วันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ตู้อาถรรพณ์

"หมิว" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากหอพักเพื่อน

ฉันไปค้างกับเพื่อนที่หอพักของเธอเพื่อเตรียมตัวสอบ เมื่อภาคปลายที่เพิ่งผ่านมาเราดูหนังสือและทำรายงานกลุ่มด้วยกัน

หอพักที่ว่านี้อยู่ย่านรามคำแหงค่ะ เป็นหอใหม่ ราคาแพงแต่สะอาดสะอ้าน ความปลอดภัยก็ดูใช้ได้ เขาใช้ระบบคีย์การ์ดตลอด มันทำให้ฉันนึกถึงคดีฆาตกรรมคดีหนึ่งที่มีผู้ร้ายใส่เสื้อเบอร์ 10 คอยเตร่อยู่แถวหน้าประตูหอ พอมีคนมาเสียบกุญแจเปิดประตูมันก็ตามเข้าไปหน้าตาเฉย...และไปฆ่าผู้หญิงคนหนึ่งตายคามือ!

ฉันบอกกับปอน เพื่อนที่เช่าหอว่าอยู่คนเดียวไม่กลัวอะไรเหรอ มันถามกลับว่าจะให้กลัวอะไรล่ะ? ถึงยังไงก็ต้องอยู่เพราะบ้านอยู่ต่างจังหวัดโน่น

ถ้าเป็นฉันละก็นะ กลัวทั้งผีทั้งขโมยเลยละ ยิ่งได้เห็นข่าวฆ่ากันตายแบบนี้ฉันยิ่งเสียขวัญ อย่างแรกเราอยู่คนเดียว เราจะแน่ใจได้ยังไงว่าปลอดภัยดีแล้ว อย่างที่สองห้องที่เราอยู่นี่เคยมีคนตายมาก่อนรึเปล่าเราก็ไม่รู้

หอพักที่ข้างบ้านฉันเคยมีพนักงานธนาคารถูกฆ่าหมกศพไว้บนเตียงแล้วขึ้นอืดส่งกลิ่นคลุ้ง คนอื่นถึงได้รู้ว่ามีฆาตกรรมและพบศพ ส่วนห้องนั้นปิดทิ้งไว้ไม่กี่เดือนก็มีผู้หญิงคนหนึ่งมาเช่าต่อ และเธอก็อยู่มาจนบัดนี้โดยไม่รู้เลยว่าห้องที่เธออยู่ เตียงที่เธอนอนเคยมีศพสยองนอนอยู่ตั้งสามวันสามคืน!

ห้องของปอนนี่ก็เถอะ ฉันไม่ค่อยไว้ใจเลย จำได้แต่ว่ามาวันแรกๆ ฉันได้กลิ่นอับๆ ยังไงพิกล บรรยากาศก็อึดอัด นี่ถ้าไม่ต้องมาทำรายงานฉันจะไม่มาเลยล่ะ...อยู่บ้านดีกว่า

คุณเคยไหม เวลาไปที่ไหนสักแห่งแล้วที่นั้นมันมีอะไรเฮี้ยนๆ คุณจะรู้สึกถึงมันได้! ฉันก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน...รู้สึกตลอดเวลาว่าในห้องไม่ได้มีแต่ฉันกับปอนสองคนเท่านั้นแต่ยังมีใครอยู่ด้วย...

ผู้หญิง!? ใช่...ผู้หญิงสาว อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเรานี่แหละ!

"ปอน...แกอยู่แกไม่เคยเห็นอะไรเรอะ?" ฉันอดรนทนไม่ไหว เพราะขนลุกซู่ๆ อยู่ตลอดเวลาโดยไม่มีเหตุผล

"แกจะทักขึ้นมาทำไม?" ปอนย้อนถามอย่างกึ่งขันกึ่งรำคาญ "ผีก็อยู่ส่วนผี คนก็อยู่ส่วนคน ไม่เห็นต้องคิดอะไรมาก ว่าแต่ถ้าคิดว่านอนที่นี่ไม่ได้ก็กลับบ้านไปเลยนะ"

แน่ะ...นังปอนมันไล่ฉัน! แต่ฉันไม่กลับหรอก...คืนนั้นเรานอนกันตีหนึ่ง ปอนหลับก่อน ส่วนฉันอาบน้ำแล้วเดินกลับมาขึ้นเตียง

มองไปรอบๆ ห้องที่ไม่กว้างขวางนัก มันดูวังเวงยังไงบอกไม่ถูก ด้านในสุดเป็นประตูกระจกที่เปิดออกไปยังระเบียงแคบๆ ฉันนึกสยองว่าเดี๋ยวมองไปๆ จะเห็นใครมายืนทะมึนอยู่ตรงนั้น ฉันเลยเดินไปรูดม่านปิด

โอ! แย่จัง...ยิ่งแย่ใหญ่เลยค่ะ พอปิดม่านมันหดหู่เหมือนกำลังอยู่ในงานศพ นังปอนก็นอนหลับไม่รู้เรื่อง ฉันมองมันแล้วก็อิจฉา นึกสงสัยว่ามันอยู่ในห้องนี้ได้ไงคนเดียวมาตั้งนานสองนาน? เอ...รึว่าฉันคิดบ้าไปเอง! เฮ้อ...จะมาป่วนให้เพื่อนกลัวผีซะแล้วซิเรา...ไม่เอาน่ะ! มันอยู่ของมันดีๆ จะให้มันร้อนที่ไปได้

คิดปลงแล้วก็ปีนขึ้นเตียง ซุกหมอน ดึงผ้าแพรเพลาะขึ้นมาถึงใต้คาง ไม่ได้ดับไฟหัวเตียงหรอก เปิดไว้อย่างนั้นแหละ

ฉันนอนไม่หลับ ตามองไปที่ตู้เสื้อผ้าเล็กๆ ตรงปลายเตียง ที่จริงมันอยู่ห่างจากปลายเท้าของฉันนิดเดียวเอง ฉันหดเท้าขึ้นมาอย่างเสียวไส้ขณะจ้องมองที่ตู้ใบนั้น...

เอ...จะว่าไปแล้วมันเหมือนอะไรนะ...อะไรที่น่ากลัว? อึ๋ย...โลงศพ!!

จริงๆ นะคะคุณ ความหนาความกว้างของมันช่างใกล้เคียงกับโลงจริงๆ ด้วย

พอคิดถึงตรงนี้ประตูก็เปิดแอ๊ดดด...ออกมาซะงั้น ฉันหดเท้าเข้ามาอีก นอนตัวงออยากหลับตา แต่รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ในตู้...อยู่หลังประตูที่เปิดแง้มออกได้เอง

ฉันเห็นผู้หญิงผมยาว ใส่ชุดดำ!

คุณพระช่วย! ฉันไม่ได้ตาฝาดนะ ฉันเห็นจริงๆ เธอยืนหน้าคว่ำ ตาคว่ำ ทำท่าจะออกมาหาฉัน...แล้วภาพสยองก็หายไปเหมือนประสาทหลอน...ฉันเขย่าตัวปอนให้ตื่น มันงัวเงียลุกขึ้นถามว่าอะไร? ฉันพูดไม่ออก ได้แต่ชี้ไปที่ตู้

"ฮือ...มันเปิดได้เองอย่างนี้ทุกคืนแหละ" ปอนบอกเสียงง่วงๆ พลางตัวหลับต่อ "ถ้ากลัวก็ไปปิดสิ แต่มันจะเปิดเองอีกนะ"

มันไม่กลัวแต่ฉันกลัวแทบตาย! ไม่เอาแล้ว พรุ่งนี้กลับบ้านดีกว่า ไม่อยู่แล้ว ปอนอยู่คนเดียวได้ก็ช่างมันเถอะ...มันเก่ง!!







ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ ข่าวสด

คืนขวัญหาย

สมัยเด็กผมอยู่ซอยอินทรพิทักษ์แถววงเวียนใหญ่ ธนบุรีนี่เอง ถึงแม้ยามค่ำคืนจะมืดสลัวและเปล่าเปลี่ยว แต่พวกผมเดินเข้าๆ ออกๆ ตั้งแต่จำความได้จนอายุ 12-13 ขวบแล้วครับ ถือว่าเป็นถิ่นของเราเอง ไม่ต้องเกรงกลัวอันใดให้เสียเวลา

อ้อ! แต่ต้องยอมรับว่าไม่ค่อยไว้วางใจ หรือหวาด ระแวงอะไรบางอย่างที่ไม่ว่าเด็กคนไหนก็กลัวเหมือนๆ กันทั้งนั้น...กลัวผีไงครับ! บรื๋อออ...

ถึงแม้ว่าเกิดมาจะไม่เคยโดนผีหลอกซักครั้งเดียว แต่ไอ้ความกลัวภูตผีปีศาจที่เราไม่รู้จักนี่เป็นเรื่องช่วยไม่ได้จริงๆ ไม่ว่าเด็กคนไหนก็คนนั้น ลองไต่ถามดูเถอะครับ รับรองว่าร้อยทั้งร้อยกลัวผีกันทั้งนั้นแหละคุณเอ๋ย

วันดีคืนร้าย ผมกับเพื่อนซี้ชื่อไอ้นงก็โดนผีหลอกเข้าเต็มเปา!

ลืมบอกไปว่า "ไอ้นง"นี่เป็นผู้ชายนะครับ ไม่ใช่กระแดะชื่อนงนุชหรือนงคราญแบบผู้หญิงสมัยนั้น แต่มันชื่อ "ทนง"ครับ แหม...ฟังดูแมนซะไม่มี แต่เพื่อนฝูงชอบเรียกง่ายๆ ว่า "ไอ้นง?

สาเหตุเพราะค่ำนั้นเราอยากไปดูหนังที่เฉลิม เกียรติใกล้ๆ บ้าน ค่าดูคนละ 4 บาท 50 สตางค์ แต่อาศัยว่าเราคุ้นหน้าคุ้นตากับคนเฝ้าประตูก็เลยซื้อตั๋วแค่ใบเดียว เงินที่เหลือเก็บเอาไว้หม่ำก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นกับไอศกรีมกะทิสดชุ่มฉ่ำก่อนกลับบ้าน

ที่ว่าซื้อตั๋วใบเดียวแต่เข้าได้สองคนน่ะไม่ใช่ว่าได้นั่งเก้าอี้คนละตัวนะครับ แต่ต้องนั่งเบียดกันบนเก้าอี้ไม้แข็งโก๊กตัวเดียว แถมใกล้จอซะจนต้องหันซ้ายหันขวามองตามดารา ไอ้นงมันถึงกับออกปากว่า "ใกล้จอจนกูเกือบเอื้อมมือไปจับนมนางเอกได้เลยว่ะ?

ก็ทะลึ่งตึงตังตามประสาเด็กผู้ชายกับเพื่อนฝูง ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าใครเห็นว่าบาดหูบาดตาก็ต้องขอประทานอภัยอย่างแรง

"นักเลงป่าสัก"คือหนังบู๊เลือดท่วมจอสุดมันส์ พระเอกคือสมบัติกับนาท นางเอกคืออรัญญากับนัยนา เวลาฉากบู๊สะบั้นหั่นแหลกจะมีเสียงตบมือตีตีน เป่าปากเปี๊ยวป๊าว บ่งบอกถึงความสะใจแฟนหนังบู๊วัยมันส์ได้เป็นอย่างดี

เกือบสามชั่วโมงแน่ะกว่าหนังจะจบ เราออกมาโจ้ของโปรดแถวร้านแผ่นเสียงโรสซาวด์ตราดอกกุหลาบ ที่ทุกวันนี้กลายเป็นบริษัทใหญ่โตคือ อาร์เอสนั่นไงครับ

อิ่มหนำสำราญเรียบร้อยก็ชวนกันตีต๊อกเลี้ยวซ้ายกลับบ้าน!

จากแสงสีสดสวย สว่างไสว รถรากับผู้คนคึกคักน่าอบอุ่น กลับต้องเดินเข้าซอยอันมืดสลัว เงียบเชียบ อากาศในฤดูหนาวค่อนข้างเยือกเย็น...มีแต่เสียงฝีเท้าของเราดังเป็นเพื่อนเท่านั้น จนผมต้องหันหลังไปดูว่าจะมีใครเข้าซอยบ้านมา พอจะทำให้อุ่นใจได้บ้าง แต่ก็ไม่มีเลยแม้แต่คนเดียว

เท่ากับในซอยเปล่าเปลี่ยวน่าวังเวงใจ หน้าถังทุกร้านปิดสนิทหมดสิ้น...มีแค่เราสองคนตุหรัดตุเหร่เหมือนวิญญาณพเนจรร่อนเร่ไปตามลำพัง เล่นเอาปากคอแห้งผากจนต้องก้าวเท้าเร็วขึ้น

ก๊อกๆ ๆ

เสียงฝีเท้าดังขึ้นข้างหลัง ตอนแรกยังคิดว่าเป็นเสียงสะท้อนของรองเท้าเราเอง แต่เมื่อเราหยุดเดินเสียงนั้นก็ยังดังต่อไป แถมใกล้เข้ามาทุกที...เล่นเอาไอ้นงที่คงใจคอไม่ค่อยดีเหมือนกันถึงกับถอนใจเฮือกด้วยความโล่งอก

"ได้เพื่อนแล้วโว้ยเรา..."ว่าแล้วมันก็หันไปมองพร้อมๆ กับผม ปรากฏว่าเป็นชายร่างใหญ่ในชุดสีทึบกำลังเดินตามมาช้าๆ ท่าทางไม่รีบร้อนอะไร...แน่ล่ะ! ผู้ใหญ่อย่างเขาคงไม่มามัวหวาดกลัวเรื่องภูตผีปีศาจ เหมือนเด็กๆ อย่างเราแน่นอน!

น่าแปลกอย่างที่เขาเดินช้าๆ แต่กลับประชิดเราเข้ามาทุกที ขณะที่กลิ่นสาบสางกระจายมาเข้าจมูก เกือบพร้อมๆ กับหมาเจ้ากรรมที่ก้นซอยก็โก่งคอหอนโจ๋วเสียงเยือกเย็นจับใจ

"ไม่รู้จะเห่าหอนหาพ่อหาแม่อะไรของมัน"ไอ้นงด่าพึม เร่งก้าวยาวๆ โดยมีผมตามติด แต่เสียงฝีเท้าของชายประหลาดนั่นก็กระชั้นเข้ามาทุกที

กลิ่นเหม็นเหมือนหนูเน่ายิ่งตลบอบอวลมาเข้าจมูกจนแทบสำลัก ไอ้นงหันขวับไปมองอีกครั้ง คราวนี้เสียงเหมือนสำลักลมหายใจดังขึ้น ทำให้ผมต้องหันไปดูมั่ง แต่ก็ยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร จนกระทั่งเสียงสั่นเครือแทบจะร้องไห้ของไอ้นงดังกระเส่า

"มึงเห็นมั้ย? มันเดินมาได้ยังวะ...ก็ขามันไม่มีทั้งสองข้าง!?

นรกเป็นพยาน! ผมรู้สึกเหมือนมีน้ำเย็นเฉียบสาดโครมลงบนหัว เมื่อเห็นชายที่เดินตามหลังเรามาติดๆ นั่นมีร่างกายแค่ลำตัวท่อนบนเท่านั้นเอง!

โลกกำลังถล่ม ฟ้ากำลังทลาย สีเขียวๆ แดงๆ แตกกระจายเต็มหน้า เสียงไอ้นงร้องไห้โฮ...ส่วนผมวิ่งเตลิดไม่คิดชีวิต เสียงหมายิ่งเห่าหอนดังขรมถมเถ...พอเข้าบ้านได้ก็ล้มแผละ น้ำตาร่วงพรูเพราะสุดจะทนได้ไหว ...ตั้งแต่นั้นมาเราไม่ยอมกลับบ้านค่ำๆ มืดๆ อีกเลยครับ...บรื๋อส์!!









ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ ข่าวสด

รถผีสิง

'แต้ว' เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากรถมือสอง

พ่อของฉันซื้อรถมือสองมาขับ แน่ะ! คุณๆ คงจะเดากันแล้วล่ะซิว่ามันต้องมีผีสิงไม่งั้นฉันจะเอามาเล่าทำไม?

ฉันก็ไม่รู้ว่าจะเรียกมันว่าอะไรเหมือนกัน มันอาจจะเป็นผีหรือพลังงานที่ร้ายกาจจากนรกขุมไหนสักขุมที่ผุดขึ้นมาก่อกรรมทำเข็ญ ฉันไม่อาจรู้ได้ รู้แต่ว่าครั้งแรกที่เห็นรถคันนี้ฉันก็หนาวเยือกไปทั้งตัว ทั้งๆ ที่เป็นเดือนเมษายนที่มันร้อนสุดๆ

มันเป็นรถยุโรปสี่ประตูสีน้ำเงินเข้มเกือบดำ ตัวถังหนาแข็งแกร่ง ภายในกว้างขวางนั่งสบายเหมาะสมกับครอบครัวเราที่มี พ่อแม่และลูกสองคน คือฉันกับน้องชาย ซึ่งยังเรียนอยู่มัธยมต้นทั้งคู่ อ้อ! แถมเจ้าลูกอม หมาพันธุ์ชิสุ-น่ารักเป็นบ้าเป็นหลังอีกหนึ่งตัวเล็กๆ

ตอนที่พ่อขับรถเข้าบ้านน่ะ ฟ้ามืดลงทันใดเหมือนมีเมฆฝนลอยมาบังดวงอาทิตย์ แต่เอ...ฉันมองขึ้นไปท้องฟ้าก็แจ่มแจ๋วดีนี่นา ตอนนั้นราวบ่ายสองโมงที่ร้อนอบอ้าวน่าดู ฉันกับต๋องน้องชายวัยสิบสองยืนมองอยู่ตรงหน้าบ้าน มีลูกอมมาจ้องกับเขาด้วย

พอรถแล่นเข้ามา ลูกอมถอยหลังและส่งเสียงขู่เบาๆ พริบตาเดียวมันก็วิ่งปรู๊ดหายเข้าบ้านไปเลย ส่วนฉันกับต๋องยังยืนอยู่ที่เดิมจนพ่อจอดรถเรียบร้อยแล้วลงมายิ้มอย่างภูมิใจ

รถคันนี้ยังดูใหม่เอี่ยม ราคาก็ไม่แพง ไม่ต้องเอามาซ่อมหรือแต่งอะไรเลย แต่แทนที่จะชอบใจ ฉันกลับอึดอัดพิกล ยิ่งตอนเข้าไปลองนั่งฉันก็ยิ่งไม่สบายใจโดยไม่มีสาเหตุอะไรทั้งนั้น...ฉันว่ารถคันนี้มันมีชีวิต! ถ้าเทียบเป็นคนนะ มันไม่น่าคบเลยละ มันดูเจ้าเล่ห์เหี้ยมเกรียมถึงขั้นฆาตกรยังไงยังงั้นเชียว!

อย่าหัวเราะซิคะ ฉันสัมผัสได้อย่างนั้นจริงๆ

เดี๋ยวคุณจะรู้ว่าฉันคิดไม่ผิด!!

เย็นวันนั้น พ่อบอกให้เราขึ้นรถ พ่อจะพาไปกินข้าวข้างนอก แม่นั่งคู่พ่อซึ่งเป็นคนขับ ฉันนั่งข้างหลังพ่อและต๋องนั่งข้างหลังแม่ เจ้าลูกอมอยู่บ้านกับตุ่น สาวใช้

ทันทีที่ตุ่นเปิดประตูใหญ่ รถก็ทะยานออกไป มีแมวดำวิ่งตัดหน้าเห็นชัดๆ แมวดำตัวโต ตาวาววาบๆ แม่ร้องอุทานเสียงหลง พ่อเบรกตัวโก่งแต่ไม่ทันการณ์...เชื่อไหมคะ ล้อหน้าของรถทับหัวแมวดังโพละ! ไม่น่าเป็นไปได้ คุณก็รู้ว่าแมวมันวิ่งเร็วจะตาย แย่จัง...ฤกษ์ไม่ดีซะแล้ว!

เราจอดรถลงมาดูแมว ภาพที่เห็นมันสยองมาก เลือดเต็มไปหมด มันกระจายอยู่พื้นถนนตรงล้อรถ ฉันหันกลับไปมองและเห็นว่าหน้ารถมันเหมือนหน้าปีศาจ ตาลุกโพลงสองข้าง กระจังหน้าและกันชนนั้นฉันเห็นเป็นปากที่แสยะยิ้ม!

อีก 2-3 วันต่อมา เราไปพิษณุโลกเพื่อกราบคุณปู่คุณย่าวันสงกรานต์...

เราเดินทางตอนกลางคืน มีแม่นั่งคู่กับพ่อและต๋องนั่งหลังแม่ ฉันนั่งหลังพ่อเหมือนเดิม คราวนี้มีลูกอมนอนอยู่ตรงกลางระหว่างฉันกับต๋อง มันทำท่าเหมือนกลัวอะไรบางอย่าง...หมอบนิ่งแต่ดวงตาส่ายไปมา แล้วอยู่ดีๆ มันก็คลานขึ้นมาบนตักฉัน

'เหมียว...' เสียงแมวร้องลากยาว เราได้ยินกันทุกคน มันดังอยู่ในรถเรานี่แหละแอร์ก็หนาวเยือกลงกะทันหัน!

ทันใดนั้น พ่อของฉันมีอาการแปลกไป ไม่เหมือนคนเดิม...คนที่ขับรถดี ใจเย็น ระมัดระวังเรื่องความปลอดภัยเสมอมา แต่ตอนนี้พ่อฮึดฮัด ถอนใจเหมือนโมโหอะไรสักอย่าง มือกำพวงมาลัยแน่นและเหยียบคันเร่งปาดซ้ายปาดขวา แซงคันแล้วคันเล่าอย่างน่ากลัว...แม่เอ็ดตะโรให้พ่อหยุด แต่ดวงตาพ่อจ้องเขม็งไปข้างหน้า เกร็งไปทั้งตัวเหมือนอยากกินเลือดกินเนื้อใคร สักคน

เจ้าลูกอมตัวสั่นเหมือนฉันกับน้องชาย แม่นึกยังไงไม่รู้ ถอดสร้อยพระของแม่ไปคล้องคอพ่ออย่างฉับไว รถไถลไปตรงไหล่ทางแล้วจอดสนิท

พ่อบอกว่าหน้ามืดไปเฉยๆ และกึ่งรู้ตัวกึ่งไม่รู้ตัว ไม่เคยเป็นอย่างนี้เลย แม่บอกให้พ่อตั้งสติดีๆ อย่าถอดพระ ค่อยๆ ประคองไปเรื่อยๆ พ่อทำตาม แต่พวกเราใจไม่ดีเลยค่ะ...ฉันกลัวแทบร้องไห้

อย่างไรก็ตาม เรามาถึงบ้านคุณปู่คุณย่าอย่างปลอด ภัย เราคุยกันถึงเรื่องรถด้วย ปรากฏว่าก็คิดเช่นเดียวกับฉัน ว่ารถคันนี้มันยังไงก็ไม่รู้

คุณย่าพาเราไปวัดที่รู้จักมักคุ้นกันอย่างดี และขอให้พระท่านช่วยพรมน้ำมนต์ ปัดรังควาน คนแก่ในวัดคนหนึ่งที่นั่งทางในได้ บอกกับเราว่ารถคันนี้เคยชนคนตาย...เป็นรถที่มีพลังในด้านมืด!

เมื่อเรากลับกรุงเทพฯ พ่อก็บอกเราว่าไม่ไหวแล้ว ไม่สบายใจ...ในที่สุดก็จัดการขายรถคืน และฉันกับน้องก็ใช้บริการรถเมล์กันตามเคย เราไม่รู้สึกลำบากเลยสักนิด โล่งใจด้วยซ้ำ...ถึงยังไงก็ยังดีกว่ามีรถผีสิงอยู่ในบ้าน จริงมั้ยคะ?





ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ ข่าวสด

ควายธนู

"แพรทอง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากอิทธิฤทธิ์ของควายธนูเมืองกำแพงฯ

เมื่อเอ่ยถึงเครื่องรางของขลังชนิดหนึ่ง ที่คนไทยเราเชื่อถือกันมาตั้งสมัยโบราณ นั่นคือ "ควายธนู" เชื่อว่าบางท่านคงจะเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน แต่อีกหลายๆ ท่านอาจจะงุนงง ไม่ทราบว่าเป็นอะไรกัน?

ถ้ากล่าวรวมๆ ถึงเครื่องรางแล้ว ควายธนูถือเป็นของขลังชนิดหนึ่ง พอๆ กับหุ่นพยนต์หรือกุมารทองนั่นแหละค่ะ ประโยชน์คือใช้ป้องกันตัวเองและครอบครัว หรือไม่ก็ใช้ทำร้ายศัตรู ส่วนจะมากน้อยเพียงไรก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของเรา

สมัยเด็กดิฉันอยู่จังหวัดกำแพงเพชร หรือ "เมืองชากังราว"

เป็นบ้านเมืองเก่าแก่มากๆ รุ่งเรืองมาตั้งแต่สมัยทวารวดี เป็นที่ตั้งของเมืองโบราณหลายเมือง เช่น ชากังราว, นครชุม, ไตรตรึงษ์และเมืองเทพนคร เป็นต้น

กำแพงเพชรเป็นเมืองหน้าด่านของสุโขทัย เดิมชื่อชากังราว มีฐานะเป็นเมืองลูกหลวง เป็นเมืองที่ต้องรับศึกสงครามในอดีต ปรากฏหลักฐานอยู่ทั้งกำแพงคูเมือง, ป้อมปราการและวัดโบราณ เป็นเสน่ห์ดึงดูดใจให้นักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศไปเยี่ยมชมเป็นประจำ

สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงบันทึกเรื่องเมืองกำแพงฯ ไว้ว่า

"เป็นกำแพงเมืองที่เก่าแก่มั่นคง และยังมีความสมบูรณ์มาก และเชื่อว่าสวยงามที่สุดในประเทศไทย"

พวกเราชาวกำแพงฯ ล้วนมีความภูมิใจมากค่ะ เมื่อองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมสหประชา ชาติ (UNESCO) ให้ขึ้นทะเบียนไว้ในบัญชีมรดกโลก เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ.2534

ขออวดคำขวัญประจำจังหวัดกำแพงเพชรหน่อยนะคะ

"กรุพระเครื่อง เมืองคนแกร่ง ศิลาแลงใหญ่ กล้วยไข่หวาน น้ำมันลานกระบือ"

เมืองกำแพงฯ โด่งดังทั้งเรื่องพระเครื่องสุดยอด กับกล้วยไข่อร่อยสุดๆ ครอบครัวดิฉันทำสวนกล้วยไข่มาหลายชั่วคนแล้วค่ะ กินกระยาสารทกับกล้วยไข่ ถ้าเป็นคนสมัยนี้ก็ต้องบอกว่า...เป็นอะไรที่อร่อยสุดๆ ซะไม่มี!

ขณะนั้น พ่อกับลุงเป็นคนดูแลสวนกล้วย ส่วนอายังเป็นวัยรุ่น เพื่อนเยอะ นิสัยชอบเที่ยวเตร่แทบทุกวัน พวกพี่ๆ คือพ่อกับลุงก็ตามใจเห็นว่าเป็นน้องคนเล็ก แต่ปู่ดิฉันบอกให้ช่วยกันตักเตือนดูแล หาไม่จะนำเรื่องเดือดร้อนมาให้

จริงด้วยค่ะ วันหนึ่งพบว่ากล้วยในสวนถูกฟันยับ ทั้งที่ยังเครืออ่อนๆ อยู่ทั้งนั้น!

ได้ความว่าอาเล็กไปมีเรื่องกับพวกในสวนใกล้ๆ เลยโดนแก้แค้นด้วยวิธีนี้ ปู่บอกให้ทำเฉยๆ ไว้ จะจัดการป้องกันให้เอง ไม่ต้องกลัว!

ปู่ดิฉันอายุหกสิบเศษแล้ว ได้ชื่อว่าเก่งกาจทางคาถาอาคมและวิชาไสยศาสตร์รอบตัว ห้องของปู่อยู่ริมสุด ไม่ค่อยมีใครกล้าไปนอกจากปู่เรียก ดิฉันเคยเข้าไปเมียงๆ มองๆ เห็นอับทึบมีโต๊ะหมู่บูชากับมีดและไม้ หน้าโต๊ะมีกระบอกไม้ไผ่ผ่าครึ่ง ดาบเล่มใหญ่แขวนไว้ที่ข้างฝา

วันต่อมา สวนเราก็โดนบุกรุกมาฟันกล้วยทิ้งแบบรังแก แต่คราวนี้ไม่มากเหมือนครั้งแรก พ่อกับลุงไปดูแล้วบอกว่าเห็นเลือดหยดเป็นทางแล้วหายไป

ปู่ชวนพวกเราเดินไปเรื่อยๆ ราวกับจะรู้จุดหมายดี นั่นคือบ้านลุงขำกับป้าถ้วน ได้ยินเสียงครางโอยๆ มาจากในเรือน สองผัวเมียออกมาคุกเข่าไหว้ปู่ บอกว่าขอชีวิตลูกชายด้วยเถิด ต่อไป "ไอ้แผ้ว" คงจะไม่กล้าไปลองดีที่สวนของเราอีกแล้ว

ดิฉันได้ยินปู่สั่งให้เรียกนายแผ้วออกมา...คู่อริของอาเล็กนั่นเอง!

นายแผ้วยกมือไหว้ขอโทษ เห็นเลือดซึมที่ชายโครงขวาเป็นดวงๆ ปู่สั่งให้ลุงขำกับป้าถ้วนชดใช้ค่าเสียหาย ทั้งสองก็ทำตามโดยดี

ก่อนจะกลับ ปู่ส่งขวดน้ำมันเล็กๆ เท่าขวดยานัตถุ์ให้ บอกว่าใช้ทาแผล...ถ้าขืนทำชั่วอีกครั้งมีหวังโดนควายขวิดไส้ทะลัก ตายคาที่แน่ๆ เล่นเอานายแผ้วหน้าขาวซีด ตัวสั่นเทาไปเลยค่ะ

เมื่อกลับถึงบ้าน พ่อกับลุงแยกกันไปทำงานเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปู่พาดิฉันเข้าไปในห้อง หยิบควายตัวเล็กๆ จากพานหน้าโต๊ะพระ เป็นควายที่ทำจากฟางข้าว มัดด้วยเชือกขาวๆ ทั้งตัว...คิดว่าคงเป็นสายสิญจน์แน่ๆ มาให้ดิฉันดู

เมื่อเห็นดิฉันยังงุนงง แต่ทำหน้าแหยงๆ ปู่ก็ยิ้มแล้วบอกว่า...นี่ไง ควายธนูที่ปู่ส่งมันไปเฝ้าสวนเมื่อคืนนี้เอง

ดิฉันหายสงสัยแล้วเมื่อเห็น "เขา" ข้างหนึ่งของ "ควายธนู" ยังมีเลือดแดงๆ ติดอยู่...และติดหูติดตาดิฉันมาจนถึงทุกวันนี้เลยค่ะ!





ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ ข่าวสด

'ดี-ร้าย' ใจกำหนด ??

คนไทยเราให้ความสนใจกับเรื่องราว “ความเชื่อ” ที่สืบทอดกันมาเรื่อย ๆ นับแต่โบราณกาลจนปัจจุบัน ดังนั้น...แม้เมืองไทยยามนี้จะมีปัญหาใหญ่ ๆ ทั้งทางการเมือง-เศรษฐกิจ-สังคม ที่น่าเป็นห่วง แต่...กระแส “นกแสกผี” ก็สามารถที่จะแทรกเข้ามาครองพื้นที่ความสนใจของคนไทยได้อย่างแพร่หลายในวง กว้าง

“ลางบอกเหตุ” “ลางดี-ลางร้าย” ยังมีคนไทยเชื่อกันอยู่ และกับ “สัตว์” คนไทยก็เชื่อกันว่า “บอกเหตุ” ได้ ?!? ทั้งนี้ กรณี “สัตว์บอกเหตุ” เป็นลางดี-ลางร้ายนี้ ก็มีสัตว์หลายชนิดที่เชื่อกันว่าบางพฤติกรรมของมันนั้นสามารถบ่งบอกสิ่งที่ จะเกิดได้ ซึ่งจะว่าไปแล้วกรณีที่มีการพิสูจน์หรือติดตามเก็บข้อมูลกันอยู่ในเชิง “วิทยาศาสตร์” ที่เกี่ยวโยงกับ “ปรากฏการณ์ธรรมชาติ” ก็ดูจะคล้าย ๆ กันอยู่เหมือนกัน ไม่ ว่าจะเป็นสัตว์อย่าง... มด, แมลงต่าง ๆ, กบ, หิ่งห้อย, นก, สัตว์ป่าต่าง ๆ ฯลฯ กับการที่จะเกิด... ฝนตก, น้ำท่วม, น้ำป่า หรือแม้แต่ แผ่นดินไหว

อย่างไรก็ตาม กล่าวสำหรับความเชื่อของคนไทยเรื่องลางดี-ลางร้ายที่จะเกิดกับคนอันเนื่อง จากพฤติกรรมของสัตว์นั้น ก็ยกตัวอย่างเช่น... จิ้งจก ก็มีความเชื่อเรื่องจิ้งจกร้องหรือ “จิ้งจกทัก” ก่อนจะออกจากบ้าน ก็จะมีทั้งแบบที่เชื่อว่าเป็นลางดีและลางร้าย ซึ่ง “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” เคยนำเสนอไปบ้างแล้วเมื่อไม่นานมานี้

ตุ๊กแก เมื่อมาอยู่ในบ้าน คนโบราณส่วนหนึ่งเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับวิญญาณบรรพบุรุษมาช่วยคุ้มครอง แต่ถ้า “ตุ๊กแกร้องตอนกลางวัน” ตั้งแต่เช้ามืดถึงก่อนพลบค่ำ เชื่อว่าเป็นการบอกเหตุร้าย และบางคนก็มีสูตรความเชื่อนอกเหนือจากนี้โดยนับจำนวนครั้งการร้องของตุ๊กแก แล้วจึงตีความว่าเป็นลางดีหรือลางร้ายกันแน่

แมว และสัตว์อื่น ๆ ถ้าเป็น สีดำ ถ้าก่อนออกจากบ้านมันวิ่งตัดหน้าจากด้านขวาไปซ้าย เชื่อกันว่าเดินทางจะมีอันตราย เจออัปมงคล ต้องแก้เคล็ดโดยเปลี่ยนไปออกทางอื่น และกับ “แมวดำ” ใครเคยดูหนังไทยแนวผี ๆ สมัยก่อนคงจะคุ้น ๆ กับฉากแมวดำกระโดดข้ามโลงศพแล้วทำให้เกิด “ผีเฮี้ยน”

ผึ้ง ถ้า “ผึ้งทำรังในเขตบ้าน” เชื่อว่าเจ้าของบ้านจะมีโชค และเชื่อว่าถ้าไปไล่ทำลายรังจะเกิดหายนะ, สัตว์ป่าต่าง ๆ ถ้าเข้ามาในเขตบ้านจากทางทิศเหนือและตะวันตก เชื่อว่าจะให้ลาภ แต่ถ้าเป็นทิศอื่น ๆ จะอัปมงคล, ตัวเงินตัวทอง-ตะกวด-เหี้ย เชื่อว่าเป็นอัปมงคล แต่ถ้าเข้าบ้านให้พูดแต่สิ่งดี ๆ ก็เชื่อว่าจะแก้เคล็ดให้เกิดสิ่งดี ๆ ได้ ที่ว่ามาก็ตัวอย่างความเชื่อเรื่อง “สัตว์บอกเหตุ” และกับ “นก” ก็มีความเชื่อเรื่องการ “บอกเหตุ” เช่น... “นกถ่ายมูลรดหัว” จะเป็นนกอะไรก็ตาม ถ้าคนอยู่บริเวณบ้านแล้วนกบินมาถ่ายรดหัว เชื่อว่าจะมีเหตุร้ายให้เดือดร้อน และถ้ากำลังจะออกจากบ้านแล้วโดนนกถ่ายรดหัว เชื่อว่าจะไปเจออันตราย อุบัติเหตุ

อีกาดำ จริง ๆ แล้วกาชนิดต่าง ๆ เป็นนกที่อายุยืน แต่กลับมีความเชื่อว่า “กาดำเป็นนกนำสารจากดินแดนแห่งความตาย” บางคนก็มองมันเป็นสัญลักษณ์ของความ “ดุร้าย-สกปรก-ขี้ขโมย” ซึ่งกับสถานที่สำคัญ ทางการเมืองของไทยอย่าง ทำเนียบรัฐบาล ก็เคยมีอีกาดำมาทำพฤติกรรมแปลก ๆ ให้ฮือฮา ให้วิพากษ์วิจารณ์กันอยู่เนือง ๆ อย่างเช่นบินมาจิกตีกันบนยอดตึกไทยคู่ฟ้า ภายในทำเนียบฯ

กับ พฤติกรรมแปลกของนกที่เกิดที่ทำเนียบฯ ก็เคยมีเหตุ “นกเอี้ยงตามจิกตีตัวเหี้ยขนาดใหญ่” ราวกับโกรธแค้นสุด ๆ ซึ่งก็วิจารณ์กันแซดว่าเป็นอาเพศ-ลางไม่ดี และนักการเมืองซีกรัฐบาลขณะนั้นก็ถูกแนะนำให้แก้เคล็ด

สำหรับ นกแสก นี่ดูจะโดนหนักหน่อย เพราะถูกเชื่อว่าเป็น “นกผี” ซึ่งนอกจากกรณีที่เพิ่งเป็นข่าวดังแล้ว โบราณก็เชื่อกันว่าถ้านกแสกบินผ่านหลังคาบ้านแล้วร้อง หรือเกาะหลังคาบ้านไหน “เป็นลางบอกเหตุว่าจะมีคนตาย” ซึ่งก็มีเรื่องเล่าที่ไม่มีการยืนยัน ประมาณว่าบางคนกำลังป่วยหนักอยู่ พอเจอลางแบบนี้ก็ยิ่งใจเสียไปเลย !!

ทั้งนี้ กับเรื่องลางบอกเหตุจากสัตว์นี้ ถ้าจะว่ากันในเชิงจิตวิทยา ดร.วัลลภ ปิยะมโนธรรม นักจิตวิทยา บอกว่า... ถ้าเป็นเรื่องของเสียงนกแสกที่ร้องตอนกลางคืน ทางด้านจิตวิทยาแล้วเสียงจะเป็นรูปธรรม เป็นเหมือนตัวแทนของอารมณ์ ซึ่งความมืดของเวลากลางคืนที่เงียบสงัดจะควบคู่กับความกลัวของมนุษย์อยู่ แล้ว ยิ่งมีเสียงร้องที่ฟังดูน่ากลัวของสัตว์ต่าง ๆ ก็ยิ่งทำให้เป็นการ “กระตุ้นอารมณ์ความกลัวของมนุษย์” ให้มีมากขึ้นไปอีก

นักจิตวิทยา ระบุอีกว่า... เรื่องของเสียงนั้นเป็นเรื่องของความรู้สึกทางความคิด เมื่อมีเสียงที่กระตุ้นอารมณ์กลัว จิตของมนุษย์ก็จะอุปาทานไปเอง ทำให้เกิดอาการ “หลอน” ได้ ยิ่งเป็นเสียงร้องของสัตว์ในเวลากลางคืนที่มักจะฟังดูโหยหวน ก็ยิ่งกระตุ้นความกลัวของมนุษย์ เพราะเสียงโหยหวนจะคู่กับความน่ากลัว อย่างเช่นเสียงของสุนัขที่เห่าหอนหาคู่ในเวลากลางคืนที่มีผลกับอารมณ์ของคน “ทำให้นึกถึงเรื่องผี” ก็คล้าย ๆ กรณีเสียงนกแสก

“ความเชื่อว่า พฤติกรรมของสัตว์เป็นลางบอกเหตุ มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ และไม่ได้มีเฉพาะในประเทศไทย แต่มีอยู่ทั่วโลก ซึ่งจากเรื่องความเชื่อนั้น ก็นำไปสู่เรื่องของจิตใต้สำนึกสะสม สัตว์ที่ถูกกำหนดว่าเป็นลางบอกเหตุร้าย อาจจะมีส่วนเชื่อมโยงกับการที่เคยคุกคามมนุษย์ หรือเกี่ยวพันในเหตุการณ์ร้าย ๆ มาก่อน จึงถูกตั้งหรือกำหนดให้เป็นลางบอกเหตุร้าย” ...ดร.วัลลภระบุทิ้งท้ายในทางหลักจิตวิทยา ณ ที่นี้...มิใช่จะมาหักล้างความเชื่อเรื่อง “ลาง-สัตว์บอกเหตุ” เป็นแต่เพียงสะท้อนถึงความเชื่อ...ควบคู่กับศาสตร์จิตวิทยา “ดี-ร้าย” บางทีก็ “จิตใจมนุษย์” นี่แหละ...ที่ “กำหนด”.



ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ ข่าวสด

นรกบนดิน

'แคน' เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากฝันสยองสุดขีด ถึงแม้จะแน่ใจว่ามันเป็นแค่ความฝันเท่านั้น...ความฝันไร้สาระอย่างที่มีคำพูดเก่าๆ ว่า 'กินมากก็ฝันมาก' หรือไม่ก็เป็นเพราะความคิดสับสนฟุ้งซ่านก่อนจะหลับ ทำให้ความคิดที่บางครั้งก็บ้าๆ บอๆ แต่บางคราวก็น่าสยองติดตามไปถึงความฝันก็เป็นได้

ไม่ต้องพูดถึงทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ ที่เชื่อว่าเกิดจากความทรงจำเก่าๆ ที่เราคิดว่าลืมไปแล้ว แต่ในสมองซีกที่เก็บความจำไว้ไม่ได้หลงลืมไปด้วย จนถึงความวิตกกังวลต่างๆ ก็ทำให้เก็บมาฝันได้เป็นตุเป็นตะ

คนโบราณเชื่อว่าความฝันก็เป็นลางบอกเหตุชนิดหนึ่ง ที่มาตักเตือนหรือบอกกล่าวให้รู้ล่วงหน้าว่ากำลังจะมีอะไรเกิดขึ้น! จึงทำให้มีผู้รู้ซึ่งมักเป็นคนชราเป็นผู้ 'แก้ฝัน' คือทำนายว่าฝันอย่างนี้จะเป็นอย่างนั้น เช่น สาวโสดฝันเห็นงูจะต้องได้พบเนื้อคู่ ยิ่งเห็นงูนั้นมารัดเนื้อรัดตัวจนตระหนกอกสั่น ถึงกับร้องวี้ดว้ายจนสะดุ้งตกใจตื่น...เชื่อได้เลยว่าจะต้องได้แต่งงานในเร็ววัน

ใครฝันเห็นอาจมหรือสิ่งโสโครก ยิ่งในฝันนั้นรู้สึกขยะแขยงมากแค่ไหน รับรองว่าจะได้รับโชคลาภก้อนใหญ่แน่นอน! เพื่อไม่ให้เสียเวลาของท่านผู้อ่าน ผมขอเล่าความฝันน่าขนหัวลุกของตัวเองสู่กันฟัง...รับรองว่าแปลกประหลาดสุดๆ แถมไม่เคยพบเห็นว่ามีการทำนายทายทักเกี่ยวกับความฝันพิลึกกึกกืออย่างความฝันของผมอีกต่างหาก

คืนเกิดเหตุเป็นเวลาที่ฝนตกพรำๆ มาตั้งแต่หัวค่ำ ผมเข้านอนในห้องชั้นล่างเพียงผู้เดียวตามประสาชายโสดที่เพิ่งเรียนจบมาได้ปีเศษๆ อาศัยอยู่กับพ่อแม่ในบ้านแถวตรอกจันทน์นี่เอง

ฤดูฝนอาจจะทำให้รถราติดขัดไปไหนมาไหนไม่สะดวก แต่ดีอย่างที่อากาศเย็นสบาย ขึ้นเตียงได้ไม่นานก็หลับอุตุ จมดิ่งลงไปในห้วงเหวมืดดำ ร่างกายได้พักผ่อนหย่อนคลาย หยุดพักจากการโลดเต้น วุ่นวายด้วยปัญหาต่างๆ ตามวิสัยของมนุษย์ทั่วไป

จู่ๆ ผมก็ไปเดินเตร่อยู่แถวสถานีขนส่งต่างจังหวัด ขณะนั้นเป็นเวลาบ่ายแดดครึ้ม ไม่รู้ว่าตัวเองไปมายังไงหรอกครับ แต่รู้แน่ว่ากำลังรอรถบขส.กลับกรุงเทพฯ รู้ด้วยว่าอยู่จังหวัดหนึ่งในภาคกลางตอนเหนือ แต่ขอไม่เอ่ยชื่อในที่นี้เพื่อความเหมาะสม เพราะอาจจะมีปัญหาติดตามมาง่ายๆ

ผู้คนค่อนข้างบางตา กระจัดกระจายอยู่ในตลาดเวิ้งว้าง ไม่มีใครสนใจใคร ผมเดินตรงเข้าไปจนสุดทางก็เห็นศาลเจ้าทึบๆ ตั้งเด่น แต่ทางด้านขวามือนั้นก็มีสิ่งหนึ่งสะดุดตาสะดุดใจอย่างจังๆ

โลงศพที่ตั้งแบบขวาง มีดอกไม้และธูปเทียนส่งกลิ่นหอมเอียนๆ มาด้วย เห็นแล้วรู้สึกปากคอแห้งผากชอบกล รีบหันกลับจะออกเดินไปทางเก่า ที่อาจจะเลี้ยวซ้ายไปทะลุออกถนนอีกสายหนึ่งได้...แต่แล้วก็ต้องชะงักงันอยู่กับที่

เอี๊ยดดดด....!!

เสียงบาดหูทำให้หันขวับไปมองก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อเห็นฝาโลงขยับเขยื้อน แล้วหลุดผลัวะออกมาจนเห็นเท้าและท่อนขาขาวซีดคู่หนึ่งกำลังขยับไปมา...ก่อนที่จะลุกโงนเงนน่าขนลุก

ศพผู้หญิงผมยาว! ผมจ้ำอ้าวมาจนถึงทางแยกแคบๆ แบบในตลาดทั่วไป หางตายังเหลือบเห็นร่างที่มีผ้าขาวพันรอบคล้ายๆ ตราสัง ดูเผินๆ เหมือนมัมมี่ เดินโยกเยกมาทางเดียวกับผม แต่ไม่เห็นมีใครที่ผ่านไปมาแสดงความตื่นเต้นหรือสนอกสนใจแม้แต่คนเดียว

จนกระทั่งผมชนโครมเข้ากับใครคนหนึ่ง!

คุณพระช่วย เป็นร่างสูงใหญ่ของเด็กสาวไว้ผมม้า ผิวขาว นัยน์ตาแคบยาว ใบหน้าปุปะด้วยปลาสเตอร์ กำลังกอดรัดผมเอาไว้แน่นหนาจนดิ้นไม่หลุด กลิ่นเหม็นสาบสางคละคลุ้ง...ไม่มีใครหันมองตามเคย

'ขอเงินกินข้าว...เอาเงินมา...' เสียงแหบโหยดังคล้ายคำรามเบาๆ ผมเหงื่อแตกพลั่ก ใจเต้นโครมคราม รีบควักกระเป๋าเสื้อหยิบแบงก์ใบละ 20 ส่งให้ด้วยมือสั่นเทา...มัมมี่ก็ก้าวเข้ามาหยุดอยู่ใกล้ๆ คราวนี้กลิ่นเหม็นเน่ายิ่งเล่นงานจนผมแทบจะเป็นลม!

'เอามาอีก...' เสียงกระหึ่มของมัมมี่ดังขู่เข็ญ กระชากแบงก์ใบละ 50 บาทจากกระเป๋าผมแล้วยัดใส่มือเด็กสาวผู้มีหน้าตาและสารรูปไม่แตกต่างกับผีนรก...น่าสยดสยองพองขนพอกัน

ผมขบฟันกลั้นเสียงสะอื้น...เหลียวหาคนช่วยเหลือแต่ไม่พบเลย ราวกับคนอื่นๆ มองไม่เห็นเหตุการณ์สยองที่กำลังอุบัติขึ้นต่อหน้าต่อตา...จนกระทั่งมัมมี่เดินโยกเยกไปทางด้านซ้ายโดยไม่สนใจอะไรอีกต่อไป ผมได้แต่หลุดปากว่า...ผีนั่นลุกจากโลงมาได้ยังไง?

'ไม่ต้องยุ่ง! อีนั่นมันเพ้อเจ้อไปวันๆ อย่าเสือก!'

และแล้วผีสาวก็ผลักผมโครมเดียวหงายหลังผลึ่ง ก่อนจะทะลึ่งขึ้นมาร้องโหวกโหวยอยู่บนเตียงตัวเอง...ตัวสั่นงันงกจนหลับไม่ลงทั้งคืน ทุกวันนี้ผมยังกลัวว่าจะฝันแบบนั้นอีกเลยครับ!



ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ ข่าวสด

วิญญาณแม่

'พัชรา' เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากวันสอนพิเศษ

ดิฉันเป็นครูโรงเรียนประถมแห่งหนึ่งกลางกรุงเทพฯ นี่เองค่ะ เป็นโรงเรียนเอกชนแต่ค่าเทอมไม่แพงมาก ดังนั้นจึงมีผู้คนทุกระดับพาลูกหลานมาเรียน แม้จะมีแค่ชั้นอนุบาลถึงประถมศึกษาปีที่ 6 เท่านั้นก็ตาม

ผู้ปกครองล้วนวางใจในการเรียนการสอนที่นี่ ซึ่งเป็นที่เลื่องชื่อว่าวิชาแข็งและเข้มข้น เด็กที่เรียนจบ ป.6 จะเป็นเด็กเก่งพร้อมเรียนต่อระดับมัธยม ไม่ว่าจะไปสอบเข้าที่ไหนก็ไม่ผิดหวัง

ดิฉันเป็นครูสอนวิชาภาษาไทย และทำหน้าที่ประจำชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ด้วยค่ะ เด็กห้องดิฉันอยู่ระดับปานกลางแต่นิสัยไม่เครียดและก็ไม่ดื้อ เกือบทุกคนจะเรียนพิเศษตอนเย็น ซึ่งปกติโรงเรียนจะเลิกสามโมงครึ่ง แต่พวกเรียนพิเศษจะเลิกตอนห้าโมงเย็น จะว่าไปแล้วสิ่งที่สอนก็คือการบ้านนั่นเองค่ะ

เด็กพวกนี้จะทำการบ้านเสร็จที่โรงเรียนเรียบร้อยเลย คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องเหนื่อยเคี่ยวเข็ญเองที่บ้าน ได้ข่าวว่าถ้าให้ไปทำการบ้านเองละก็กว่าจะได้นอนก็โน่น...ไม่สองยามก็ตีหนึ่ง คุณพ่อคุณแม่จึงยินดีให้ลูกเรียนพิเศษกันทั้งนั้น

ถึงแม้จะมีกำหนดเวลาว่า การสอนพิเศษตอนเย็นนั้นเลิกห้าโมง แต่ก็มีนักเรียนหลายคนโดยเฉพาะห้องที่เรียนอ่อน ทำการบ้านไม่เสร็จ คุณครูบางคนก็ขยันกวดขัน ทั้งเด็กทั้งครูบางห้องจึงกลับเย็นย่ำค่ำมืด อย่างห้อง ป.6 ของครูติ๊ก ห้องที่เด็กเรียนอ่อนที่สุด คะแนนต่ำและบางคนมีปัญหา

ครูติ๊กเป็นครูที่รักและหวังดีต่อเด็กๆ อย่างยิ่ง ดิฉันรับประกันได้ เธอสู้อุตส่าห์เสียสละเวลาอยู่สอนเด็กๆ อย่างอดทน ส่วนมากกว่าจะกลับได้ก็เกือบทุ่มแน่ะค่ะ ถ้าเป็นฤดูร้อนก็ค่อยยังชั่วเพราะฟ้าจะเริ่มมืดพอดี แต่ถ้าเป็นฤดูหนาวราวห้าโมงครึ่งก็มืดตึ๊ดตื๋อแล้ว

เรื่องขนหัวลุกของเราเกิดขึ้นในตอนค่ำของเดือนธันวาคมปีกลาย!

วันนั้นดิฉันมีงานเยอะ แม้เด็กนักเรียนห้องดิฉันจะกลับไปหมดแล้ว แต่ดิฉันก็นั่งตรวจงานต่อ ทั่วทั้งตึกปิดไฟหมดแล้ว แต่ดิฉันรู้ว่าห้องครูติ๊กซึ่งอยู่ชั้นบนของดิฉันยังมีนักเรียนเหลืออยู่อีก 2-3 คน ครูติ๊กบอกว่าถ้าเสร็จแล้วจะมาตามดิฉันเองเพื่อกลับบ้านด้วยกัน

บ้านเราไปทางเดียวกันค่ะ บางทีเราอาจจะแวะไปกินข้าวแถวๆ นี้ก่อนก็ได้

หนึ่งทุ่มสิบห้านาทีครูติ๊กเดินลงมา สีหน้าท่าทางเธอเหนื่อยไม่เบาเลย ดิฉันรีบเก็บข้าวของแล้วหยิบกระเป๋าเดินออกจากห้อง โดยปิดไฟและปิดประตูเรียบร้อย จากนั้นก็ลงบันไดกันมาสองคน ลานตึกข้างล่างโล่งยาวตลอด ดูมืดสลัวเพราะเปิดไฟนีออนไว้แค่ดวงเดียว

ทันใดนั้น ดิฉันเหลือบไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งรูปร่างท้วมๆ ผมดัดสั้นพองฟู สวมชุดทำงานแบบราชการ นั่งอยู่ที่เก้าอี้ซึ่งเป็นที่นั่งของบรรดาผู้ปกครอง เธอนั่งเพียงลำพังในบรรยากาศเงียบเหงาวังเวง เราต้องเดินผ่านเธอในระยะใกล้ และขณะที่กำลังจะถึงตัวเธอครูติ๊กก็สะดุ้งโหยง ชะงักฝีเท้าอย่างตกอกตกใจ สีหน้าเหมือนถูกผีหลอก ปากสั่นระริก ดิฉันนึกว่าเธอตกใจที่จู่ๆ ก็เห็นผู้ปกครองมานั่งอยู่อย่างนั้น

'คุณแม่ยังไม่กลับเหรอคะ? ลูกอยู่ไหนล่ะคะ?' ดิฉันถามแต่ครูติ๊กกระตุกมืออย่างแรง เธอหลับตาปี๋แล้วฉุดดิฉันรีบเดินจนแทบวิ่ง มีอาการสติแตก ร้องหวีดแล้ววิ่งเตลิดไปถึงหน้าประตูแล้วล้มลงกองกับพื้นถนน...

คุณพระช่วย! ครูติ๊กหายใจหอบและเริ่มร้องไห้ แต่ก็ยังละล่ำละลักให้ดิฉันรีบเรียกแท็กซี่ ดิฉันประคองเธอลุกขึ้น พอดีแท็กซี่แล่นมาคันหนึ่ง ไม่ช้าเราก็นั่งรถออกจากหน้าโรงเรียน อาการครูติ๊กค่อยดีขึ้นหน่อย เธอขอให้ดิฉันตามไปส่งถึงบ้าน ดิฉันก็ไม่ขัดข้อง

เมื่อถึงบ้านครูติ๊ก เธอกินยาลมและนั่งสงบสติอารมณ์พักใหญ่ จากนั้นก็เล่าให้ฟัง

'ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่คน! เขาตายแล้ว...' ครูติ๊กเสียงระโหยเต็มที...

เรื่องมีอยู่ว่า เธอผู้นั้นเป็นคุณแม่ของเด็กนักเรียนชั้นป.6 เมื่อสองปีก่อน เด็กคนนี้มีปัญหาทางบ้าน พ่อแม่แยกกัน เด็กซึมเศร้า ไม่เรียน ไม่ทำการบ้าน ครูติ๊กจึงเชิญเธอมาในเย็นวันหนึ่งเพื่อคุยกันเรื่องนี้ แต่เธอถูกรถชนตายคาที่ ครูติ๊กจึงรู้สึกผิดมาตลอด...ถ้าไม่ใช่เพราะเชิญเธอมา เธอก็คงไม่ตายสยองอย่างนี้หรอก

ครูติ๊กจำได้แม่น เพราะยามมีชีวิตอยู่ได้คุยกันเสมอ!

ดิฉันฟังแล้วทั้งกลัวทั้งสงสาร มันสะเทือนใจอย่างบอกไม่ถูก สิ่งที่เราเห็นแสดงว่าเธอยังห่วงลูกของเธออย่างมาก จิตใจเธอผูกพันกับการมาคอยรับลูกอยู่เสมอ แม้จะเหลือเพียงวิญญาณ...เธอจะรู้ไหมนะว่าลูกเธอได้เข้าโรงเรียนมัธยมแล้ว และกำลังเรียนอยู่ชั้น ม.2

ดิฉันกับครูติ๊กเป็นไข้สูงกันทั้งคู่ในวันรุ่งขึ้น...และจากนั้นมาเราไม่ยอมกลับบ้านค่ำๆ มืดๆ อีกเลย ห้าโมงปุ๊บปิดหนังสือ บอกเด็กๆ กลับบ้านทันทีและอย่างเคร่งครัดเชียวละค่ะ!







ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ ข่าวสด

บ้านที่ ผี วิญญาณ ชอบอยู่

เคยสงสัยมั้ยว่าทำไมบ้านบางหลังถึงมีคนเจอผีบางหลังไม่เคยเจอ เป็นไปได้มั้ยว่าลักษณะของบ้านที่แตกต่างกันเป็นตัวกำหนด เหมือนกับคนเราบางคนชอบบรรยากาศแบบภูเขา บางคนชอบทะเล ผีเองก็เคยเป็นคนมาก่อนรสนิยมที่ว่าก็เลยติดตัวไป ทำให้ผีเลือกบ้านที่ตัวเองชอบ และนี่คือสุดยอดเคล็ดลับ “จัดบ้านอย่างไรให้ผีชอบอยู่ หรือวิธีการสร้างบ้านผีสิง นั่นเอง” พร้อมแล้วไปดูกันเลย

1.เลือกทำเลอาถรรพ์เช่น บ้านตรงกันข้ามโบสถ์ วิหาร วัด ศาลเจ้า โรงพยาบาล สุสาน เสา เครื่องหมายจราจร มีปล่องไฟ เป่าลมพุ่งมาหาบ้าน หรือที่เปลี่ยวๆห่างจากชุมชน ถ้าบ้านใครอยู่ในที่ดังกล่าว เรียกได้ว่ามีชัยไปกว่าครึ่งในการเชิญผีมาอยู่เลยทีเดียวล่ะ

2.สร้างด้วยไม้เป็นหลัก สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเรื่องของความเป็นธรรมชาติ เพราะต้นไม้ก็เป็นสิ่งมีชีวิตประเภทหนึ่งเหมือนกัน และในบ้านมีเสาเอกให้ด้วยก็แหล่มเลย

3.ทำบริเวณบ้านให้รกครึ้มไปด้วยแมกไม้พฤกษานานาพันธุ์ แถมด้วยต้นไม้ต้องห้ามประเภท ตะเคียน ไทร ซ่อนกลิ่น อะไรพวกนี้ยิ่งถูกใจสุดๆ

4. ฝืนหลักฮวงจุ้ยเท่าที่สามารถทำได้ ยิ่งเยอะยิ่งชอบอยู่ ในศาสตร์ทางวิชาฮวงจุ
้ยได้กล่าวถึงลักษณะของบ้านที่มักจะมีผีหรือคนในบ้านมักจะเห็นผี ดังนี้

- ประตูหน้าบ้านมีพลังอิมมาก หมายถึงมีความมืดมาก และทิศทางของหน้าบ้านหันไปทางทิศ ตะวันตกเฉียงใต้ ตรงช่วง 210 องศา-240 องศา หรือหันไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ตรงช่วง 30 องศา-60 องศา ซึ่งทางฮวงจุ้ยจะเรียก 2 ทิศทางนี้ว่า ประตูผี


- บ้านที่มีแสงสว่างไม่พอ ภายในบ้านมีบรรยากาศมืด ๆ สลัว ๆ โดยเฉพาะทิศ ตะวันตกเฉียงใต้และทิศ ตะวันออกเฉียงเหนือมีความมืดมาก ก็จะกระตุ้นให้เกิดพลังอิมมากขึ้น โอกาสเจอผีก็มีสูงตามไปด้วย

- บ้านที่มีรูปทรงของบ้านยาวกว่าปกติ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นบ้านธาตุไม้ อาทิเช่น บ้านห้องแถวมี ทางเดินตรงกลางมืด ๆ ผีก็ชอบอยู่ด้วย

- การสร้างห้องพระตรงกับห้องน้ำ, ประดับประดาด้วยของอัปมงคลต่างๆเช่น เขากระทิง นอแรด, การทำกำแพงให้เก่าสกปรกขึ้นราและทุกวิถีทางที่ทำให้บ้านโทรมที่สุด ฯลฯ


เป็นยังไงกันบ้างสำหรับ การจัดบ้านให้น่าอยู่(สำหรับผี) เป็น D.I.Y. ที่ใครก็ทำได้ ลองทำกันดูนะ อย่าลืมส่งต่อให้คนที่ท่าน(ไม่)รัก ขอให้มีความสนุกกับเพื่อนใหม่ในบ้านนะ........โบร๋ววววว

เหตุเกิดเพราะลองดี ZATIKA

เข้าเรื่องเลยน่ะค่ะวันนั้นประมาณวันที่ 29 ม.ค. พวกเราก้อไปดู ZATIKA กัน


มันก้อเหมือนเคยชอบไปดูบ้างร้างตามพาสาวันรุ่นอ่ะค่ะ ไปถึงก้อจอดรถยืนคุยกะยามที่เฝ้าที่นั้นว่ามีอะไรเกิดขึ้นข้าง..


สักพักหลานชายยามก้อเดินมามาฟั่งด้วย ก้อเราให้ฟังว่าตอนกลางคืนจะได้ยินเสียงกรีด ด ดบ้างก้อร้องให้ช่วยด้วย...แล้วหลานของยามก้อเอารูปจากโทรศัพท์ให้ดู...ก้อ ตกใจเล็กน้อยค่ะ...ตรงหน้าต่างเหมือนมีคนยืนอยู่ 2 คน อีกบานก้อ้หมือนมีคนยืนอ้าปากอยู่


..ก้อสร้างบรรยกาศดีค่ะ..แล้วเค้าก้อบอกว่าเมื่อ 2-3 วัน ฝรั่งมาถ่ายรูปตรงทางเข้าก้อติดมีคนยืยอยู่ข้างหลังพวกเค้า..ฝรั่งถึงกะ งง ไปเลยค่ะ..พอตอนดึกเราก้อได้มีโอกาสเดินเข้าไปสำรวจภายในกัน..ก้อไม่มีอะไร เกิดขึ้นเเค่รู้สึกอึดอัด


..และมีกลิ่นเหม็นสาปเฉย ๆ พอออกมา ก้อมีอาสากู้ภัยมาถามว่าเป็นไงบ้างเจออะไรหรือป่าวเราบอกว่า..ไม่เจอแค่อึด อัด..พี่เค้าบอกว่า..ก้อใช่สิ..เค้าวิ่งออกมาตรงทางออกนิมันก้อเลยอึดอัด เป็นธรรมดา


..ตรงทางออกตายกันเยอะ..เราก้อขนลุกเลย


..กลับบ้านทันทีไว้จะมาเล่าให้ฟังอีน่ะค่ะยังมีอีก ก*

Credit : www.shockfmclub.com

เขื่อนกินคน

เรื่องนี้เกิดขึ้นที่จังหวัด 101 ในหมู่บ้านเล็กๆนอกตัวเมือง ตอนหนูอายุ 10 ขวบ ตอนนี้หนูอายุ 18 แล้วค่ะ ก่อนอื่นหนูอยากบอกว่า หนูเกิดและโตที่กรุงเทพค่ะ นานๆทีพ่อแม่ จะพาหนูกับพี่กลับไปเยี่ยมย่าที่ต่างจังหวัด


เรื่องมันเกิดขึ้นตอน..หนูกลับไปเยี่ยมย่าที่หมู่บ้าน เผอิญช่วงนั้นเป็นช่วงปีใหม่ ที่หมู่บ้านข้างๆหมู่บ้านหนูมันจะมีเขื่อนเก็บน้ำอยู่ เป็นเขื่อนขนาดใหญ่ เหมือนเขื่อนทั่วๆไปค่ะ ทุกช่วงเทศกาลต่างๆผู้คนมักจะมาเที่ยวเล่นน้ำ


ตกปลาที่นี่กันเป็นประจำ และ หนูก็เป็นอีกคนที่ไปที่นั่น แต่ตอนนั่นหนูยังไม่รู้ประวัติของเขื่อนนี้ วันนั้นหนูไปเล่นน้ำที่เขื่อนกับพ่อ 2 คน หนูขอบอกก่อนว่า..หนูไปที่นั่นเป็นครั้งแรกครั้งแรกที่หนูเข้าไป หนูรู้สึกใจคอไม่ค่อยดีสักเท่าไร


แต่หนูก็ไม่ได้เอะใจอะไรค่ะ ที่เขื่อนมันจะมีภูเขารอบล้อมเป็นแนวยาวมาก จากประตูทางเข้าเขื่อน เราจะมองเห็นถนนเป็นทางเชื่อมจากหน้าประตูไปสู่ตีนภูเขา ที่ตั้งของสำนักงานเขื่อน แล้วบังเอิญวันนั้นที่หนูไปเนี่ยเขาอนุญาตให้มีการตกปลา


เก็บหอย กัน ด้วยความที่เรา 2 คนพ่อลูกไม่รู้ว่าเขาอนุญาตให้ตกปลา เราเลยไม่ได้เอาอุปกรณ์ตกปลาติดมือไปด้วย พ่อเลยถามว่าเอาไง หนูเลยบอกว่าเราเก็บหอยเอาก้อได้นี่ พ่อเลยไปตะเตรียมหาถุงแถวๆนั้นมา 2 ใบ


จากนั้นเรา 2 คนพ่อลูกก็จัดการลงน้ำเก็บหอยกันไปตามปกติ โดยหนูอยู่ห่างจากพ่อประะมาณ 2-3 เมตร ตอนนั้นหนูกำลังก้มเก็บหอยไปเรื่อยๆแล้วอยู่ดีๆหนูก็รู้สึกเหมือนมีใครมาดึง ขาหนู หนูก็สะบัดๆออกจนหลุด


แล้วดำน้ำลงไปดูก็ไม่มีอะไร หนูโผล่จากน้ำขึ้นมาก้มเก็บหอยต่อ รู้สึกเหมือนมีคนมาดึงขาอีก หนูก็สะบัดๆออก เป็นอยู่อย่างนี้ 3 ที พอครั้งที่ 4 ทีนี้แหละค่ะ มันลากหนูลงน้ำ ลากลงไปๆเรื่อยๆ หนุก็ดำผุดดำว่ายขึ้น


ร้องให้พ่อช่วย มีจังหวะหนึ่งตอนใกล้จะจมน้ำหนูเห็นหน้าผู้หญิง ซีดขาว หน้าเขาเหมือนโกรธจัดมาก มือเขาก็ดึงขาหนูไปเรื่อยๆ จากนั้นหนูก็หมดสติไปเลย ตื่นขึ้นมาอีกที เห็นแต่พ่อตบหน้า เรียกหนูอยู่


หนูเรียกพ่อแต่พ่อลุกขึ้นวิ่งไปทางสำนักงานของทางเขื่อนแล้ววิ่งกลับมา พร้อมกับธูปและไม่ขีด พ่อมานั่งคลุกเข่าข้างๆโคกหินแล้วพรึมพร่ำอะไรสักพัก ก็ลุกขึ้นมาหาหนูแล้วบอกว่าจะพากลับ ระหว่างกลับบ้านหนูถามพ่อทำไร


พ่อบอกว่าพ่อขอขมาเจ้าที่เจ้าทางและภูตผีวิญญาณที่อาศัยอยู่ในเขื่อน... พอตกค่ำ หนูเลยไปถามย่า ว่า ที่เขื่อนมันมีอะไรเหรอ ย่าเลยบอกว่าที่เขื่อนอ่ะ เขาเรียกว่าเขื่อนกินคน ผู้คนที่มาจากต่างถิ่นมาเล่นน้ำที่นี่มักจะจมน้ำตาย ก่อนที่หนูมาก็ตายไปเยอะ


ย่ายังบอกอีกว่า วันดีคืนดีถ้าเขื่อนมันอยากกินคน เขื่อนจะกลายเป็นสีเลือด ดึกจะมาเสียงร้องโหยหวนมาก บางคนก็ว่ามีคนไปหว่านแหก็จะได้ยินเสียงปี่ เสียงฆ้อง เสียงกลองอยู่ใต้น้ำลึก บางคนก็ว่าตอนดึกๆวันพระจะมีวิญญาณผู้หญิงเดินอยู่ตามถนนเขื่น


ตามภาพอ่ะค่ะ ตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องหนูก็ไม่ลงเล่นน้ำที่นั่นอีกเลยจนถึงปัจจุบัน

Credit : www.shockfmclub.com

อาถรรพณ์"นรกซานติก้า" ที่ดินนี้มีตำนาน..."เลือด"!

จากที่ดินทำเลทองย่านเอกมัย เพียงชั่วข้ามคืนของวันแรกที่ย่างเข้าสู่ศักราชใหม่ปี 2552 กลับกลายเป็นสุสานของเหยื่อเพลิงนรก นำมาสู่การผูกโยงถึงความเชื่อของชาวบ้านที่อาศัยอยู่ใกล้กับ "สุสานซานติก้าผับ" ด้วยความหวาดผวา และบอกเล่าถึงเรื่องราวอาถรรพณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงลางร้ายบอกเหตุที่อาจจะเป็นสาเหตุที่นำมาสู่โศกนาฏกรรมครั้งนี้


แม้ลางร้ายบอกเหตุจะมีหลายประการ แต่ข่าวลือที่พูดกันว่า ที่ดินบริเวณนี้เคยเป็น "กุโบร์เก่า" หรือ "สถานที่ฝังศพชาวมุสลิม" มาก่อนนั้น กลับไม่ใช่เรื่องจริง!! ตามที่ "ซินแส" ท่านหนึ่งออกมาเปิดเผยต่อสังคม

"สุธี ผลทวี" ทายาทของเจ้าของที่ดินมาตั้งแต่รุ่นดั้งเดิม ออกมายืนยันว่า แม้ที่ดินแถวนี้จะเป็นชุมชนของพี่น้องมุสลิม แต่ที่ดินทั้งหมดนี้เป็นที่มีโฉนด ไม่ใช่ที่สาธารณะ จึงไม่มีทางเป็นกุโบร์เก่ามาก่อนได้

ถึงแม้จะไม่ใช่ที่กุโบร์เก่า แต่ทายาทของเจ้าของที่ดิน เล่าว่า เรื่องราวความเฮี้ยนบนที่ดินผืนนี้ มีการเล่าขานกันมาตลอด โดยเกิดขึ้นหลังจากขายที่ดินให้แก่แม่ทัพเรือที่เข้ามาอยู่เมื่อกว่า 40 ปีก่อน ต่อมาแม่ทัพเรือคนนี้ถูกภรรยาฆ่าตายภายในบ้าน หลังจากนั้น ชาวบ้านก็มักจะเห็นเงาคนเดินไปเดินมาอยู่ในบ้านร้าง จนต้องทำพิธีทางศาสนากันมาตลอด ต่อมาแม้จะมีความพยายามเข้ามาใช้ประโยชน์จากที่ดินผืนนี้หลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยทำสำเร็จ และปล่อยรกร้างว่างเปล่ามานาน ก่อนจะมาเปิดเป็นสถานบันเทิง "ซานติก้าผับ" เมื่อกว่า 5 ปีที่แล้ว

"ที่ตรงนี้เป็นของคุณยายมาก่อน ซึ่งคุณยายขายต่อให้แม่ทัพเรือ ซึ่งท่านเป็นคนเจ้าชู้ ภรรยาจึงเกิดการหึงหวง ต่อมาแม่ทัพเรือคนนี้ถูกภรรยาฆ่าตายภายในบ้าน หลังจากนั้นชาวบ้านก็มักจะเห็นเงาของคนเดินไปเดินมาอยู่ในบ้านร้าง จนต้องมีการทำพิธีทางศาสนากันมาตลอด แม้กระทั่งซานติก้าก็เหมือนกัน ที่ดินตรงนี้แต่เดิมเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน ที่บอกว่าเป็นกุโบร์เก่านั้นไม่ใช่อย่างแน่นอน ที่ดินเดิมของซานติก้าเป็นของคนญี่ปุ่นมาก่อน แต่เจ้าของคนเดิมตายไป ลูกหลานก็เลยให้ซานติก้าเช่าที่ดินผืนดังกล่าว ซานติก้าก็ยังเชิญไปอ่านบทสวดให้ประจำ โดยส่วนตัวไม่เชื่อเรื่องผีปีศาจ แต่ก็ไม่ลบหลู่ แม้ทางซานติก้าไม่ได้ทำพิธีพวกเราก็ทำให้อยู่ดี เพราะอยู่ใกล้กัน ต้องช่วยเหลือกัน" ทายาทเจ้าของที่ดินกล่าว

นอกจากเรื่องราวความอาถรรพณ์ของที่ดินตามความเชื่อแล้ว ลางร้ายบอกเหตุที่เกี่ยวกับการออกแบบภายในซานติก้าผับ ก็เป็นอีกความเห็นหนึ่งที่เจ้าของบ้านฝั่งตรงข้ามซานติก้าผับรายนี้บอกว่า การปรับโฉมใหม่ มีการตกแต่งภายในร้านด้วยไม้กางเขนขนาดใหญ่และทำเลียบแบบโลงศพ ซึ่งเขามองว่าไม่เหมาะสม เช่นเดียวกับป้ายประชาสัมพันธ์งานกู๊ดบาย และเคานท์ดาวน์ขนาดใหญ่ ที่ทางผับออกแบบให้ดีเจมีน้ำตาเป็นสายเลือดและนักร้องมีคราบน้ำตาเป็นสีดำ

"เห็นภาพที่ออกมาเห็นแล้วก็ตกใจ กลัวว่าจะเป็นการบ่งบอกถึงลางร้าย แต่ก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดเหตุร้ายแรงขึ้นขนาดนี้" สุธีกล่าวด้วยอาการสลด

ขณะเดียวกัน ชาวบ้านแถวนี้หลายคนถึงกับนอนไม่หลับ พวกเขายอมรับว่า กลัวเจอผี บ้างก็ยังติดตากับภาพสลดใจที่เกิดขึ้น การแผ่เมตตา หรือแม้แต่ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ตายจึงเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้สบายใจ

อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านส่วนใหญ่ยังเชื่อว่า เหตุร้ายครั้งนี้น่าจะเป็นเพราะอุบัติเหตุและความประมาท มากกว่าจะเป็นเพราะเรื่องราวความอาถรรพณ์ แต่ถึงจะไม่เชื่อ ชาวบ้านละแวกนี้ก็ไม่เคยหลบหลู่ โดยตั้งใจว่าจะหมั่นทำบุญให้ผู้ตายอย่างสม่ำเสมอ และหากเป็นไปได้ ที่ดินผืนนี้ไม่อยากให้มีใครมาสร้างเป็นผับอีก

"เราก็อยู่แบบถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน เขาก็ปฏิบัติกับเราดี เด็กในละแวกนี้ก็มีงานทำ ถึงเวลาที่ร้านของเขาครบรอบก็มีเลี้ยงละแบร์ตามศาสนา ช่วงงานวันเด็กก็มีแจกจักรยานทำอะไรให้ ช่วยเหลือกัน ที่จริงที่ดินตรงนี้เป็นของ ผบ.ทร.เก่า สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ในความรู้สึกผมปล่อยวางนะ มีฝรั่งคนหนึ่งมาจากภูเก็ต ผมก็ถามว่าญาติเสียหรือเปล่า เขาก็บอกว่ามาสวดมนต์ให้ผู้เสียชีวิตชาวต่างชาติ เจ้าของเดิมตั้งใจทำเป็นคอนโด แต่ไม่ได้ทำ เพราะเจอพิษทางเศรษฐกิจ จริงๆ แล้วที่ดินตรงนี้ไม่ใช่ของซานติก้านะ แต่ทางซานติก้าเขาเช่าอยู่ ไม่ใช่ที่ของเขา" ฉลอม เพ็ชรหิน ชาวบ้านในพื้นที่ซานติก้าผับ ย้อนเรื่องราวในอดีต

ไม่ต่างไปจาก ภาณุภัทธ มีสถานทรัพย์ ชาวบ้านในพื้นที่ใกล้เคียงซานติก้าผับ สะท้อนความเชื่อว่า ลางบอกเหตุก็ดูที่รูปดีเจภูมิ ที่มีเหมือนเลือดไหลออกจากตา แล้วพื้นหลังก็สีดำหมดเลย เห็นตั้งแต่แรกก็ว่าจะไปทักว่ามันไม่เป็นมงคลเลย ก็ไม่นึกว่าเรื่องมันจะขนาดนี้ เวลาเคานท์ดาวน์เขาก็จะจุดพลุลุกใหญ่ๆ จุดเรื่อยๆ เป็นระยะ ปกติวันที่ 31 มกราคม เขาจะเปิดถึง 6 โมงเช้า แต่ปีนี้เขาเลิกกิจการพอดี ก็เลยมีนักท่องเที่ยวแอบเอาไปจุดข้างในลูกหนึ่ง

"เขาว่าในร้านที่เพิ่งตกแต่งปรับโฉมใหม่ไม่นานนี้ ก็มีรูปเหมือนโลงศพ แล้วก็มีไม้กางเขนขนาดใหญ่อยู่อันหนึ่งข้างใน มันก็เป็นเรื่องสุดวิสัย เพราะเจ้าของเองยังนึกไม่ถึงว่าจะเป็นแบบนี้ แล้วคนก็ไม่รู้ว่าทางด้านหลังก็มีประตูทางออกอีกทาง ก็เลยมากรูกันอยู่ที่ประตูทางเข้าด้านหน้าหมดเลย" ภาณุภัทธกล่าวในตอนท้าย

ไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้น ณ "ซานติก้าผับ" ในค่ำคืนแห่งการฉลองเทศกาลปีใหม่ จะเป็นอุบัติเหตุ หรือเป็นอาถรรพณ์ ทว่าความจริงคือ เหตุการณ์ครั้งนี้ต้องสังเวยด้วย 61 ชีวิต และเจ็บกว่า 2 ร้อยคน
-ขอบคุณภาพและข่าวจากหนังสือพิมพ์ คม ชัด ลึก