กเล็ก ๆ ร้องไห้บ้าง หัวเราะบ้าง สลับกันไปทำให้ลุงหยดแปลกใจ ดึกดื่นขนาดนี้ทำไมพ่อแม่ถึงปล่อยให้เด็กออกมาเล่นซนแบบนี้ และเมื่อมาถึงลุงหยดก็ต้องหยุดเดิน เพราะเด็กๆ หลายคนแต่งตัวแปลกๆ บางคนนุ่งโจงกระเบน ไว้จุก บางคนเป็นทารกนอนแบเบาะส่งเสียงร้องจ้า ฟัง ๆ ดูแล้ว มันน่ากลัวมากกว่าเสียงร้องของเด็กธรรมดา และเด็กบางคนก็วิ่งแย่งอาหารกันกินเหมือนกับอดมานานแรมปี และที่น่าแปลกอีกอย่างก็คืออาหารที่เด็กๆ แย่งกันกินนั้นมันวางอยู่ข้างๆ ทาง และอาหารเหล่านั้นอยู่ในกระทงทั้งสิ้น นี่มันอะไรกัน ใครหนอทำพิเรนทร์ เอาขนมนมเนยคาวหวานมาใส่กระทงวางไว้แล้วปล่อยให้เด็ก เล็กๆ เหล่านี้แย่งกันกิน ดูแล้วน่าสงสารจริงๆ ลุงหยดส่ายหน้า แล้วความความคิดของแกก็มาสุดุดอยู่ที่คำว่า "เครื่องเซ่น" วิญญาณเด็กที่ทางสามแพร่ง ลุงหยดชักใจสั่น หรือว่าโดนผีที่ทางสามแพร่งหลอกเอา เสียง หมาเห่าหอนยังดังไม่หยุด ลุงหยดคิดในใจ ใช่แน่แล้วทุกอย่างที่เห็นนั้นต้องเป็น ผะ...ผี.. ผี ..แน่ ๆ เมื่อคิดได้ดังนั้นขาแข้งเริ่มสั่น คือ เกิดอาการก้าวขาไม่ออก เหงื่อเม็ดเล้ก ๆ ผุดขึ้นบนใบหน้า ลุงหยดแข็งใจ นึกปลอบใจตัวเอง ค่อยๆ ก้าวเดินต่อไปและพยายามไม่สนใจกลุ่มเด็กเหล่านั้นเสียงหัวเราะของเด็กๆ ดังขึ้นอย่างโหยหวนสลับกับเสียง ร้องไห้งอแง ลุงหยดก้าวเดินช้าๆ เพราะขาแกสั่น แต่แล้วให้ตายเถอะ! หัวใจของลุงหยดทบหลุดจากขั้ว เพราะเสียงเด็กวิ่งคึก ๆ "ลุง...ลุง หนูไปด้วย หนูหิว" เท่านั้นเองลุงหยดถึงกับก้าวขาไม่ออก หัวใจเสียวปลาบหล่นลงมาที่กองเท้า เสียงหัวเราะของเด็ก ๆ มันน่ากลัวและบาดความรู้สึกแทบคลั่ง แสง เงิน แสงทอง เริ่มจับขอบฟ้า เสียงไก่ขันดังเจื้อยแจ้ว ฝูงนกเล็ก ๆ ส่งเสียงร้องชวนกันออกหาอาหาร ส่งเสียงร้องชวนกันออกหาอาหาร แสงสว่างเริ่มจับของฟ้าต้องหยาดน้ำค้างบนใบหญ้าเป็นประกาย ภาพของเด็ก ๆ บนทางสามแพร่งค่อย ๆ เลือนหายไปช้า ๆ เหลือไว้ให้เห็นก็คือกระทงที่ตั้งเรียงอยู่ตรงทางสามแพร่งกับเศษอาหารที่หก เกลื่อนตามพื้นดิน ลุงหยดยกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อ มาถึงบ้านเอาตอนหกโมงเช้าพอดี แกเป็นไข้เสียหลายวัน ไปทำงานไม่ได้ และต่อมาแกก็ลาออกจากราชการกลับมาอยู่บ้าน เปลี่ยนอาชีพมาทำไร่ไถนาเพราะสมัยก่อนความเจริญยังก้าวมาไม่ถึง จึงมีเหตุการณ์แปลกๆ เกิดขึ้นเสมอๆ จนกระทั่งเวลานี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อม มีถนน มีไฟฟ้าใช้ มีรถสองแถวแล่นผ่านล ทางสามแพร่งยังคงอยู่ แต่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา แต่ ! ไม่มีใครไปสร้างที่อยู่อาศัย เพราะวิญญาณตรงที่นั้นดุร้ายมาก ปล่อยให้เป็นทางสัญจรของชาวบ้าน วันดี คืนดี ก็จะได้ยินเสียงแปลก ๆ อยู่เสมอ

10 สถานที่ผีดุ

"สถานที่แห่งความสยองขวัญ" พูดถึงเรื่องวิญญาณย่อมมีทั้งคนที่เชื่อว่า "มีจริง" และ "ไม่เชื่อว่ามีจริง" นอกจากคนสองกลุ่มนี้ยังมีอีกสองกลุ่มคือ "เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง" และ"ไม่เชื่ออย่าลบหลู่" แต่ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มีทัศนะ ต่อผีต่อวิญญาณในกลุ่มไหนก็ตาม หากขอให้ไปเดินเล่นคนเดียวในป่าช้าตอนเที่ยงคืน เชื่อได้เลยว่าไม่มีใครเล่นด้วยเด็ดขาด. บุคคลทั่วไปเชื่อว่า สถานที่ซึ่งควรจะเป็นที่ชุมนุมผีชมรมวิญญาณ คือป่าช้าทั้งหลายนั่นเอง ดังนั้นป่าช้าจึงได้รับการยกย่อง ให้เป็นที่สยองขวัญระดับสุดยอด และดูเหมือนไม่เคยตกอันดับทุกยุคทุกสมัย สถานที่สยองขวัญนอกจากป่าช้าแล้ว ก็ยังมีที่อื่นอีกกระจายไปทั่วทุกๆจังหวัด สำหรับสถานที่ใดได้รับการย่อง ให้เป็นอาณาบริเวณสยองขวัญชวนขนหัวลุก จะต้องมีมาตรฐานประการสำคัญนั่นคือ จะต้องมีผี หรือ วิญญาณปรากฏซ้ำซาก มีประวัติน่าหวาดเสียวระทึกใจ และต้องมีพยานรู้เห็นหลายครั้งหลายหนเป็นที่น่าเชื่อถือได้ และ 10 อันดับนั้นก็คือ 1. ในซอยรามคำแหง 32 ลึกเข้าไปในซอยรามคำแหง 32 ท่านจะพบบ้านทรงสเปนหลังหนึ่งรูปทรงสวยสง่าน่าอยู่ แต่บ้านนี้ไม่มีใครอยู่อาศัยนานกว่า 20 ปีแล้ว ปล่อยให้ทิ้งร้างเก่าทรุดโทรมอย่างน่าใจหาย ประวัติของบ้านมีว่าเจ้าของบ้านเป็นชาวต่างชาติ วันหนึ่งเจ้าของบ้านขับรถออกไปทำงานตามปกติ ที่บ้านมีสาวใช้อยู่เพียงคนเดียว คนร้ายไม่ทราบจำนวน ซึ่งคงมาแอบสังเกตการณ์นานพอสมควรได้ฉวยโอกาสเข้าปล้น และฆ่าสาวใช้ตายคาที่ นับตั้งแต่นั้นมักจะได้ยินเสียงผู้หญิง ร้องให้ช่วยดังโหยหวนน่าสยดสยอง และยังเห็นผู้หญิง (เข้าใจว่าเป็นสาวใช้ที่ถูกฆ่าตาย ) เดินวนเวียนวูบวาบอยู่ในบ้าน เจ้าของบ้านทนอยู่ไม่ไหวต้องย้ายไปอยู่ที่อื่น เล่ากันว่าหลังจากนั้น มีคนได้ยินเสียงผู้หญิงร้องให้ช่วย ดังมาจากบ้านร้างบ่อยๆ และมีคนเห็นผู้หญิงลึกลับยืนอยู่หน้าบ้านเป็นประจำเมื่อเข้าไปใกล้ก็หายไป. 2. วัดมหาบุศย์ พระโขนง ที่วัดมหาบุศย์ ยังมีศาลย่านาคตั้งอยู่ สืบเนื่องมาจากตำนานรักของแม่นาคพระโขนง ที่รู้กันแพร่หลายเล่ากันว่า เมื่อผีแม่นาคอาลวาดหลอกหลอน จนชาวบ้านหาปกติสุขมิได้ เจ้าประคุณสมเด็จโต (วัดระฆัง ) ได้มานำวิญญาณแม่นาคไป พร้อมกับกระดูก กระโหลกหน้าผาก แล้วอบรมสั่งสอนให้รักษาศีล ปฏิบัติธรรม นัยว่าแม่นาคเลื่อนภพเป็นเทพแล้ว หากยังมีผีวนเวียนที่วัดมหาบุศย์ คงมิใช่วิญญาณแม่นาคอย่างแน่นอน. 3. ในซอยสายหยุด อู่รถเมลล์เก่า ที่นี่เป็นสุสานรถเมลล์หรือรถโดยสารประจำทางที่ประสบอุบัติเหตุร้ายแรงจนใช้กา รไม่ได้ ซากรถเมลล์แต่ละคันมีประวัติคนตายโหงคารถ ในสภาพสยดสยองมาแล้ว และเป็นที่เล่าลือกันว่า อยู่ดีๆไฟในรถกลับเปิดสว่างขึ้นมาเอง หรือมีคนมายืนโบกรถหน้าอู่ แท๊กซี่จะเข้าไปจอดรับก็หายไปบางครั้งมีคนวิ่งตัดหน้า และหายไปดื้อๆ. 4. ในซอยรอดอนันต์ 1 ถ.สุขาภิบาล1 เป็นบ้านร้างทรงไทยอยู่ริมบึง ห่างไกลจากบ้านอื่นๆ ในระแวกนั้นบริเวณบ้านรกครึ้มด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยคุณยายเจ้าของบ้าน เสียชีวิตที่บ้านหลังนี้ และน่าเชื่อว่า วิญญาณของคุณยายไม่ยอมไปผุดไปเกิด แต่ยังคงวนเวียนอยู่ในบ้าน จนกระทั่งลูกหลานไม่กล้าอยู่ ต่างแยกย้ายไปอยู่ที่อื่นหมด ปล่อยบ้านทิ้งร้างชำรุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลา และที่บ้านหลังนี้เล่าลือกันว่าผีดุนัก คนอยู่ระแวกใกล้เคียงเคยเห็นผีคุณยายมายืนชี้นิ้วอยู่ที่หน้าบ้านเมื่อมีเด็กๆ วิ่งเล่นอยู่ในบริเวณหน้าบ้าน เคยมีคนใจกล้าเข้าไปในบ้าน ได้ยินเสียงผู้หญิงแก่ๆขู่ตะคอก จนต้องเผ่นออกมาแทบไม่ทัน. 5. รังสิต คลอง 13 จากถนนใหญ่เข้าไปประมาณ 2 กิโลเมตร มีบ้านพักถูกไฟไหม้เกือบหมดทั้งหลัง แต่ยังเหลือซากบ้านอยู่ส่วนหนึ่ง ข้อมูลบางกระแสเล่าว่า มีผู้หญิงตายในไฟ บ้านหลังนี้อยู่ในสวนมะขามหวาน แต่ถูกทิ้งให้รกร้าง คนในระแวกใกล้เคียงต่างยืนยันกันว่าตอนกลางคืน จะได้ยินเสียงผู้หญิงกรีดร้องโหยหวน มาจากซากบ้านบ่อยๆ พร้อมกันนั้นเคยมีคนเห็นผีผู้หญิงในบริเวณซากบ้านด้วย. 6. ในซอยมหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ถ.พัฒนาการ เป็นโรงงานร้าง เมื่อก่อนนี้เป็นโรงงานทำปากกา และเป็นโรงกลึงขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ในพื้นที่ 80 ไร่ เหตุที่กลายเป็นโรงงานร้าง ชำรุดทรุดโทรม มีวัชพืชขึ้นปกคลุมรกครึ้มเช่นทุกวันนี้ ว่ากันว่าเจ้าที่เจ้าทางแรง ระหว่างที่ดำเนินงานอยู่ มีคนเสียชีวิตจากอุบัติเหตุหลายคน ผู้ลงทุนขาดทุนย่อยยับจนต้องเลิกกิจการ หากเดินเข้าไปในอาณาเขตโรงงานร้าง จะสัมผัสบรรยากาศยะเยือกผิดปกติ และเล่าลือกันว่าหากไปเคาะแท้งก์น้ำซึ่งตั้งอยู่ 3 ใบ 3 ครั้ง จะปรากฏเจ้าที่เจ้าทางออกมาให้เห็นทันที. 7. วัดปราสาท จ.นนทบุรี เป็นวัดเก่าแก่โบราณ สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนกลาง เคยขุดพบกำแพงเมืองรอบอุโบสถอายุ 300 ปี ด้านหลังอุโบสถ มีคุ้มเก่าแก่ชำรุดทรุดโทรมว่ากันว่าเจ้าของสถานที่คือ พระนางอุษาวดีเทวี ชาวบ้านระแวกนั้นเรียกว่า "แม่" และ" เจ้าแม่ " เวลากลางคืน หากไปที่บริเวณคุ้มจะมีบรรยากาศวังเวงน่ากลัวมาก ผู้ใดไปแสดงกิริยาวาจาจ้วงจาบหยาบคาย ไม่เคารพผู้เป็นเจ้าของสถานที่ มักจะพบกับเหตุการณ์แปลกๆน่าขนหัวลุก. 8. โรงงานร้างอยู่ในอุตสาหกรรมบางปู (ฝั่งเดียวกับเมืองโบราณ) สถานที่อยู่สุดซอย 2 เมื่อก่อนนี้เป็นโรงงานทำรองเท้า ขณะที่กิจการกำลังดำเนินงานไปด้วยดี ได้เกิดอุบัติเหตุร้างแรง คือเครื่องปั้มลมเกิดระเบิดคนงานหลายคนเสียชีวิตสยอง นับตั้งแต่นั้นคนงานที่ทำงานอยู่ ถูกผีหลอกวิญญาณหลอน จนต้องทะยอยลาออกไปเรื่อยๆจนหมด กิจการประสบความวินาศ เจ้าของโรงงาน ยิงตัวตายในห้องทำงานชั้นบนของโรงงาน และกลายเป็นสถานที่รกร้างเรื่อยมา เล่าลือกันว่าผีดุมาก ปัจจุบันนี้ยังมีเศษรองเท้ากระจายเกลื่อนและปั้มลมมรณะก็ยังอยู่. 9. ในซอยวัชรพล เป็นบ้านทรงยุโรปหลังใหญ่ ซึ่งยังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ ถูกทิ้งร้างค้างคาอยู่ในสภาพเดิม เวลากลางคืนดูน่ากลัวชวนขนลุกยิ่ง และว่ากันว่ามีคนพบเห็นวิญญาณของชายหญิงและเด็ก ปรากฏวูบวาบบ่อยๆ สาเหตุที่บ้านหรูหลังใหญ่ กลายเป็นบ้านร้าง เนื่องจากเจ้าของบ้านหลังนี้ พาครอบครัวขับรถไปเที่ยวต่างจังหวัด และประสบอุบัติเหตุ เสียชีวิตหมดทุกคน. 10. ในซอยวัชรพลเช่นกัน เป็นหมู่บ้านร้างตั้งอยู่บนเนื้อที่กว่า 100 ไร่ ชื่อหมู่บ้านปิยพร คนเก่าคนแก่ในพื้นที่เล่าว่า ที่ดินส่วนนี้เคยเป็นป่าช้ามาก่อน เจ้าของโครงการ ไม่ได้ทำพิธีบอกกล่าวขออนุญาตเจ้าที่เจ้าทาง ดังนั้นพอเริ่มงานก่อสร้าง จึงพบกับอุปสรรคนานาประการ ต่อมามีคนงานเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุหลายคน ในเขตหมู่บ้านมีบึงใหญ่อยู่แห่งหนึ่ง ก็มีเด็กตกไปตาย 2-3 คน ประกอบกับบ้านในโครงการ ไม่มีผู้สนใจอย่างที่ประเมินเอาไว้ จึงต้องยุติโครงการ กลายเป็นหมู่บ้านร้างกลางกรุง พร้อมกันนั้นก็มีเสียงเล่าลือว่า ผู้ที่เข้าไปในเขตหมู่บ้านยามวิกาล มักจะพบวิญญาณแสดงตัวหลอกหลอน เล่นเอาขวัญหนีดีฝ่อ ไม่บังอาจกล้ำกลายเข้าไปอีก

วิญญาณ ผีเด็ก ในห้องน้ำโรงแรม

ลูกน้องเรา สมมติชื่อว่า บี (ก็ชื่อเล่นจริงๆนั่นแหละ) เล่าให้ฟังเมื่อสองปีที่แล้วว่า พี่ๆ บีเจอผีล่ะ เราก็ เจอที่ไหนเหรอ .. ที่โรงแรม....(หรูหรา) บีไปฟังเพลงกับเพื่อนสองสามคน แล้วบีก็เข้าห้องน้ำ บีใส่รองเท้าไม่มีส้น (เธอเป็นคนสวยมากๆ สูงด้วย) เดินไปห้องน้ำ ก็ได้ยินเสียงก๊อกๆ เหมือนส้นร้องเท้า ยังสงสัยเลยว่า ทำไมเสียงรองเท้าเราดัง ก็ไม่ได้สนใจ พอเข้าห้องน้ำ จะกั้นเป็นห้องๆ กำลังทำธุระ ได้ยินเสียงเด็กหัวเราะ ก็นึกว่า เด็กเข้าห้องน้ำ แต่เด็กหลายคนเลย หัวเราะกันคิกคัก บีก็ว่า แต่เสียงมันแปลก เหมือนกำลังปีนข้างฝาห้องน้ำ บีก็เสร็จธุระ พอเปิดประตู ก็ว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่ นึกว่า เด็กๆ ออกไปแล้วแต่ทำไมออกไปเร็วจัง เสียงยังโครมครามแหมบๆ แต่ที่พื้นมีรอยน้ำ ประมาณเท้าเด็ก เป็นหย่อมๆ ก็เลยนึกว่า เด็กจริงๆ ก็เดินออกมาเข้ากลุ่มกับเพื่อน แต่ความรู้สึกเหมือนมีคนตามมาด้วย มันอยู่ในใจว่า ใครตามเรามาหว่า .... จนคืน นั้น นอนหลับ ฝันเห็นเด็ก สามคน ปีนเล่นอยู่บนตัว อายุประมาณ 3-4 ขวบ ทั้งเด็กหญิง ชาย ซนมาก ปีนเล่นแถมตัวเปียกด้วย บีก็นึกว่า ฝันอยู่ ก็เพียงแต่ไล่ว่า ไป..ไปเล่นที่อื่น ความง่วงก็ทำท่าจะหลับ แต่..เห้ยยย....ทำไมตัวเปียก ก็ตื่นเลย แต่ความรู้สึกยังกึ่งฝัน บีก็ไล่ พวกเด็กผีก็ไม่ยอมไป ปีนป่ายก่ายกอดบีไม่ปล่อย บีก็ว่า จะไปดีๆมั๊ย เด็กว่า ไม่ไป หนูหนาว ขอกอดหน่อย บีว่า ไม่เอา แล้วทำไมตัวเปียก เด็กว่า หนูตกสระน้ำโรงแรมตาย บีว่า ไปเลย อย่ามาหลอก เด็กผีทำท่าดื้อ ไม่ไป บีคิดถึงคำพูดพี่ (คือตัวเรา) ว่า ถ้าผีงี่เง่ามากๆ บอกจะแช่งนะ รับรองมันไปแน่ บีเลยว่า ไม่ไปจะแช่งแล้ว จะไปหรือไม่ไป พรุ่งนี้ทำบุญไปให้ ผีเด็กได้ยินว่าจะแช่ง รีบวิ่งหนีไปเลย บีว่า ตัวบีเปียกน้ำไปหมด ถ้าฝันแล้วจะเปียกน้ำได้ไง นอนห้องแอร์นะ แล้วก็คงจะได้ไปทำสังฆทานให้แล้วมั๊ง เพราะคนนี้ชอบทำบุญ แต่กลัวผี จะเจอะเจอผีบ่อยมากๆเลย เคยโดนผีข่มขืนด้วย

วิญญาณที่ เช็นทรัลเวิลด์ เฮี้ยน

นนี้ได้เวลาดีเข้า สำนักงานใหญ่ที่ The Office CTW ชั้น 24 สักที หลังจาก ที่โดนคนเสื้อแดงยึดแยกราชประสงค์ไปนานร่วมสองเดือน และก็มีเหตุการน่าเศร้าสลดใจมีการเผาห้างมีคนเสียชีวิตไปหลายคน จริงแล้ว..น้อง ๆ ที่ สนง.ใหญ่ ได้ย้ายเข้าไปตั้งแต่วันจันทร์ที่ผ่านมา ก็ไม่มีใครโทรมาบอกหรือเล่าให้ฟังว่า เจอกับอะไรบ้าง ข้าพเจ้าเอง ต้องเข้าประชุมบอร์ด ทุกๆ วันจันทร์ช่วง 10-11 โมงอยู่แล้ว วันนี้ได้ขับรถเข้าไปประชุมตามปกติ ในขณะที่กำลังจะเลี้ยวเข้าทางเข้า ประจำคือทางเข้า 1 ด้านฝั่งถนนพระราม 1 หน้ากรม ตร. วันนี้ได้มีการ ปรับเปลี่ยนทางเข้าให้มาเข้าทางเข้าถนนพระราม 1 แต่เป็นเส้นที่ติดกับ วัดปทุมวนาราม ขับลงที่จอดรถ B1 ซึ่งปกติก็หาที่จอดรถชั้นนี้ยากอยู่ แล้วในโซนออฟฟิศนี้ วนลงไปชั้น B2 มองไปขวามือ รถจอดกันเต็ม เลยขับไปอีกนิดหนึ่งเป็นทางแยกและมี รปภ. ยืนอยู่หลายคน จึงได้ กดกระจกรถลงไป ตั้งใจจะถามว่า... สามารถจอดตรงไหนได้อีก ไม่อยากลงไปจอด B3 บรรยากาศ เงียบวังเวงมาก ในขณะที่กดกระจกลง มีกลิ่นเหม็นคล้ายกลิ่นคนตาย โชยเข้าจมูก อันนี้หลายคนคงคิดว่า ข้าพเจ้าอุปทานไป ไม่ใช่ค่ะ เป็น กลิ่นเดียวกับที่ข้าพเจ้าเคยได้กลิ่นตอนคุณพ่อเสียไปเมื่อปลายปีที่แล้ว ....ง่ะ..ชัด ๆ เลย อาการออกทาง สีหน้าชัด ๆ จะอาเจียน หน้าเสียซีด รปภ. ถามว่า..มีอะไรให้ช่วยครับ ? ข้าพเจ้าบอกว่า ไม่เป็นไร แล้วรีบปิดกระจกขึ้น ขับรถวนซ้ายหาที่ จอดรถได้ไม่ไกลนัก ลงรถแล้วยังได้กลิ่นเหม็นเน่าติดจมูกขึ้นไป จนถึงออฟฟิศ พี่เจี๊ยบเห็นหน้าตาไม่ค่อยดี แกเลยเอายาดมมาให้ ความลับเลยแตก....ทุกคนในออฟฟิศรู้หมดว่า..ข้าพเจ้ากลัวผี...!!! เล่าให้ทกคนฟัง มีน้องแป๋ม ก็เข้ามาผสมโรงด้วยว่า ที่ B3 มีคนลือว่า ชั้นจอดรถ B3 มีคนนอนตายเพราะสำลักควันอยู่ไม่น้อย นั่นยิ่ง ทำให้ต่อมความกลัวของข้าพเจ้ายิ่งทำงานหนักมากขึ้น หลังจากที่ประชุมเสร็จประมาณ บ่ายสามกว่า ๆ น่าจะได้เดินลงมาที่ ชั้น B2 ที่จอดรถไว้ เดินมาถึงที่รถเงียบม๊าก....... ไม่มีใครเลย...... วังเวง วิเหวงโหวง มาก ๆ กำลังจะเปิดประตูรถ จมูกตัวดีได้กลิ่นเหม็นแบบ เดิมโชยมาอีกแล้ว...!!!ไม่พอ หูเจ้ากรรมได้ยินเสียง...หวีดโหยหวลดังมา ตอนแรกนึกว่าเสียงลม ที่ไหนได้ นี่มันชั้นใต้ดินนี่หว่า...!!!! จะมีลมจากไหน พัดมาล่ะ.....แป๋วววววววววว......ความตาขาวในตัวแสดงออกมาชัดเจน รีบปิดประตูรถ ล๊อคประตูทันที นั่งทำใจแปปหนึ่ง ก่อนออกจากที่จอดรถได้ ถ่ายรูปบรรยากาศมาให้ดู...ว่า CTW ที่เคยมีคนพลุกพล่านหนาตา ตอนนี้ เหลือแต่ความเงียบเหงา และวังเวงน่ากลัวให้เห็น.....

ความเล้นลับของคาถาอิติปิโสถอยหลัง

บทสวดนี้ไม่ค่อยจะคุ้นหูคนทั่วไปมากนัก โดยทั่วไปจะท่องบทสวด อิติปิโส ธรรมดาทั่วไป ซึ่งก่อนนอนหากท่านสวดมนต์อิติปิโสนี้ทุกวัน เขาว่ากันว่า นอนแล้วจะหลับฝันดี และได้รับความคุ้มครองจากทวยเทพ ซึ่งหากเราไปต่างจังหวัดหรือไปในที่ที่เรา ไม่คุ้นที่และต้องพักข้างแรม ควรมีติดตัวเอาไว้ อย่างน้อยๆก็ทำให้เราสบายใจในยามหลับนอน.. ครับ บท อิติปิโส ถอยหลัง เมื่อสมัยพุทธกาล มีเหล่าพระสงฆ์อยู่กลุ่มหนึ่งได้ออกธุดงค์ไปในป่าเขาแห่งหนึ่งซึ่งเป็นป่าที่ว่ากันว่า ไม่มีนักบุญท่านใดอยู่ได้นาน เพราะมักจะมีเหล่าอสูรกายมาหลอกหลอน ให้ตบะพังจนสติแตกอยู่ร่ำไป พระสงฆ์กลุ่มนี้ได้ปักกรด และจำศีลอยู่ที่นั่น ซึ่งมีกันทั้งหมด 8 องค์ ตกกกลางคืน เหล่าอสูรกายก็ออกฤทธิ์ ทั้งหัวเราะทั่วหุบเขา ทั้งแปลงเป็นผี ควักไส้พุง ตาถลน ทั้งหมดกลัวสุดขีดแต่ได้ตั้งสติและสวดมนต์ โดยเฉพาะอิติปิโส แต่พอสวด อสูรกายกลับกลายร่างเป็นยักษ์โล้น(ร่างแท้ๆ) ปัดกลดกระเด็นไปคนละทิศละทาง ทั้งหมดทุกท่านโกย..โกยเถอะโยม..ม และนำเรื่องนี้ไปกราบทูลพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า ได้ให้บทสวด อิติปิโส แต่ให้สวดถอยกลับ เพื่อไปปลดปล่อยยักษ์ตนั้นที่หวงที่ เหล่าพระสงฆ์เหล่านั้น ก็กลับไปที่เดิม ตกกลางคืน มาอีกหนักกว่าครั้งที่แล้ว ทั้งพายุ***ฝนทั้งฟ้าผ่า และมันกำลังจะกระทืบไปที่เหล่าพระสงฆ์กลุ่มนั้น ทั้งหมดห้อมล้อมและท่อง อิติปิโส ถอยหลัง ยักษ์ตนนั้น ปวดหัวทรมานอย่างแรง จนต้องอ้อนวอนให้พระสงฆ์กลุ่มนั้นหยุดท่องคาถานี้ หัวหน้าคณะได้ให้ยักษ์สาบานด้วยวาจาสัตย์ว่าต้องไม่ทำร้ายใครอีก และต้องจำศีลเพื่อให้หลุดพ้นจากวัฏสงสารที่เป็นอยู่นี้ ยักษ์จึงตกลง..และในที่สุดก็มาเป็นบทคาถาบทหนึ่งที่ไม่ใช่แค่คุ้มครองผู้สวดแล้ว ยังป้องกันภัยอันตรายทั้งหลาย ยามจำเป็นต้องพักในที่ที่เราไม่คุ้นเคย... คาถาบทนี้มี56ตัว ให้ภาวนา3 หรือ 7คาบ ก่อนออกเดินทางไปสารทิศใด ๆ จะแคล้วคลาดปราศจากทุกภัยพิบัติทั้งปวง หากภาวนาได้ครบ108คาบ ติดต่อกัน จะมีตัวเบา เดินตัวปลิว เสกหรือสะเดาะเคราะห์ สะเดาะกุญแจ หรือโซ่ตรวนของจองจำทั้งปวงได้สิ้น ติ วา คะ ภะ โธ พุท นัง สา นุส มะ วะ เท ถา สัต ถิ ระ สา มะ ทัม สะ ริ ปุ โร ตะ นุต อะ ทู วิ กะ โล โต คะ สุ โน ปัน สัม ณะ ระ จะ ชา วิช โธ พุท สัม มา สัม หัง ระ อะ วา คะ ภะ โส ปิ ติ อิ ฯ

บริษัทสยอง

ปวัตต์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากสี่พระยา บริษัทประกันภัยที่ผมทำงาน อยู่แถวสี่พระยานี่เองครับ ความเจริญไม่ต้องพูดถึงก็ได้ เพราะเป็นย่านธุรกิจการค้าที่ใหญ่เป็นอันต้นๆ ของกรุงเทพฯ มาหลายสิบปีแล้ว ตอนเที่ยงๆ พนักงานบริษัทและห้างร้านกรูเกรียวกันออกไปหามื้อเที่ยงกิน มองจากตึกสูงๆ เห็นแต่หัวดำๆ เหมือนมดเหมือนปลวกไม่มีผิด เฉพาะ บริษัทผมแห่งเดียวก็ปาเข้าไปตั้งเกือบ 100 คน! เมื่อราว 2-3 ปีก่อน เกิดเรื่องสยองติดๆ กัน คือพนักงานสาวกินยาตายในห้องน้ำ สาเหตุจากปัญหาท้องไม่มีพ่อ กับอกหักกระโดดตึกที่หนังสือพิมพ์เขาเรียกว่า "โหม่งโลก" ฆ่าตัวตายนั่นแหละครับ ตึกสูงสิบกว่าชั้นจะไปมีอะไรเหลือล่ะ? "พี่แอ๋ว" ผู้ช่วยฝ่ายการเงินไปเข้าห้องน้ำ เกิดอุบัติเหตุลื่นล้มหมดสติ กว่าจะมีคนไปพบและนำส่งโรงพยาบาล พี่แอ๋วก็กลายเป็นเจ้าหญิงนิทราอยู่เกือบหนึ่งเดือนก่อนจะสิ้นชีวิต เพิ่งจะเผาศพเธอไปหยกๆ "น้องหมวย" สาวสวยประจำแผนกบริการลูกค้า เพิ่งจะออกจากห้องน้ำมาหยกๆ กลับมานั่งโต๊ะเดี๋ยวเดียวก็ทะลึ่งพรวดขึ้นสุดตัว ก่อนจะล้มฮวบลงบนพื้น มือหนึ่งตะกายเก้าอี้ ที่ลูกล้อมันลื่นหนีไปเรื่อยๆ พอเพื่อนๆ วิ่งมาดูก็แตกตื่นร้องวี้ดว้ายไปตามๆ กัน น้องหมวยเอียงหน้าซบกับท่อนแขน ปากอ้า นัยน์ตาลืมค้าง...เบิกโพลงเหมือนมองเห็นภาพที่สยดสยองสุดขีดก่อนจะสิ้นใจ! ชั่วเวลาเดือนเศษๆ มีทั้งฆ่าตัวตาย 2 ราย กับตายด้วยอุบัติเหตุ รวมทั้งหัวใจวายอย่างละ 1 ราย...ปาเข้าไปตั้ง 4 ศพ จะไม่ให้คนขวัญอ่อนกลัวผีได้ยังไง? พนักงานส่วนมากมักหน้าตาไม่ค่อยเสบยนัก ดูซีดๆ เซียวๆ ยังไงชอบกล มักจะเหลียวหน้าเหลียวหลังด้วยอาการหวาดระแวงเกือบตลอดเวลา เรียกว่าแทบจะไม่มีกะจิตกะใจทำงานก็คงจะไม่ผิดนัก มีเสียงซุบ ซิบว่าเจ้าที่แรงบ้าง ผี ดุบ้าง เมื่อราว 3 ปีกว่าๆ มาแล้วเคยมีคนงานเช็ดกระจกพลัดหล่นลงไปคอหักตาย เชื่อว่าวิญญาณที่เจ็บปวดคงจะวนเวียนอยู่บริเวณนั้น ไม่ยอมไปผุดไปเกิด กลายเป็นวิญญาณดุร้าย เฮี้ยนจัด ตามรังควานคนชะตาขาดเพื่อเอาไปอยู่เมืองผี ติดๆ กันถึง 4 คน จนอกสั่นขวัญหายกันไปทั้งบริษัท พอจะซาไปหน่อย อ้าว? น้าติ๋ม-แม่บ้านประจำชั้นเราเกิดเป็นลมตายในห้องพักขึ้นมาดื้อๆ ห้องที่ว่าจะเรียกกันว่า "ห้องกาแฟ" คือมีทั้งตู้เย็น กาน้ำร้อน ชั้นวางขวดเครื่องดื่มต่างๆ เช่น น้ำชา กาแฟ โกโก้ โอวัลติน น้ำตาลและคอฟฟี่เมต สำหรับบริการพนักงานอาวุโสกับแขกเหรื่อที่มาติดต่อธุรกิจแทบทั้งวัน มีโต๊ะอาหารเล็กๆ กับเตียงเตี้ยๆ สำหรับนั่งพักผ่อน แต่ไม่ถึงกับเอนหลังหรอกครับ เพราะมีแขกมากหน้าหลายตาจนน้าติ๋ม กับผู้ช่วยชื่อพี่แป้งไม่ค่อยมีเวลาหยุดหย่อนเท่าไรนัก วันเกิดเหตุ มีลูกค้ามาติดต่อเรื่องเคลมประกันตอนใกล้งานเลิกพอดี พี่แป้งเล่าว่าน้าติ๋มชงกาแฟสองที่ วางซองน้ำตาลกับคอฟฟี่เมตไว้ที่จานรองเรียบร้อย แล้วส่งให้เธอเอาไปบริการที่ห้องลุงอรรถ-หัวหน้าแผนก แต่พอกลับมาก็เห็นน้าติ๋มนอนหลับตา เอียงหน้านิดๆ ปากอ้าเผยอเหมือนคนนอนหลับ ทั้งๆ ที่เพิ่งจะแยกมาหยกๆ นี่เอง น้า ติ๋มตายแล้ว! พี่แป้งวิ่งออกจากห้องกาแฟมาร้องไห้โฮจนพวกเราลุกพรวด ผมวิ่งไปดูก็เห็นน้าติ๋มสิ้นลมไปแล้วจริงๆ พวกผู้หญิงที่ตามหลังมาทำท่าเหมือนจะเป็นลมเป็นแล้งต้องไล่กลับไปที่โต๊ะหมด ทุกคน บ้างก็ว่าน้าติ๋มเป็นลมตาย บ้างก็ว่าโรคหัวใจกำเริบ และบ้างก็ว่าโดนผีหลอก!! พี่แป้งไม่กล้าทำงานต่อ จะลาออกท่าเดียว หัวหน้าต้องเรียกน้าแหม่มจากชั้นบนลงมาช่วยงานและอยู่เป็นเพื่อน พี่แป้งยังไม่วายขวัญหนีดีฝ่อ ต้องตามน้าแหม่มแจ...ขนาดจะเข้าห้องน้ำพี่แป้งยังต้องขอให้น้าแหม่มอยู่หน้า ห้องเลยครับ เวลาผ่านไปเกือบเดือน พวกเรากำลังจะลืมเรื่องนี้อยู่แล้ว ก็พอดีมีลูกค้าเก่ามาหาลุงอรรถ ดูเหมือนจะมาเยี่ยมเยียนธรรมดาไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องงาน เลขาฯ หน้าห้องก็บอกไปทางน้าแหม่ม พี่แป้งที่อยู่ใกล้ๆ ก็กุลีกุจอหยิบน้ำตาลกับคอฟฟี่เมตมาใส่จานรองเตรียมพร้อม น้าแหม่มหันมายื่นถ้วยกาแฟให้...แต่ใบหน้านั้นกลับกลายเป็นใบหน้าของน้าติ๋มที่ตายไปแล้วชัดๆ โลกของพี่แป้งแตกกระจายในพริบตานั่นเอง เสียงร้องกรี๊ดๆ เหมือนเกิดไฟไหม้ พวกเราเห็นพี่แป้งร้องไห้โฮ นัยน์ตาเหลือกลาน พูดไม่เป็นภาษานอกจากชี้ไม้ชี้มือไปข้างหลัง ได้ยินแต่ว่า...น้าติ๋ม! ผีน้าติ๋ม! โอย... พี่แป้งลาออกไปแล้ว ไม่ว่าใครจะอ้อนวอนให้อยู่ต่อก็ไม่ฟังเสียง ยืนยันแต่ว่า...ตกงานยังดีกว่าโดนผีหลอกจนช็อกตาย!

เสียงร้องของนกแสกแห่งความตาย

นกแสก เป็นนกแทนความตายมีคนเล่าว่าถ้าบ้านไหนป่วยแล้วนกแสกมาร้องจะอยู่ได้ไม่เกิน 3 วัน 7 วันอะนะครับส่วนตัวผมนั้นก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น"อา"ของผมก็คือน้องพ่ออะนะครับเค้าป่วยเป็นโรคอะไรผมก็ไม่รู้นะครับเพราะตอนนั้นผมยังเด็กก็เลยไม่ได้สนใจเท่าไหร่ อา ผมนอนป่วยอยู่ที่บ้านมาประมาณ 2-3 เดือนซึ่งช่วงระยะเวลานี้ อา ผมก็ผอมลงมาก กินอะไรก็ไม่คอยได้ด้วยแล้ววันหนึ่งตอนประมาณสัก บ่าย 2 โมงป้าผมก็โทรมาบอกพ่อว่า อา กำลังจะเสียแล้วให้เรียบกลับมาที่บ้าน ผมเลยนึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนนี้มี "นก" มาร้องอยู่บนหลังคาบ้านตอนนั้นผมก็ยังเด็กก็เลยถามลุกผมว่าเสียงนกอะไรอะครับลุง ลุกผมก็บอกว่ามันคือเสียงของ"นกแสก"แต่แปลกนะครับบ้านผมไม่เคยมีนกแสกนะ แล้วลุงผมก็บอกว่า สงสัยว่าอาของเองจะอยู่กับเองได้ไม่นานแล้วละผมก็ถามว่าทำไมละครับ ก็มันเป็นลางสังหรณ์นะซิ ผมก็งงว่ามันคืออะไรก็แค่นกตัวหนึงมันมาร้องเองจะเป็นลางอะไรกันแล้ว อา ผมก็เสียชีวิตลง.......หลังจากวันนั้นผมก็คิดว่ามันน่าจะมีส่วนอยู่บางอะนะ ....แต่ผมมารู้วิธีที่จะทำการแก้เคล็ดได้ก็คือว่าเวลาได้ยินเสียงนกแสกมาร้องในบริเวณบ้านที่มีคนป่วย ให้ตะโกนออกไปว่า"บ้านนี้ไม่มีคนป่วยให้ไปที่อืนไร่มันไปให้ไกลเลยครับ เป็นความเชื่อส่วนบุคคลอะนะครับ ขอบคุณครับ......*-*

ศาลสยองต่างๆ

แวะเวียนกลับมา ให้พี่ไทยที่แจมได้ไปในทุกเทศกาลได้คึกคักคึกครื้นอีกครั้ง กับวัน “ฮาโลวีน” ในวันที่ 31 ต.ค.นี้ ซึ่งใครใคร่แต่งตัวเป็นผีก็แต่งไป ใครใคร่จะไปร่วมเทศกาลก็ไปกันได้ในหลายๆที่ แต่ที่ดังที่สุดก็เห็นจะเป็นที่ถนนข้าวสาร แต่นั่นคือเรื่องราวของผีฝรั่ง ครั้นหันมามองผีไทยในเมืองกรุงบ้าง ซึ่งในกรุงเทพฯเมืองที่มีความเจริญทางวัตถุสูงสุดของเมืองไทย แต่กับมากมายไปด้วย ศาลเจ้าที่-ศาลผี ที่มากมายไม่เป็นรองเมืองไหนๆ โดยศาลแต่ละที่ต่างก็มีความ+++นและเรื่องเล่าต่างๆที่น่าขนพองสยองเกล้าต่างกันออกไป และนี่ก็คือไฮไลท์ของศาลผีในเมืองกรุงฯที่โด่งดัง ในความ+++น 5 ที่ ซึ่งระดับของความน่ากลัวนั้นวัดกันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าใครจะไปเจอประสบการณ์ผีๆในแบบไหน ศาลแม่นาคพระโขนง ตั้งอยู่ที่ “วัดมหาบุศย์” เขตสวนหลวง (แยกออกมาจากเขตพระโขนงเดิม) คนทั่วไปมักนิยมเรียกวัดนี้ว่า “วัดแม่นาค พระโขนง” ศาลแม่นาคฯแห่งนี้เป็นศาลเก่าแก่ที่สร้างอิงจากตำนานความรักของนางนาค เมื่อ 100 –200 ปีก่อน ซึ่งทุกวันนี้แม่นาคฯได้กลายเป็นผีไทยที่โด่งดังในระดับอินเตอร์ไปแล้ว แต่ไม่ว่าแม่นาคฯจะโด่งดังขนาดไหน เรื่องราวความ+++นของแม่นาคฯก็ยังคงมีปรากฏอย่างต่อเนื่อง ศาลเจ้าแม่โพสพ ตั้งอยู่ที่วัดศิริวัฒนาราม ใกล้ปากคลองบางพรหม ตลิ่งชัน ศาลนี้คนเก่าคนแก่บอกกันว่าสร้างอิงจากความเชื่อในเรื่องของการนับถือศาล เจ้าแม่โพสพ เนื่องจากว่าแต่ก่อนพื้นที่ในย่านนี้เคยมีนาและสวนก่อนที่จะกลายเป็นเมือง นับเป็นอีกศาลหนึ่งที่คนนิยมเดินทางมาขอโชคลาภ ศาลศาลาต้นจันทน์ ตั้งอยู่ใกล้วัดระฆัง ไม่ใกล้ไม่ไกลจากสี่แยกโรงพยาบาลศิริราช สำหรับประวัติความเป็นมาลึกๆของศาลแห่งนี้คนแถวนั้นก็ยังบอกไม่ได้ รู้แต่เพียงเลาๆว่าครั้งหนึ่งที่นี่เคยเป็นศาลาเอนกประสงค์ ถ้าไม่ใช่ที่สอนหนังสือของเด็กๆก็เป็นที่ตั้งสวดศพ ปัจจุบันศาลาต้นจันทน์ได้ก่อสร้างใหม่เนื่องจากศาลาหลังเก่าทรุดโทรม ซึ่งคนทั่วไปก็มักจะมาขอพรกันที่นี่โดยมีของที่นิยมแก้บนเป็นตุ๊กตานางรำ ศาลงู ศาลนี้ตั้งอยู่ริมถนนสายธนบุรี-ปากท่อ มีชื่อในบันทึกที่ค่อนข้างจะเป็นทางการว่า “ศาลเจ้าแม่จงอางและลูก” คนแถวนั้นเล่ากันว่า ที่ตรงนี้แต่ก่อนจะมีอุบัติเหตุร้ายแรงบ่อยมาก เพราะเชื่อว่าเกิดจากความอาฆาตของงูจงอางเจ้าที่เป็นผู้ทำ เนื่องจากตอนสร้างถนนได้มีการเกรดดินทับงูเจ้าจนตายทั้งแม่และไข่งู เมื่อมีการตั้งศาลให้เรื่องทุกอย่างจึงคลี่คลาย ศาลเจ้าพ่อหนู ตั้งอยู่ริมคลองย่านบางลำพู คนแถวนั้นไม่มีผู้รู้ประวัติความเป็นมาของศาลแห่งนี้ แต่ถ้าดูจากของแก้บนที่เป็นเสื้อผ้าของเด็กและของเล่นเด็ก แล้วก็จะรู้ว่าแรงศรัทธาของคนทั่วไปที่มีต่อศาลนี้ไม่เป็นรองใคร นั่นเป็นเพียงไฮไลท์แค่ 5 ที่ ของศาลที่ว่ากันว่า+++นนัก ส่วนใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่ง แต่ว่างานนี้ทางที่ดีหากไม่เชื่อก็อย่าได้หลบหลู่ ถือเป็นเรื่องที่ดีที่สุด