วันศุกร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2555

หลอนมรณะ

เมื่อเด็กชายเดินออกไปจากห้อง หมอจึงเอ่ยกับแม่ของเด็กว่า “มันเป็นไปตามช่วงอายุของเด็ก” หมอพยายามอธิบายให้แม่เด็กเข้าใจ เหตุที่ทำไมลูกของหล่อนถึงต้องกลัวความมืด หมอขยายความต่อไปว่า “คืออย่างนี้นะครับ เด็กช่วงอายุหกขวบจะมีสามอย่างที่เด็กกลัว หนึ่งสัตว์ที่เขาไม่เคยเห็น สองจิตนาการของเด็กเอง และสามคือความมืด แต่คุณไม่ต้องกังวลสิ่งเหล่านี้จะหายไปเมื่อเด็กอายุสิบขวบ” “แล้วจะมีผลเสียอะไรกับเขาหรือเปล่าคะคุณหมอ” หล่อนเป็นห่วงลูกที่กลัวความมืดอย่างไม่มีเหตุผล บางครั้งเด็กน้อยถึงกับร้องไห้อย่างหวาดผวาหากวันใดฝนตกฟ้าร้องจนไฟดับอย่าง กะทันหัน “ผมทดสอบไอคิวและอีคิวของเด็กแล้ว อยู่ในระดับที่น่าพอใจ เรื่องนี้ไม่น่ามีปัญหา” หมออธิบาย และแนะนำอะไรบางอย่างกับหล่อนจนเข้าใจ หลังจากลาหมอแล้ว หลอนจึงขับรถออกจากโรงพยาบาล ตั้งใจจะพาลูกไปที่สวนสัตว์ตามคำแนะนำของหมอ เพื่อให้เด็กน้อยเห็นสัตว์ต่างๆอย่างใกล้ชิดและพยามยามอธิบายให้เด็กเข้าใจ ว่าสัตว์ต่างๆไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เด็กคิด หลังจากนั้นหล่อนก็พาลูกไปซื้อตุ๊กตาที่ห้างสรรพสินค้า หมอแนะนำหล่อนว่า ตุ๊กตาเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเด็ก ดังนั้นในห้องของลูกหล่อนจึงมีตุ๊กตารูปร่างต่างๆเต็มไปหมด เมื่อถึงบ้านหล่อนจึงรู้ว่าสามีได้ไปเข้าเวรที่ค่ายทหารเรียบร้อยแล้ว ค่ำนั้นฝนตกลงมาอย่าง หนักและโปรยปรายเรื่อยๆไม่มีทีท่าว่าจะหยุดพร้อมกับ เสียงฟ้าร้องดังอยู่ไม่ขาดระยะ เด็กน้อยนั่งดูทีวีในห้องนอนของตนเอง ปะตูเปิดอ้าออก เด็กน้อยเห็นแม่เดินถือแก้วน้ำเข้ามา จึงรู้ว่าถึงเวลานอนแล้ว แต่ก็ต่อรองกับแม่ไปว่า “แม่ฮะหนูยังไม่ง่วง ให้หนูดูต่ออีกหน่อยได้ไหมฮะ” “ถึงเวลาที่ลูกต้องนอนแล้วนะคนดี” “นั่งคุยกับหนูก่อนนะฮะแม่” “แม่จะคุยกับลูกตอนเช้าก่อนลูกไปโรงเรียน” “แม่นอนกับหนูซักคืนนะฮะ หนูกลัวเสียงฟ้า” “ลูกโตแล้วนะคนดี ลูกต้องนอนคนเดียวในห้องของตัวเอง” “แม้แต่คืนที่มีฝนตกฟ้าร้องหรือฮะ” “ใช่แล้วจ้ะ” หล่อนวางแก้วน้ำไว้บนโต๊ะข้างเตียง พอให้เด็กน้อยเอื้อมมือถึง หากเขารู้สึกตัวขึ้นกลางดึกแล้วกระหายน้ำซึ่งเด็กทั่วไปมักเป็นอย่างนี้เสมอ ขณะเดียวกันหล่อนมองดูเด็กน้อยหยิบไฟฉายที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วเลื่อนนิ้วเปิด สวิทซ์ หลอนเห็นสีหน้าของเด็กน้อยดีขึ้นเมื่อไฟฉายติดสว่าง แล้วเขาก็เลื่อนนิ้วปิดวางเคียงกับแก้วน้ำ หลอนดึงผ้าห่มขึ้นคลุมถึงระดับหน้าอกของเด็กน้อยเมื่อเห็นเขานอนเรียบร้อย จากนั้นเดินไปปิดทีวีที่ปลายเตียงแล้วเอื้อมมือกดปิดสวิทซ์ไฟ เด็กน้อยมองดูมารดาที่กำลังเดินออกจากห้องจึงเรียกขึ้น “แม่ฮะ” หล่อนหันหลัง มองเด็กน้อยชี้นิ้วลงไปที่ใต้เตียง “อ๋อแม่ลืมไป” หล่อนว่า แล้วเดินกลับมาที่เตียงอีกครั้ง ก้มลงมองที่ใต้เตียงซึ่งมีตุ๊กตาเต็มไปหมด หลอนเงยหน้าขึ้นมาพูดกับเด็กน้อย “เพื่อนของหนูนอนอยู่ แล้วก็หลับกันหมดแล้ว ทีนี้หนูก็หลับตาได้แล้วนะคนดี” “ฮะแม่” เด็กน้อยชำเลืองมองมารดาที่เดินออกไปจากห้อง แล้วปะตูก็งับลงเหลืออ้าไว้ราวหนึ่งคืบ แสงสว่าง จากหลอดไฟด้านนอกห้องส่องเข้ามาตามช่องนั้น พอให้เด็กน้อยรู้สึกอุ่นใจ อย่างน้อยในห้องก็ไม่ได้มืดสนิทจนเกินไป เด็กน้อยนอนฟังเสียงฟ้าร้องที่ครางเบาๆบนฟากฟ้า มันจะดังขึ้นทุกครั้งหลังจากฟ้าแลบผ่านไปสักพัก เสียงฟ้าร้องคงเดินทางมาจากดินแดนที่อยู่ห่างไกลออกไป เหมือนกับนิทานที่ครูเล่าให้ฟัง แต่แม่เคยเล่าให้เขาฟังว่าฟ้าร้องเพราะนางฟ้าที่ชื่อเมขลากำลังจะเล่นละคร ให้เด็กๆดู แล้วแม่ก็บอกว่าเมขลาเป็นนางฟ้าใจดีชอบส่องแสงไฟแอบดูเด็กที่กำลังนอนหลับบน เตียงของตนเอง แม่มักจะหาเรื่องเพื่อให้เขานอนในห้องได้เสมอ หากคืนนี้ฝนไม่ตกฟ้าไม่ร้องเขาคงจะได้ยินเสียงทีวีเปิดอยู่ที่ห้องข้างล่าง แม่จะทำงานต่อไปจนดึกหลังจากที่ให้เขานอนก่อนสองทุ่ม เด็กน้อยคิดไปเรื่อยเปื่อย สายตายังคงทอดจับที่แสงสว่างซึ่งลอดช่องปะตูเข้ามา เหมือนกับจะเข้าสู่การหลับใหลไปพร้อมกับแสงสว่างนั้น แล้วหนังตาของเด็กน้อยก็ค่อยๆปิดลง ขณะที่กำลังเคลิ้มหลับอยู่นั้น เด็กน้อยรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างอยู่ในห้อง พร้อมกันนั้นมีเสียงดังเหมือนของหล่นลงพื้นที่มุมหนึ่งด้านปลายเตียง เด็กน้อยลืมตาแล้วลุกนั่งบนเตียงทันที เขาเห็นปะตูปิดตัวเองลงช้าๆ แล้วในห้องก็มืดสนิท “แม่ฮะ แม่อยู่นั่นใช่ไหมฮะ” เด็กน้อยร้องไปที่ปะตู แทนเสียงตอบคือเสียงครูดคราดดังมาจากบานหน้าต่างซึ่งปิดสนิท เหมือนมีคนอยู่ด้านนอกแล้วกำลังงัดแงะหน้าต่างเข้ามาด้านใน พลันนั้นเรื่องสยองขวัญก็ผุดขึ้นมาในความคิดของเด็กน้อย เขาเคยได้ยินเด็กตัวโตๆที่โรงเรียนเล่าว่า เวลาฟ้าร้องจะมีผีอสูรเที่ยวจับเด็กที่อยู่คนเดียวไปฆ่าเสีย เพราะผีอสูรโกรธแค้นที่นางฟ้าเมฆลารักเด็กมากกว่าตนเอง เด็กน้อยไม่เคยเห็นผีอสูรแต่ก็นึกกลัวทุกครั้งที่ฝนตกฟ้าร้องอย่างเช่นคืน นี้ เด็กน้อยอยากวิ่งออกปะตูไปหาแม่ซึ่งคงกำลังดูทีวีอยู่ข้างล่าง ทันใดนั้นช่วงสั้นๆของฟ้าแลบ เด็กน้อยเหมือนเห็นอะไรบางอย่างขวางอยู่ที่ปะตู มันเหมือนแมงมุมตัวใหญ่เท่ากับตัวของเขาเอง และทุกครั้งที่ฟ้าแลบมันจะขยับตัวเข้ามาใกล้เขาทุกครา แล้วฟ้าก็ร้องลั่นขึ้นอย่างแรง เด็กน้อยร้องเสียงหลงเรียกแม่ พร้อมกับฉกมือคว้าไฟฉายที่โต๊ะข้างเตียง มันกระแทกแก้วน้ำจนร่วงแตกที่พื้น เด็กน้อยยกผ้าห่มคลุมโปร่ง แล้วใช้นิ้วเลื่อนเปิดสวิทซ์ไฟฉาย พยายามขดตัวเองอยู่ภายใต้ผ้าห่ม เด็กน้อยภาวนาให้แม่ได้ยินเสียงแก้วแตกเมื่อครู่นี้ แต่เสียงฟ้าลั่นคงดังกลบเสียงแก้วน้ำไปแล้ว เด็กน้อยนึกปลอบใจตนเองว่าน้ำอาจไหลลอดลงตามช่องพื้นไม้กระดาน แล้วหยดลงไปถูกแม่ที่ด้านล่างซึ่งเป็นห้องนอนของแม่ ทว่าหากแม่อยู่หน้าจอทีวีซึ่งตั้งอยู่ที่ห้องโถงด้านนอกคงไม่เห็นหยดน้ำและ คงไม่รู้ว่าขณะนี้มีสัตว์ประหลาดกำลังจ้องทำร้ายเขาอยู่ เพียงแต่ไฟฉายดับลงมันก็จะขย้ำเขาทันที เขาเคยบอกแม่หลายครั้งแล้วว่า มีสัตว์ประหลาดซ่อนตัวอยู่ในความมืด และคอยจะทำร้ายเขาทุกครั้งที่อยู่คนเดียวในความมืด แม่หาว่าเขาเพ้อเจ้อเป็นโรคกลัวความมืดจึงพาไปหาหมอที่โรงพยาบาล เขาเล่าเรื่องทุกอย่างให้หมอฟังเหมือนกับเล่าให้แม่ฟัง แต่หมอก็เพียงจับปากกาจดอะไรไม่รู้ลงในกระดาษ แม่พาเขาไปหาหมอทุกครั้งก็เป็นอย่างนี้ทุกที เด็กน้อยอยากให้หมอกับแม่มาเห็นตอนนี้ จะได้เข้าใจในสิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นเรื่องจริง เด็กน้อยต้องรักษาแสงสว่างจากไฟฉายติดอยู่ให้ได้นานที่สุด เพราะเขาคนเดียวที่รู้ดีว่าสัตว์ประหลาดจะจู่โจมทันทีหากไม่มีแสงไฟ เด็กน้อยร้องเรียกแม่อยู่เป็นระยะ แต่เสียงคงเล็ดลอดออกจากห้องไปไม่ได้ อีกทั้งเม็ดฝนกระทบหลังคาคงดังกลบเสียงของเด็กน้อยหมดสิ้น แล้วสิ่งที่เด็กน้อยกลัวมากที่สุดก็เกิดขึ้น แสงไฟฉายค่อยๆหรี่แล้วดับสนิท เด็กน้อยพยายามกระแทกกระบอกไฟฉายกับฝ่ามือ มันเหมือนจะติดสว่างอีกครั้งแต่ก็วูบดับลงไปอีก แล้วไฟฉายก็ไม่ติดอีกเลยแม้เด็กน้อยจะกระแทกจนเจ็บร้าวที่ฝ่ามือ พลันนั้นเด็กน้อยรู้สึกเหมือนมีใครกำลังดึงผ้าห่มออกช้าๆ เด็กน้อยหลับตาตัวแข็งทื่อ คิดไปว่าอีกไม่นานเขาคงต้องเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดที่ตามหลอกหลอนเขาทุก ครั้งที่อยู่ในความมืด แล้วผ้าห่มที่คลุมโปร่งอยู่ก็เผยออกจนหมด เด็กน้อยรู้สึกมีบางอย่างอยู่ต้องหน้าห่างเขาไม่ถึงคืบ จึงค่อยๆลืมตาขึ้น ก่อนจะกรีดเสียงร้องออกมาสุดชีวิต ช่วงสติสุดท้ายของเด็กน้อยรับรู้ถึงความเจ็บปวดที่ถูกกระชากลงจากเตียงกระทบ พื้นห้องอย่างแรง สัตว์ประหลาดดึงร่างของเขาเข้าไปใต้เตียงแล้วภายในห้องก็เงียบสนิท และดูเหมือนฝนจะขาดเม็ดทันทีที่เหตุการณ์เลวร้ายผ่านพ้นไป ตอนเช้าพ่อของเด็กน้อยกลับมาจากค่ายทหาร เป็นเวลาเดียวกันกับแม่กำลังเคาะ ปะตูปลุกเด็กน้อยให้เตรียมตัวไปโรงเรียน หล่อนจำได้ว่าเมื่อคืนปะตูไม่ได้ปิดล็อด หล่อนยืนอยู่ตรงนั้นและเคาะปะตูตั้งนานแต่ไม่มีทีท่าว่าจะได้ยินเสียงตอบจาก ลูกชาย เมื่อเห็นผิดปกติจึงเรียกสามี แล้วทั้งสองตกลงกระแทกปะตูเข้าไป เมื่อปะตูอ้าออก ทั้งสองเห็นเศษสิ่งของกระจัดกระจายทั่วห้อง บนเตียงมีไฟฉายวางอยู่ แต่ไม่เห็นเด็กน้อยนอนบนนั้น เครดิต คุณสุชาติ จาก http://thaighost.d-ja.com/2009/10/15/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%B0/

เงินใส่ปากศพ

เงินใส่ปากศพ การนำเงินใส่ปากศพ ถือว่าเป็นความเชื่อในสังคมไทย มาช้านาน แม้แต่ชาติอื่นๆ ก็มีความเชื่อในเรื่อนี้อยู่ไม่น้อย จะแตกต่างกันในข้อปฏิบัติ ซึ่งในสังคมไทยวิธีปฏิบัติก็คือ จะนำ เงินพดด้วง หรือเงินเหรียญบาทหนึ่งหรือจะเป็นเหรียญสลึงสองสลึงไม่กำหนด แล้วห่อผ้าขาว ผูกเชือกไว้หางยาว หย่อนลงในปากศพ ให้เชือกห้อยออกมานอกปาก ถ้าไม่ผูกเชือก จะห่อให้โตพอไม่ให้เลื่อลึกลงไปในลำคอ เพราะเวลานำไปเผาจะได้ เอาออกมาเพื่อเก็บเป็น ที่ระลึกหรือเครื่องรางได้ ในปัจจุบันบางทีก็ใช้ของมีราคา เช่น ทองคำ บรรจุแทนก็ได้ มีคำอธิบาย ไว้หลายเหตุผล ประการแรก การนำเงินใส่ปากศพก็เพื่อผู้ตายจะได้เอา ทรัพย์ติดตัว ไปใช้สอย ในเมืองผี แต่มีข้อสงสัยว่าทำไมจึงใส่เงินในปาก แค่เพียงหนึ่งบาทเท่านั้น แต่ตามความเชื่อของคนจีน จะมีการเผากระดาษเงินกระดาษทองไปให้ผู้ตายคราวละมากๆ จะเห็นได้ว่า มีความแตกต่างกันระหว่างความเชื่อของคนไทยกับคนจีน ประการที่สอง เพื่อให้พิจารณาเห็นว่า บรรดาทรัพย์สมบัติที่สะสมไว้ แม้มากสักเท่าใด ตายแล้วก็นำติดตัวไปไม่ได้ เขาย่อมควักเอาออกจากปาก สุดท้ายจะเอาไปได้ก็แต่กรรมที่ทำไว้ ซึ่งย่อมติดตามไปคล้ายเงาตน และจะส่งผลให้ได้ รับทุกข์ หรือสุขก็ตามแต่กรรมที่ตนได้กระทำไว้ เพราะฉะนั้น คนเราเกิดมาอย่าได้ ลุ่มหลงอยู่กับ ทรัพย์สมบัติ ประการที่สาม เพื่อให้เป็นค่าจ้างแก่สัปเหร่อที่จะนำศพไปเผา ที่ต้องนำไปใส่ไว้ในปากเพราะว่าจะได้ค้นหาได้สะดวก เพราะถ้าเจ้าภาพบิดพลิ้วสัญญาค่าจ้างภายหลัง เงินใส่ปากศพจะกลายเป็นเงินค่าจ้าง เพราะในสมัยก่อนเงินบาทมีค่ามาก ตามความเชื่อ ของกรีกโบราณที่เล่าต่อๆกันมาว่า ผู้ที่ตายวิญญาณจะไปสู่เมืองผี ซึ่งเมืองนี้อยู่ใต้ เมืองมนุษย์ ทางทิศตะวันตกอันไกลแสนไกล จะมีแม่น้ำปันแดนความสว่าง และความมืดชื่อว่า "แม่น้ำสติกษ์" (แปลว่าดำมืด) วิญญาณของผู้ตายไปสู่เมืองผีได้ก็ต้องข้ามแม่น้ำนี้ มีมนุษย์ชื่อว่า "การน" มีรูปร่าง เป็นคนแก่ผมหยิกดำ หนวดเครารุงรัง แจวเรือรับส่งวิญญาณข้ามฟาก โดยคิดค่าจ้างรับส่ง เป็นเงิน หนึ่งอะบะลัส ด้วยเหตุนี้เมื่อมีคนตาย ชาวกรีกโบราณจะนำเงินหนึ่งอะบะลัส ใส่ปากศพตรงใต้ลิ้น สำหรับเป็นค่าจ้างข้ามส่งให้กับมนุษย์การน เมื่อข้ามฟากได้แล้ววิญญาณจะถูกพาไปศาลเมืองผี และ จะถูกไต่สวนถึงบาปบุญที่ได้ทำไว้แต่ครั้งยังอยุ่ในโลกมนุษย์ ถ้าวิญญาณ ได้ทำบุญ ไว้จะถูกพิพากษาให้ไปสู่สถานบรมสุขเรียกว่า "อีลีเซียม" ซึ่งเป็นแดนรื่นรมย์ เมื่อเสวยสุขครบพันปี วิญญาณ จะกลับมาเกิดในเมืองมนุษย์อีกครั้ง แต่ก่อนที่เวียนมาเกิดใหม่ วิญญาณจะต้องดื่มน้ำ ในแม่น้ำลีซี เพื่อ ให้ลืมความหลัง ส่วนวิญญาณที่ทำบาป จะถูกพาไปสู่นรก "ฮาดีส" ในปัจจุบัน ชาวยุโรปที่นับถือลัทธิคริสตัง ที่สืบประเพณีโบราณกันมา จะเอาเบี้ยทองแดงเพนนีหนึ่งวางไว้ ตรงกระบอกตาของคนตาย เพื่อใช้เป็นค่าจ้างข้ามแม่น้ำแห่งความตาย ชาวฮินดู ก็มีความเชื่อ ในเรื่องนี้ไม่น้อยเหมือนกัน โดยจะเอาเงินและข้าวสารเล็กน้อยใส่ปากศพ พวกสิงโพที่เป็น ชาวป่าของพม่า เมื่อแต่งตัวศพเรียบร้อยแล้ว จะเอาเนื้อหมูและเหล้าและข้าวเซ่นสรวง และเอาเงินใส่ปากศพ ถ้าผู้ตายเป็นหัวหน้าจะเอาเอาหินแก้วอันมีค่าใส่ไว้ใต้รักแร้ ข้างละเม็ด แล้วจึงนำใส่โลง ชาวจีนจะเอาอีแป๊ะใส่ปากศพและเผากระดาษเงินกระดาษทองให้ด้วย จาก http://ghostshock.blogspot.com/2011/09/blog-post_28.html

๙ อาชีพต้องอาถรรพ์ ๓ อาชีพต้องห้าม

ตามความเชื่อของคนจีนโบราณนั้น มีอาชีพอยู่ 9 ประเภทที่ต้องอาถรรพ์อยู่ในตัว หากใครประกอบอาชีพเหล่านี้ก็จะพบเจอกับอาถรรพ์ต่างๆ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง " ปัจจุบันอาจจะมีมากกว่า ๙ อาชีพ ซึ่งถ้าอาชีพใด ทำมาหากินบนความเดือดร้อนของผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมก็น่าจะถือเป็นกิ๋วลิ้ว ได้ทั้งสิ้น " ในสมัยโบราณ กิ๋วลิ้วเน้นไปในอาชีพที่ต้องใช้สมอง เช่น ซินแสฮวงจุ้ย หมอดู ครูสอนหนังสือ หมอรักษาโรค ทนายความ ศิลปิน เช่น นักเต้นรำ นักร้อง นักพูด ดารา ฯลฯ ซึ่งจริงๆ แล้วในปัจจุบันอาจจะมีมากกว่า 9 อาชีพ ซึ่งถ้าอาชีพใด ทำมาหากินบนความเดือดร้อนของผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมก็น่าจะถือเป็นกิ๋วลิ้ว ได้ทั้งสิ้น โดยจะขอยกตัวอย่างบางอาชีพแต่พอสังเขป ดังนี้ ซินแส ฮวงจุ้ย ถือเป็นอาชีพลำดับแรกที่ต้องอาถรรพ์ เพราะอาชีพนี้ “ทำดีผิดกฏสวรรค์ ทำชั่วผิดศีลธรรม” เรียนมาอย่างไรก็แก้ไขให้ลูกค้าไปตามนั้น ไม่มีการฉุกคิดว่าวิชานี้มีมาตั้ง 5,000 ปีสมัยก่อน ไม่มี “ไฟฟ้า” ใช้จนปัจจุบันเรามีโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ มนุษย์เกือบจะไปตั้งหลักปักฐานบนดาวอังคารหรือดาวจันทร์อยู่แล้ว ทนาย ความ เพราะทนายบางท่านที่ทำอาชีพนี้ต้องพูดดำเป็นขาว พูดขาวเป็นดำ ช่วยคนผิดให้ถูก ทำให้คนถูกบางคนต้องได้รับความทุกข์ ต้องติดคุกติดตะราง เพราะใช้คำพูดหลอกล่อต่างๆ นานาเพื่อผลของคดี และเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ต้องชนะคดีเท่านั้นถึงมีชื่อเสียงเงินทอง ที่ปรึกษา อาชีพนี้หากไม่สามารถแนะให้เจ้าของกิจการหรือคนที่จ้าง ทำหรือเลี่ยงที่จะทำในบางสิ่งบางอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ได้ ก็คงไม่มีใครจ้างเป็นที่ปรึกษา คงไม่มีใครทุ่มเงินจ้างคุณมาเป็นที่ปรึกษาหรอก หรือบางครั้งก็มาจากอิทธิพลหรือบารมีของที่ปรึกษานั้นๆ ปล่อยเงินกู้ เพราะต้องรีดนาทาเร้นเอากับผู้อื่น ขูดเลือดกับปู เพราะถ้าเขาไม่เดือดร้อนคงไม่มีใครอยากกู้เงินมาเป็นภาระของตัวเองหรอก ขาย ของเสพติดมึนเมา เราได้สตางค์แต่เขาเสียสติเพราะสิ่งเหล่านี้ทำลายชีวิตและครอบครัวของผู้ อื่น แม้จะดูเป็นเรื่องเล็กแต่ส่งผลกระทบระยะยาวจนเกิดเป็นปัญหาสังคมตามมา ขายโลงศพ ใครที่ประกอบกิจการด้านนี้ ถ้าต้องการให้กิจการดีมีเงินก็ต้องหวังหรือภาวนาให้มีคนตายมากๆ โลงศพจะได้ขายได้เยอะๆ นัก มวย เป็นอาชีพที่ไม่คุ้ม เพราะหาเงินได้มาก็ไม่พอกับค่ารักษาตัว แม้แต่โมฮาหมัด อาลี หรือ แคสเซียส เคย์ แชมป์เปี้ยนโลกรุ่นเฮฟวี่เวท ผู้เป็นนักมวยที่มีชั้นเชิงลีลาเป็นยอด ขนาดบนเวทีคู่ต่อสู้ชกไม่ค่อยถูก แต่พอเลิกชกมวยยังป่วยเป็นโรคพาร์คินสัน หมอนวด (ทั้งกายภาพ อาบอบนวด) เนื่องจากคนที่มานวดส่วนใหญ่จะเป็นคนเจ็บป่วยไม่สบาย หมอนวดต้องใกล้ชิดกับบุคคลเหล่านี้ ทำให้ได้รับเชื้อโรคได้ง่าย เมื่อหาเงินมาได้ก็ไม่พอกับค่ารักษาตัว ซาลอน หรือ ร้านทำผม ที่บอกว่าเป็นอาชีพต้องอาถรรพ์เพราะเป็นที่รวมของเชื้อโรค โดยเฉพาะการเป่าผมนับเป็นการกระจายเชื้อโรคอย่างมาก เพราะเชื้อแบคทีเรียชอบและเติบโตได้ดีในสภาพที่มีความร้อนและชื้นพอเหมาะรวม ถึงการใช้น้ำยาย้อมผมและสารเคมีอื่นๆ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ หนำซ้ำเวลาการทำงาน (working hour) ก็เป็นอุปสรรคของชีวิตคู่อีกด้วย ค้า ไม้ ทำให้โลกร้อน (Global Warming) การตัดไม้ทำลายป่าเป็นการทำลายสภาพแวดล้อมของระบบนิเวศลงอย่างน่ากลัว ทำให้โลกขาดความสมดุล ธรรมชาติจึงปรวนแปร เกิดภัยพิบัติอย่างรุนแรงนับครั้งไม่ถ้วน ผู้คนบาดเจ็บล้มตายครั้งละเป็นจำนวนมาก จากสภาพเศรษฐกิจและสังคมใน ปัจจุบันที่มีการดิ้นรนแก่งแย่งกันในการทำมาหากิน ทำให้มีอาชีพต้องอาถรรพ์เพิ่มขึ้นอีกหลายอาชีพ ซึ่งอาชีพอะไรก็แล้วแต่ที่ได้รับผลประโยชน์บนความเดือดร้อนของผู้อื่นหรือทำ ให้ผู้อื่นเดือดร้อนไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมถือว่าเป็นอาชีพต้องอาถรรพ์ทั้ง สิ้น แต่ถ้าไม่มีทางเลือก จำเป็นต้องทำอาชีพต้องอาถรรพ์เหล่านี้ ถามว่าทำได้มั้ย?!? คำตอบก็คือได้ แต่ถ้าจะทำอาชีพต้องอาถรรพ์เหล่านี้ทำได้อย่างมากสุดห้ามเกิน 3 ชั่วคน ไม่เช่นนั้นครอบครัวจะต้องพบกับความวิบัติ สูญสิ้นทั้งวงศ์ตระกูล ตามความเชื่อของคนจีนโบราณ นอกจากอาชีพต้องอาถรรพ์แล้วคนจีนยังมี อาชีพต้องห้ามอยู่อีก ๓ อย่าง ซึ่งเรียกว่า ซัมก่า หนึ่งคือ ค้าคน สอง ค้าสัตว์ สาม บ่อนการพนัน จาก http://www.thenightshock.com/detail.php?id=43

ตำนานผีฟ้า

ชาวอีสานมีความเชื่อถือต่อ "ผี" มาก เพราะมีความเชื่อว่าเหตุที่เกิดเภทภัยเจ็บไข้ได้ป่วย น้ำท่วม ฝนแล้งนาล่ม หรือพืชพันธุ์ ธัญญาหารเหี่ยวแห้ง เป็นสิ่งที่เกิดมาจากอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ของผีสางเทวดาทั้งสิ้น พวกเขาจึงเซ่นไหว้บวงสรวงผีต่างๆ และมีสิ่งที่หน้าสังเกตคือ ทุกครั้งที่มีการเซ่นไหว้เป็นประจำทุกๆ ฤดูกาล แล้วจะเกิดแต่ความสุขไปทั่ว ผู้ที่เจ็บไข้ได้ป่วยก็หาย ข้าวกล้าในนาก็อุดม สมบูรณ์ดี และการที่มีคติความเชื่อดังกล่าวนี้ ก็ทำให้เกิดประเพณีพิธีกรรมที่เกี่ยวกับผีหลายลักษณะ และพีธีบูชา ผีฟ้า ก็เป็นอีกพิธีหนึ่ง ผีฟ้า หรือ ผีแถน นั้น ชาวอีสานมีความเชื่อว่าเป็นเทวดามากกว่าเป็นผี ผีฟ้าจึงเป็นผีที่อยู่ระดับสูงกว่าผีชนิด อื่นๆ ส่วนแถนนั้น มีความเชื่อว่าเป็นคำเรียกรวมถึงเทวดา และแถนที่ใหญ่ที่สุดคือ "แถนหลวง" ซึ่ง เชื่อว่าเป็นพระอินทร์ ผีฟ้าหรือผีแถนนั้นแต่ละพื้นที่มีการเรียกที่แตกต่างกันไป และมีความเชื่อว่า ผีฟ้า นั้น สามารถที่จะ ดับยุคเข็ญหรือทำลายล้างอุปสรรคทั้งปวงได้ และสามารถที่จะช่วยเหลือมนุษย์ที่เดือดร้อนได้ การที่มนุษย์เกิดการเจ็บป่วยนั้นเนื่องจากไปละเมิดต่อผี การละเมิดต่อบรรพบุรุษ การรักษาต้องมีการเชิญผีฟ้ามาสิงสถิตอยู่ในร่างของคนทรง เรียกว่า "ผีฟ้า นางเทียน" ในการลำผีฟ้าของชาวอีสานนั้นมีองค์ประกอบ ทั้งหมด ๔ ส่วนคือ หมอลำ ผีฟ้า หมอแคน ผู้ป่วย และเครื่องคาย หมอลำผีฟ้า จะ เป็นผู้หญิงที่มีอายุหรือบางท้องถิ่นจะเป็นผู้หญิงสาว โดยเฉพาะที่จังหวัดเลย และจะต้องสืบเชื้อสายมาจาก กลุ่มหมอลำผีเท่านั้น แต่ที่จริงผีฟ้าสามารถสิงได้ทั้งหญิง ชาย และเด็ก โดยไม่จำกัดอายุ หมอแคน (หมอม้า) จะต้องเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ในการเป่าแคนมาเป็นอย่างดี เพราะในการประกอบพิธีจะต้องใช้เวลานาน จะต้องมีการเป่าอยู่ตลอดเวลา ส่วนผู้ป่วยนั้น จะต้องแต่งกายตามที่ได้กำหนดไว้ คือ มีผ้าไหมหรือผ้าขาวม้าพาดบ่า มีดอกมะละกอ ซึ่งตัดร้อยเป็นพวงทัดหู ผู้ป่วยนั้นสามารถที่จะฟ้อนรำกับหมอลำได้.. และสิ่งที่สำคัญอีกอย่างคือ เครื่องคาย เป็นสิ่งที่อัญเชิญครูอาจารย์ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วมาช่วยเหลือ รักษาผู้ป่วย ในการรำผีฟ้านั้น จะมีความแตกต่างกันตามแต่ละท้องถิ่น เมื่อครูบาเก่าเข้าสิงร่าง ผู้ทำพิธีจะต้องสวมผ้าซิ่นทับผ้าที่สวมอยู่ (กรณีที่ผู้ป่วยเป็นชาย) หรือถ้าผู้ป่วยเป็นผู้หญิงครูบาจะสวมผ้าแพรหรือผ้าฝ้าย โดยสวมทับผ้านุ่งเดิม ซึ่งจะจัดไว้อยู่ใกล้เครื่องคาย ในการรักษาทุกคนจะต้องฟ้อนรำ กันทุกคน และขึ้นอยู่กับผู้ป่วย ถ้าผู้ป่วยต้องการดูการฟ้อนรำก็จะทำหน้าที่ต่อไป แต่ถ้าไม่ต้องการ ครูบาก็จะนำเครื่องคายขึ้นไปเก็บบนหิ้ง และจะมาร่วมกันรับประทานอาหาร ความ เชื่อของชาวอีสานเชื่อว่า ผีฟ้าสามารถที่จะกำหนดการเกิดการตายของมนุษย์ได้ การที่มนุษย์ตายไปขวัญจะออกจากร่าง เพื่อไปพบบรรพชน แต่ขวัญจะไม่แตกดับเหมือนร่าง เป็นเพียงการจากไปของร่างแต่วิญญาณยังคงอยู่กับผู้มีชีวิต สาเหตุที่มีการฟ้อนรำกันนั้น ก็เพื่อเป็นการทำให้คนไข้มีพลังจิตในการต่อสู้กับการเจ็บป่วย มีอารมณ์ผ่อนคลาย ความตึงเครียด จิตใจปลอดโปร่ง ไร้วิตกกังวล และสร้างจิตสำนึกด้านความกตัญญู เป็นคตินิยมของวัฒนธรรมไทย ซึ่งได้สืบทอดต่อกันมาจนกลายเป็น ประเพณี จะเห็นว่าผีฟ้านั้น เป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจมนุษย์ โดยมีคติเตือนใจว่า "คนไม่เห็น ผีเห็น" สำหรับ ทุกวันนี้ การรำผีฟ้าดูจะเสื่อมคลายลงไป เพราะความเจริญทางด้านการแพทย์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แต่สำหรับ ชาวอีสานบางกลุ่ม การกระทำพิธีกรรมเกี่ยวกับผีฟ้า ไม่ใช่เป็นสิ่งงมงายเหลวไหลหรือไร้สาระสิ้นเชิงเสียทีเดียว.. จาก http://www.thenightshock.com/detail.php?id=50

น้ำมันอาถรรพณ์

ผมเคยได้ยินเรื่องราวของนางตะเคียนมาตั้งแต่เด็ก โดยเชื่อว่ามีผีผู้หญิงหรือนางไม้สิงสู่อยู่ที่ต้นไม้นั้น โดยเรียกขานให้ชัดเจนลงไปว่า "นางตะเคียน" สมัยก่อน นิยมนำไม้ตะเคียนมาขุดเรือบ้าง ก่อสร้างวัดวาอารามบ้าง เนื่องจากตะเคียนเป็นไม้เนื้อแข็ง มีอายุใช้งานได้เนิ่นนานดีนัก เหตุนี้เองจึงมีเรื่อง "เสาตกน้ำมัน" น่าขนหัวลุกอุบัติขึ้นมา! เสาเรือนไม้ตะเคียนถ้าตกน้ำมัน ย่อมหมายความว่าภูตผีหรือนางไม้ยังสิงสู่อยู่ในเสานั้น ยามใดมีน้ำมันรินไหลออกมาหยาดเยิ้มไม่ขาดสาย เป็นสิ่งเตือนใจให้เจ้าของบ้านรีบหาอาหารหวานคาวมาเซ่นไหว้ รวมทั้งผ้าแพรสีสวยๆ ซึ่งเชื่อว่าเป็นสิ่งรักใคร่ของสตรีมาผูกรอบเสานั้น นางตะเคียนก็จะพออกพอใจไม่สร้างความเดือดร้อนใจใดๆ ให้แม้แต่น้อย ถ้าอารมณ์ดี นางตะเคียนอาจให้เลขเด็ดด้วยการปรากฏขึ้นที่เสาบ้าง มาเข้าฝันบ้าง...มีคนนำไปเสี่ยงโชคจนถูกหวยรวยลอตเตอรี่กันมาหลายรายแล้ว ตรงข้าม ถ้าเจ้าของบ้านไม่สนใจแยแส นางตะเคียนก็จะออกมาหลอกหลอนเด็กเล็กให้เจ็บไข้ได้ป่วย เพ้อพกถึงนางตะเคียนจนถึงกับอาการหนัก บางรายเสียชีวิตไปก็มีหรือไม่ก็เกิดเคราะห์หามยามร้ายต่างๆ ทรัพย์สินวิบัติวอดวายไปทันตาเห็น ที่รุนแรงจนถึงกับโดนไฟไหม้บ้านก็เคยปรากฏมาแล้ว! เมื่อราว 5-6 ปีก่อน ผมไปกราบไหว้หลวงพ่อทวดที่วิหารในวัดเอี่ยมวรนุช บางขุนพรหม ได้พบกับ "อาจารย์น้อม" ชายชราวัยแปดสิบเศษที่ยังสดชื่นแข็งแรง...ได้ทราบว่าท่านผู้นี้เป็นคนออกแบบตำหนักอันงดงามของเจ้าแม่กวนอิมที่ถัดเข้าไปด้านใน ..ใต้เงาไม้ร่มรื่นด้านข้างพระอุโบสถ เมื่อเราคุยกันถึงเรื่องโอปปาติกะและสัมภเวสีต่างๆ มาพอสมควร อาจารย์น้อมได้กรุณาเล่าถึงรายละเอียดพิสดารของอิทธิฤทธิ์นางตะเคียนให้ผมฟัง...เรื่องราวมีดังนี้ ถึงแม้ว่าจะมีเรื่องราวของนางไม้ผู้นี้โดยละเอียดพิสดาร ตามที่ได้รับรู้กันเป็นส่วนมากแล้ว ยังมีอำนาจลึกลับ สะกดใจผู้ชายให้เคลิบเคลิ้มหลงใหลได้อย่างง่ายดาย น้ำมันตะเคียน! น้ำมันที่รินไหลเงียบเชียบ ชุ่มเยิ้มอยู่ตามโคนเสา ไม่ว่าบนเรือนหรือใต้ถุนบ้าน มีผ้าแพรผูกไว้บ้าง ปิดทองอร่ามบ้าง ไม่มีใครรู้ว่าต้นไม้ที่ถูกตัดโค่นจนแห้งตายมาเป็นปีๆ จนถึงหลายสิบปี จู่ๆ จะมีน้ำมันไหลเยิ้มออกมาให้น่าขนลุกได้ยังไง? นั่นคือสิ่งที่คนส่วนมากมองข้ามไป...กลิ่นหอมอันแสนมหัศจรรย์ของน้ำมันตะเคียน! ในตอนกลางวัน ทั้งที่อากาศร้อนอบอ้าว แต่น้ำมันที่ตกจากเสาดูสงบนิ่งราวกับจะเหือดหายไปโดยง่าย อีกทั้งปราศจากกลิ่นอายใดๆ ที่ชวนให้หวาดระแวง...แต่เมื่อถึงยามราตรีน้ำมันนั้นกลับเอ่อชุ่ม ไหลรินเงียบเชียบ กลิ่นหอมอันลี้ลับ เยือกเย็น สะกดให้คนอยู่ใกล้ได้กลิ่นแล้วพร่ามึนเหมือนถูกมนต์สะกดไปตามๆ กัน โดยเฉพาะผู้ชายหนุ่มๆ จะตกเป็นเหยื่อได้ง่ายดายที่สุด! เมื่อได้กลิ่นหอมแปลกประหลาด เผลอไผลสูดดมเข้าไปได้ครู่เดียว ชายนั้นจะมองเห็นภาพสาวงามอยู่ในชุดชาวดงปรากฏขึ้นเลือนราง ก่อนจะค่อยๆ ชัดเจนขึ้นทุกที จนกลายเป็นมนุษย์ผู้ดูมีเลือดเนื้อและชีวิตชีวาขึ้นโดยพลัน สาวสวยผู้หอมกรุ่นชม้ายชายตามอง ยั่วยวนให้ชายหนุ่มตะลึงลาน บังเกิดความหลงใหลเข้าไปไขว่คว้าจับต้อง...ร่วมภิรมย์สมสองชนิดลืมตัวลืมตาย! เมื่อมีผู้มาพบในวันรุ่งขึ้น ล้วนแต่ตกตะลึงพรึงเพริดไปตามๆ กัน นั่นคือ...ชายหนุ่มนั้นกอดรัดเพ้อรำพันอยู่กับเสาตกน้ำมัน พูดจาไม่เป็นภาษา ใครห้ามปรามก็ไม่ฟัง จนต้องไปนิมนต์พระหรือเชิญผู้เก่งกล้าวิทยาคมมาช่วยเหลือ ใช้น้ำมนต์แก้อาถรรพณ์จึงทุเลาจากน้ำมันเสน่ห์ของนางตะเคียน รายหนึ่งที่อยุธยา สามีเกิดคลุ้มคลั่งอาการหนักจนไม่อาจถอนเสน่ห์ได้...ภรรยาต้องตัดใจรื้อเรือนไปถวายวัด สามีจึงได้สติกลับมาตามเดิม เป็นที่โจษขานร่ำลือกันสืบมาจนถึงทุกวันนี้...น่าขนหัวลุกนะครับ จาก ขนหัวลุก ใบหนาด จาก http://www.amulet-buddha.com/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%96%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%93%E0%B9%8C-t9745.0.html

ทำไมบางคนถึงเห็นผี

สงสัยไหมว่าทำไมบางคนถึงเห็นผี และเห็นบ่อยซะด้วย แต่บางคนก็ไม่เคยแม้แต่จะเจอ ลบหลู่ขนาดไหนก็ไม่เจอ ลองอ่าน นี่แล้วอาจจะเข้าใจมากขึ้น เหอะๆๆๆๆๆ ๛ เกิดวันอาทิตย์ ช่วงไหนที่คุณเจ็บป่วย ไม่สบาย หรือไม่ก็อ่อนแอทางจิตใจ ให้หลีกเลี่ยงที่จะใกล้ชิดกับผู้หญิงที่กำลังตั้งท้อง เพราะพลังอะไรบางอย่างที่ลึกลับ อาจจะทำให้คุณเห็นผี หรือ วิญญาณ ได้ ๛ เกิดวันจันทร์ สำหรับคุณแล้ว จะส่องกระจกน่ะส่องได้ แต่อย่าส่องหลังเวลาเที่ยงคืนถึงเช้า โดยเฉพาะในกระจกร้าว และถ้าได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ หรือเสียงเรียกเวลาค่ำคืน อย่าพูดทัก หรือขานตอบ เพราะนั่นอาจจะเป็นเสียงที่ทวงถามวิญญาณของคุณก็ได้ ๛ เกิดวันอังคาร คนเกิดวันอังคารลำบากกว่าคนเกิดวันอื่นเสียแล้ว เพราะคุณไม่ควรเข้าห้องน้ำนอกบ้าน ถ้าไม่มีธุระ คุณควรจะอยู่ให้ห่างจากห้องน้ำที่ไม่น่าไว้ใจเอาไว้ เพราะอาจมีบางอย่างแอบติดตามคุณออกมา หรือปรากฏให้คุณเห็น ๛ เกิดวันพุธ คุณไม่ควรไปงานศพ เพราะอาจจะมีวิญญาณติดตามตัวคุณกลับออกมา แต่ถ้าหากว่าเป็นงานที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หลังจากที่กลับมาจากงานศพแล้ว ให้รีบอาบน้ำก่อนเที่ยงคืน และถ้าจะให้ดีน้ำที่อาบควรเป็นน้ำว่าน ๛ เกิดวันพฤหัส ในยามวิกาล มืดๆ อย่ามองไปที่หัวบันได เพราะคุณอาจจะมีอะไรบางอย่างปรากฏให้คุณเห็นที่ตรงนั้น หากว่าได้ยินเสียงแปลกๆ คล้ายๆ กับเรียกชื่อคุณ อย่าขานตอบ ให้ก้าวเท้าถอยหลัง 1 ก้าว แล้วเสียงนั้นจะหายไป ๛ เกิดวันศุกร์ เคยได้ยินหรือเปล่าว่าธาตุน้ำ อาจจะเป็นเหมือนประตูเชื่อมระหว่างโลกมนุษย์ กับ โลกวิญญาณ ดังนั้น คนที่เกิดวันศุกร์อย่างคุณควรหลีกเลี่ยงการเดินทางทางน้ำ ๛ เกิดวันเสาร์ ศาลพระภูมิ คือ สิ่งต้องห้ามสำหรับคนเกิดวันเสาร์ ไหว้ เคารพ ได้ แต่อย่ามองจ้อง หากได้ยินเสียงหมาเห่า หอน เกรียวกราว ใกล้ๆ ตัว นั่นอาจแปลได้ว่าคุณกำลังโดนติดตามโดยภูตผี วิญญาณ http://www.amulet-buddha.com/%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%96%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%B5-t10218.0.html

ผีกระสือ ตำนานและความเชื่อเรื่องผีกระสือ

ความเชื่อเกี่ยวกับผีกระสือ กระสือเป็นผีชนิดหนึ่ง เชื่อกันว่าสิงสู่อยู่ในตัวของคนเพศหญิงซึ่งโดยมากมักเป็นยายแก่ ชอบรับประทานของสดคาว มักออกหากินกลางคืนและไปแต่หัวกับตับไตไส้พุง ส่วนร่างกายคงทิ้งไว้ที่บ้าน เวลาไปจะเห็นเป็นดวงไฟดวงโตมีแสงสีเขียวเรืองวาม ๆ ใครคลอดลูกใหม่ กลิ่นสดคาวของเลือดจะชักนำให้ผีกระสือมาและเข้าสิงกินตับไตไส้พุงของหญิงที่คลอดลูกหรือของทารกที่คลอดนั้น เหตุนี้ชาวบ้านจึงมักเอาหนามพุทราสะไว้ที่ใต้ถุนเรือนตรงที่มีร่องมีรู เพื่อป้องกันมิให้กระสือเข้ามา เชื่อกันว่ากระสือกลัวหนามเกี่ยวไส้ นอกจากของสดของคาวแล้ว กระสือยังชอบรับประทานของโสโครกเช่นอุจจาระเป็นต้น เมื่อรับประทานแล้วเห็นผ้าของใครตากทิ้งค้างคืนไว้ก็เข้าไปเช็ดปาก ผ้านั้นจะปรากฏเป็นรอยเปื้อนดวง ๆ ถ้าเอาผ้านั้นไปต้มกระสือจะรู้สึกปวดแสบปวดร้อนปากทนไม่ไหวจนต้องมาขอร้องไม่ให้ต้มต่อไป กระสือนั้นเมื่อเจ็บจวนจะตายก็ไม่ตายง่าย ๆ ต้องคายน้ำลายของตนถ่ายเข้าปากลูกหลานคนใดคนหนึ่งไว้ให้สืบทายาทเป็นกระสือต่อก่อน ตนจึงจะตายได้โดยไม่ต้องทุกข์ทรมานอีกต่อไป การปราบกระสือนั้น ไม่สามารถไล่ผีที่มาสิงสู่ออกจากร่างเหยื่อได้ ว่ากันว่าวิญญาณนั้นได้หยั่งลึกลงในใจของคน ๆ นั้นแล้ว ฉะนั้น การปราบกระสือก็เท่ากับต้องฆ่าคน ๆ นั้นไปเลย ลักษณะของกระสือกระสือในรูปแบบที่คนไทยส่วนใหญ่รู้จัก คือ เป็นผีผู้หญิงแก่ที่ล่องลอยไปพร้อมกับหัวและไส้และอวัยวะส่วนอื่น เช่น หัวใจ, ปอด และเรืองแสงได้เรือง ๆ แต่ทว่าตามนิยามของ เสฐียรโกเศศ แล้ว กระสือเป็นเพียงผีผู้หญิงแก่ที่มีเพียงหัวกับแสงเรือง ๆ เท่านั้น ไม่มีไส้หรืออวัยวะส่วนอื่นใด ซึ่งที่ของกระสือที่มีหัวกับไส้หรืออวัยวะส่วนอื่น ๆ แบบที่คุ้นเคยกันนั้น มาจากภาพวาดของ ทวี วิษณุกร ที่แต่งเติมเอาจากจินตนาการในใบปิดภาพยนตร์เรื่อง "กระสือสาว" ที่ฉายเมื่อปี พ.ศ. 2516 นำแสดงโดย สมบัติ เมทะนี และ พิศมัย วิไลศักดิ์ กระสือในทางวิทยาศาสตร์กระสือ มักถูกอธิบายในทางวิทยาศาสตร์ว่า คือ ดวงไฟที่ลุกโชนจากโมเลกุลของก๊าซมีเทนที่เกิดจากการสะสมของซากเน่าเปื่อยของอินทรียสารในนาข้าวหรือท้องทุ่ง แต่ในทัศนะของ รศ.ดร.สิรินทรเทพ เต้าประยูร นักวิชาการผู้ค้นคว้าเรื่องพลังงานแห่งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เห็นว่า ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะก๊าซมีเทนในนาข้าวนั้นไม่ได้มีปริมาณมากพอที่จะเกิดการลุกไหม้ อีกทั้งถ้าลุกไหม้จริงก็จะปรากฏอยู่บริเวณเฉพาะผิวหน้าของวัตถุ มิได้ลอยขึ้นไปในอากาศหรือเคลื่อนที่ได้ อีกทั้งในทางกายวิภาค เมื่อถอดส่วนหัวแล้ว อวัยวะส่วนอื่น ๆ เช่น ไส้, หัวใจ หรือปอด ก็จะไม่ติดออกมาด้วย

มันมาจากนรก

'คมศร' เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากเมืองกำแพงฯ สมัยเด็กผมอยู่ อ.พรานกระต่าย จ.กำแพงเพชร เมืองแห่งกล้วยไข่และกระยาสารทอันขึ้นชื่อลือชาที่สุดของเมืองไทยนั่นแหละครับ ครั้งนั้นบ้านเมืองยังไม่เจริญเหมือนทุกวันนี้ ชาวบ้านยึดอาชีพทำไร่ทำนา ทำสวนและหาของป่าขาย พวกผู้หญิงที่เสร็จจากงานบ้านก็ทำสวนผัก ทอผ้าที่ใต้ถุน บ้างก็มีฝีมือทางจักสาน ทำกระจาด กระบุง ตะกร้าสวยๆ เอาไว้ใช้เองบ้าง ขายบ้าง พูดกันโดยรวมแล้ว ถือว่าชาวบ้านอยู่ในฐานะพออยู่พอกิน ไม่มีอะไรเดือดร้อน วัฒนธรรมของพวกเราคล้ายคลึงกับคนไทยภาคกลางส่วนใหญ่ มีทั้งมอญ ลาว พวน และจีน ผสมกลมกลืนแทบแยกไม่ออก นับถือผีบรรพบุรุษ เชื่อว่าวิญญาณของผู้ตายจะคอยคุ้มครองลูกหลานตลอดไป เรื่องผีที่น่ากลัวมากคือผีของคนที่ออกลูกตาย หรือเรียกว่าตายทั้งกลมนั่นเอง! บางปีมีคนออกลูกตายถึง 2-3 ราย เพราะการแพทย์ยังไม่เจริญ ส่วนมากจะอาศัยฝีมือหมอตำแยชื่อป้าอบ คนท้องแก่ก็มักจะเจ็บท้องใกล้คลอดลูกตอนกลางคืนเสียด้วย เดือดร้อนป้าอบต้องถูกปลุกกลางดึก คว้าตะกร้าเครื่องใช้ไม้สอยราวกับล่วมยาของแพทย์ กระวีกระวาดไปทำหน้าที่นางผดุงครรภ์ หรือสูตินารีแพทย์โดยด่วน ปีหนึ่ง มีข่าวลือว่าพญามัจจุราชจะมาเอาชีวิตเด็กๆ ไปเมืองผีถึง 7 คน! บ้างก็ว่าครบรอบปีอาถรรพณ์ บ้างก็เชื่อว่ามีวิญญาณบาปหลบหนีจากนรกมาเกิดในเมืองมนุษย์ เทพเจ้าแห่งความตายกริ้วโกรธมาก จึงติดตามมากระชากวิญญาณกลับแดนอเวจีตามเดิม ในเวลาไล่ๆ กัน มีคนตั้งท้องถึง 2 ราย คือน้าสวยกับน้าวิไล! บ้านไหนมีการตั้งท้อง ใกล้จะคลอดลูก บ้านนั้นก็จะตระเตรียมข้าวของที่จำเป็นเอาไว้อย่างพรักพร้อม คือพ่อบ้านจะตัดไม้สะแกมาตากแดด แล้วซ้อนกันเป็นกองๆ สำหรับใช้ในการอยู่ไฟ นอกจากนั้นยังตัดกิ่งพุทราหรือไผ่มาสะไว้ตามรั้วบ้าน เพื่อป้องกันภูตผี เช่น ปอบหรือกระสือ มากินเด็กอ่อนเพราะกลิ่นคาวเลือดดึงดูดใจ น้าสวยถึงเวลาคลอดลูกก็เกิดเรื่องน่าสยองขวัญขึ้นโดยไม่มีใครนึกฝัน! นั่นคือ แกเจ็บท้องร้องโอดโอยตั้งแต่กลางดึกจนถึงรุ่งเช้า ป้าอบและเพื่อนบ้านช่วยกันข่มท้องแต่ก็ไร้ผล เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดของน้าสวยดังบาดลึกเข้าไปถึงหัวใจของแทบทุกคนจริงๆ ครับ ชาวบ้านมาดูกันหนาตา ประสงค์จะช่วยเหลือเท่าที่จะทำได้ มีเสียงซุบซิบกันว่าจะโดนอาถรรพณ์หรือเปล่า? บางคนบอกได้ยินเสียงนกแสกบินผ่านหลังคา ร้องแซ้กๆ น่าขนหัวลุกไปด้วย แต่บางคนก็บอกว่าเป็นธรรมดาของท้องแรกที่มักจะคลอดยาก ทั้งป้าอบและผู้ช่วยเหงื่อตกไปตามๆ กัน สั่งให้น้าสวยเบ่งเต็มที่ แต่สิ่งที่โผล่ออกมาจากท้องทำให้ทุกคนใจหายวาบเพราะเป็นเท้าเล็กๆ ข้างหนึ่งบ้าง สองข้างบ้าง บางครั้งก็โผล่มือออกมาโบกไหวๆ ราวกับจะล้อหลอกอย่างน่าสยองขวัญ เสียงน้าสวยร้องกรี๊ดดดด...เป็นครั้งสุดท้าย ทารกเจ้ากรรมหลุดออกจากท้องมาได้ก็สิ้นลมปราณทั้งแม่และลูก ฝังศพน้าสวยเสร็จก็ถึงคราวหน้าวิไล! บรรยากาศในหมู่บ้านเต็มไปด้วยความเยือกเย็น น่าวังเวงใจ หมูหมาโก่งคอหอนระงมราวกับพวกมันมองเห็นอะไรบางอย่างที่น่าเกลียดน่ากลัวอย่างเหลือประมาณ ถึงแม้ท้องน้าวิไลจะเป็นท้องที่สอง แต่กลับทำให้ทุกคนถึงกับอ้ำอึ้งตะลึงตะไลไปตามๆ กัน เมื่อป้าอบแจ้งข่าวร้ายว่า...เด็กตายในท้องแม่เสียแล้ว! แถมยังน่าขนลุกขึ้นไปอีกเมื่อท้องน้าวิไลโป่งขึ้นยุบลง ราวกับเด็กที่ตายแล้วจะพลิกตัวไปมาอยู่ในท้องกระนั้น! เสียงน้าวิไลร้องครางว่าช่วยด้วยๆ ป้าอบหน้าดำคร่ำเครียด บอกเสียงเหี้ยมๆ ว่าศพเด็กมันแรงเหลือเกิน ต้องใช้อาคมช่วยให้ออกจากร่างเร็วๆ ไม่งั้นแม่เด็กจะมีอันตราย ป้าอบทำพิธีด้วยการเอาด้ายมาจับเป็นมงคล 7 เส้น แล้วเสกคาถาพึมพำก่อนจะม้วนให้น้าวิไลกินกับน้ำมนต์ซึ่งเสกคาถาเช่นกัน เพื่อให้มงคลคลายในท้องแม่ แล้วสวมคอลูกที่ตายในท้อง ป้าอบร่ายคาถาเร็วปรื๋อแล้วเป่าลงที่กระหม่อมน้าวิไล ไปยืนอยู่ใกล้ๆ ศีรษะแล้วกระทืบเท้าอย่างแรงสามครั้ง น้าวิไลร้องกรี๊ดสุดเสียง...ทารกที่ตายก็หลุดผลัวะออกมา! ซากเละๆ ของศพเด็กเน่าเหม็นสุดขีดจนผู้คน แตกกระเจิง ฝูงหมาเห่าขรม ยอดไม้ไหวซ่าเหมือนเสียงใครหัวเราะครืนใหญ่ด้วยความสาสมใจอย่างเหลือประมาณ!

มนต์เรียกผี

'ป้างาม' เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อไปเที่ยว ป่าช้าเก่า ถ้าพูดถึงเรื่องผีๆ สางๆ ป้าเองก็ไม่น้อยหน้าใครหรอกค่ะ...ไม่ใช่ว่าเป็นคนเก่งกาจไม่กลัวผีนะคะ ตรงกันข้าม คือกลัวแสนกลัว แต่ก็ถูกหลอกหลอนมาไม่มากไม่น้อย ขนาดเคยนึกปลงๆ ว่าน่าจะคุ้นเคยกันดีแล้วนี่นา ป้ากับผีน่ะ! คือบ้านช่องอยู่ใกล้ๆ ป่าช้าผีดิบมาแต่เล็กแต่น้อยแล้ว ไม่คุ้นก็ต้องคุ้นค่ะคุณ ขืนกลัวนั่นกลัวนี่มากไป คนเขาจะหาว่าเราดัดจริตน่ะ ไม่ใช่อะไร เดี๋ยวก่อน...ป่าช้าผีดิบที่ว่าน่ะไม่เหมือนผีฝรั่งนะคะ แต่เป็นผีที่ตายเพราะความแก่ชรา หรือเจ็บไข้ตาย ไม่ใช่ตายเพราะถูกฆ่าหรือฆ่าตัวตาย รวมทั้งตายเพราะอุบัติเหตุที่เรียกว่าผีตายโหง...ประเภทหลังนี่ต้องไปอยู่ป่าช้าผีสุกค่ะ คือฝังเอาไว้ก่อนซักปีสองปีถึงจะขุดขึ้นมาเผา เหลือแต่ซากหรือกระดูกเท่านั้นแหละ เขาถึงเรียกป่าช้าผีสุกไงคะ! คนต่างถิ่นก็อยากมาดูป่าช้าผีดิบกัน แล้วพูดคุยกันไปต่างๆ นานา บ้างก็ว่าไม่น่ากลัวเพราะเผาจี่ไปหมดแล้ว วิญญาณคงจะไปผุดไปเกิดกันหมด แต่บ้างก็ว่าไม่แน่หรอก เพราะขึ้นชื่อว่าป่าช้าเสียอย่าง ถึงจะไม่มีศพอยู่ในหลุม แต่กองฟอนหรือเถ้ากระดูกที่กระจายอยู่รอบเมรุน่ะเป็นประจักษ์พยานว่าเคยมีศพที่โดนเผามาไม่รู้ว่ากี่ร้อยกี่พันศพแล้ว ใครอยากดูป้าก็พาไปดู บรรยากาศที่ค่อนข้างร่มครึ้ม มีกอไผ่ ต้นข่อย กับไม้ล้มลุกขึ้นเกือบรอบเมรุ เสียงแมลงที่ระงมอยู่ในซุ้มไม้กลับเงียบเชียบ เพิ่มความวังเวงจนรู้สึกเสียวหลังชอบกล วันก่อนหลานสาวจากกรุงเทพฯ ก็พาเพื่อนผู้หญิงสองคนมาเที่ยวอยุธยา ชื่อแป้งกับไผ่ ทาปากทาแป้งเหมือนจะไปเล่นละครชาตรี แต่งตัวชะเวิกชะวากน่าขนลุก เสื้อสายเดี่ยวกับกางเกงขาสั้นจุ๊ดจู๋ ไม่รู้ว่าจะโชว์ขาอ่อนขาวๆ ไปให้ใครดู...สงสัยจะมาอวดผีซะละมั้ง? อยากมาทัศนาจ้อน...เอ๊ย! ทัศนาจรป่าช้าผีดิบกันค่ะ! ฟังสาวสมัยใหม่พูดคุยกันเล่นเอาป้าเวียนหัวไปหมด เดี๋ยวก็ 'เค้าอยากดูจังเงยง่ะ...ผีดุจริงๆ เหงอ?' เดี๋ยวก็ 'ต๊าย! ขนลุกหมดล้าวว...' คนแก่ๆ อย่างป้าฟังแล้วพลอยขนลุกขนชัน จะบอกว่า 'อย่ากระแดะนักเลย นังหนูเอ๊ย!' ก็คงไม่เข้าใจ 'กระแดะ' แปลว่าอะไร? เอ้า! หลานสาวมันโฆษณาสรรพคุณเอาไว้เยอะนี่ อยากดูนักก็จะพาไปดู เผื่อผีหนุ่มผีแก่ที่ยังไม่ได้ไปผุดไปเกิดจะได้ดูเด็กสาวสวยๆ อกพุ่งสะโพกผาย ก้นงอนๆ แก้เหงามั่ง เย็นนั้นป้าก็ออกนำหน้า มีหลานสาวกับเพื่อนเดินตาม พลางพูดคุยจ๋อยๆ ไม่ขาดปาก ยังกะจะไปดูหนังหรือกำลังเดินนวยนาดอวดสายตาพวกหนุ่มๆ จนกระทั่งเลี้ยวเข้าสู่เขตป่าช้า เห็นหลังคาเมรุเขรอะสนิมจนเป็นรู...แป้งกับไผ่วิ่งออกหน้าเหมือนเป็นเจ้าถิ่น ร้องแจ้วๆ ว่า...ถึงป่าช้าผีดิบแล้วโว้ย! ป้ารีบเดินตามหลัง...ท้องฟ้ามืดครึ้มด้วยเมฆหนาทึบบดบังแสงอาทิตย์ แต่แม่พวกสาวๆ ไม่แยแสหรือหวาดกลัวหรอกค่ะ ส่งเสียงกิ๊วก๊าวกันอย่างสนุก หลานสาวป้าก็ต้องคอยตอบคำถามเพื่อนที่ดังจ๋อยๆ แทบไม่ขาดปาก เนี่ยที่เผาผีเหงอ? เมรุหรือเชิงตะกอน? ขี้เถ้าขาวๆ ข้างหลังน่ะอะไร? ว้าย! ขี้เถ้ากระดูกผี! แล้วมีผีอยู่ป่ะ? โหย...ขนลุกหมดล้าวว... ป่าช้าผีดิบนี่ไม่ได้เผาผีมาหลายปีแล้วล่ะค่ะ เขาย้ายไปป่าช้าที่วัดกันหมด ไม่ว่าผีดิบหรือผีสุก แต่ป่าช้าเก่าก็ยังไม่มีใครมารื้อหรือโก่นถาง ปลูกสร้างอะไรขึ้นมาเสียที...แป้งกับไผ่เดินดูนั่นดูนี่ เห็นอะไรก็ทักดะไปหมด...นั่นหน่อไม้ใช่มั้ย? นี่ต้นอะไร? ข่อยเหรอ...ไม่เคยได้ยินแฮะ ต๊าย! เอาไปเคี้ยวมั่ง ทุบมาสีฟันมั่ง? ทำไมไม่รู้จักใช้แปรงนะ? เสียงพูดแจ้วๆ แทบไม่หยุดปาก ป้านึกถึงผีๆ สางๆ อย่างช่วยไม่ได้...ถ้าผีมีจริงพวกผีผู้ชายไม่ว่าหนุ่มหรือแก่คงจะจ้องมองอกอวบๆ กับขาขาวๆ อวบอัดอล่องฉ่องของสองสาวมั่งหรอกน่า... จู่ๆ สายลมก็พัดฮือขึ้นมาจนยอดไม้ไหวซ่า เกิดเสียงเกรียวกราวบนหลังคาเล่นเอาป้าตกใจ...นึกถึงผีๆ ก็มาเลยรึไง? แต่มีเสียงพึ่บๆ พั่บๆ บาดใจ ก่อนที่สังกะสีเขรอะสนิมจะถูกลมหอบปลิวว่อนลงมาสองแผ่น เรียกเสียงวี้ดว้ายจากพวกสาวๆ ที่หน้าซีดหน้าเซียวไปตามๆ กัน ความมืดโรยตัวลงมาอย่างรวดเร็ว ตกลงว่ากลับบ้านซะที แต่แป้งกับไผ่เหลียวไปมองข้างหลังไม่หยุดหย่อน ป้าถามว่ามองอะไรก็ถูกถามกลับว่า มีบ้านใกล้ๆ ป่าช้าด้วยหรือ? ป้าส่ายหน้าบอกว่าไม่มีหรอก แต่สองสาวย่นคิ้ว หันไปชี้มือให้ป้าดู 'แล้วผู้ชายพวกนั้นมาจากไหนล่ะป้า? เค้าตามเรามาตั้งหลายคนแน่ะ' ป้าหันไปมองแต่ไม่เห็นอะไร เลยได้แต่อ้าปากค้าง แข้งขาแข็งทื่อไปหมด เสียงแจ๋วๆ ดังอีกว่า...ป้าเห็นใช่มั้ย? ดูซี่! เขาเดินมาหาเราแล้ว! คราวนี้ป้าตกใจจนพูดไม่ออก แต่จ้ำอ้าวไม่เหลียวหลัง เสียงหลานสาวร้องว่าพวกเธอโดนผีหลอกน่ะซี! เท่านั้นล่ะค่ะวิ่งกันตูดแป้น แซงป้าไปเลย! เฮ้ย...

คืนเขย่าขวัญ

'ก้อง' เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากถนนอรุณอมรินทร์ ตอนแรกๆ ผมไม่เคยเชื่อเรื่องผีๆ สางๆ เลยครับ เพราะคิดว่าคนที่ตายไปแล้วก็ถูกเผาหรือถูกฝัง กลายเป็นเถ้าธุลี...เป็นซากที่ต้องผุพังไป ส่วนวิญญาณจะไปสวรรค์หรือนรกก็ไม่รู้ว่าจะมีจริงหรือเปล่า? แล้วจะมีผีสางที่ไหนมาหลอกหลอนคนเป็นๆ อย่างพวกเราที่มีลมหายใจได้ล่ะ? แต่แล้ว ผมเองก็ต้องประสบกับเหตุการณ์น่าอกสั่นขวัญแขวนเข้าเต็มเปา แถมเรื่องราวน่าขนหัวลุกยังเกิดขึ้นที่หน้าห้องพักโดยไม่นึกไม่ฝัน ผมเป็นคนธนบุรี เช่าห้องพักอยู่ที่อรุณอมรินทร์ 44 นี่เองครับ! คืนเกิดเหตุตรงกับวันเสาร์ เพื่อนชวนไปเที่ยวบาร์คาราโอเกะแถวปิ่นเกล้าที่อยู่ใกล้ๆ ห้างพาต้า มีเจ้าผึ่งกับเจ้าบี๋และผม...แหม! พวกเรายังโสดสนิทกันทุกคนแม้ว่าอายุจะขึ้นเลขสามแล้ว แต่เพื่อนๆ อีกหลายคนอายุย่างสี่สิบยังโสดอยู่ก็มี อ้อ! ต๋อยแฟนสาว ก็ไปเยี่ยมบ้านที่ปราจีนบุรีตั้งแต่วันศุกร์ กำหนดกลับเย็นวันอาทิตย์ เราคุยกันทางมือถือบ่อยๆ ตั้งแต่เธอขึ้นรถไปจนถึงจุดหมายโดยปลอดภัย วันนี้ผมก็โทร.ไปหาเธอ อ้อนว่าคิดถึงมากๆ จนหัวใจไปอยู่ที่ปราจีนฯ แล้ว อยากเร่งรัดเวลาให้ถึงพรุ่งนี้เร็วๆ จะไปรอรับที่ท่ารถเพราะอยากเห็นหน้าสวยๆ หวานๆ จนใจแทบจะขาดแล้ว ต๋อยหัวเราะคิกคัก...ถึงยังไงคนเราก็ชอบฟังคำพูดหวานๆ ได้ยินแล้วชื่นใจกันทุกคนน่ะแหละครับ ขนาด หิโตปเทศยังสอนว่า 'อย่ากล่าวคำพูดไม่น่าฟังกับเพื่อนมนุษย์' คิดดูแล้วกัน! สาเหตุที่เอาเรื่องโทรศัพท์มาบอกกล่าวก็เพราะมันนี่เอง ที่ทำผมโดนผีหลอกเต็มรักใคร่แทบจับไข้หัวโกร๋นเลยละครับ!! ตอนที่กำลังสนุกอยู่ในบาร์ราวสี่ทุ่ม เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น...ต๋อยโทร.มาหานั่นเอง 'โหลวๆ ยังไม่นอนอีกหรือจ๊ะ รู้มั้ยว่าพี่คิดถึงแค่ไหน...' 'พี่ก้อง...พี่ก้องพูดดังๆ ซีคะ ต๋อยไม่ได้ยิน' 'แต่พี่ได้ยินเสียงต๋อยชัดแจ๋วเลย...' 'พี่ก้องว่ายังไงนะ? โหลวๆ ได้ยินหรือเปล่าคะ?' 'ได้ยินจ้ะ...' ผมเสียงดังขึ้น...คงจะเป็นเพราะเสียงเพลงที่ดังกระหึ่มทำให้เธอไม่ได้ยินเสียงผม เอ๊ะ! แปลกแฮะ...แล้วทำไมผมได้ยินเสียงเธอชัดเจนล่ะ? สักพักใหญ่ๆ ผมก็ยอมแพ้ หันไปบอกเพื่อนเรื่องสัญญาณไม่ดีเลยไม่ได้คุยกัน เจ้าผึ่งกำลังเพลินกับสาวโคโยตี้ที่กำลังโลดเต้นไฟแลบอยู่บนเวที เด้งหน้าเด้งหลังจนผ้าผืนน้อยแทบจะถูกสองเต้าดันผลัวะออกมาอาบแสงไฟอยู่รอมร่อ 'เฮ่ย! แฟนลื้อคงจะโทร.มากู๊ดไนต์น่ะ อย่าคิดมาก ดูสะโพกใหญ่เบ๊อะบ๊ะนั่นส่ายร่อนซีวะ อื้อฮือ! เวลาอยู่กับแฟนจะทำแบบนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้' ผมไม่สนใจ มัวแต่พะวงถึงเรื่องที่ต๋อยไม่ได้ยินเสียงผม แต่ผมกลับได้ยินเสียงเธอชัดแจ๋วทุกถ้อยคำ...ราวครึ่งชั่วโมงต่อมา อดรนทนไม่ไหวต้องควักมือถือออกมาโทร.หาเธออีก...แต่ผลที่ได้ก็เป็นไปตามเดิม! ต๋อยบอกให้ผมพูดดังๆ แต่ก็ไร้ผล ส่วนผมได้ยินเสียงเธอชัดแจ๋วเหมือนกำลังพูดอยู่ข้างๆ หูไม่มีผิด...ตื๊อเท่าไหร่ก็ไร้ผลจนต้องยอมแพ้อีกครั้ง กระทั่งขากลับราวสองยาม...เจ้าผึ่งแยกกลับบ้านแถววัดระฆัง เจ้าบี๋ขี่แมงกะไซค์ให้ผมซ้อนไปส่งหน้าตึกแถวที่ผมเช่าห้องอยู่ที่นั่น ส่วนมันบึ่งกลับบ้านแถวบางพลัด ตัดสินใจโทร.หาแฟนสาวอีกครั้ง...ให้ตายเถอะ! แบตฯ หมดพอดี! ความที่กลัวต๋อยจะน้อยใจ ผมรีบผลุนผลันออกจากห้อง จ้ำอ้าวไปทางปากซอยผ่านวินมอเตอร์ไซค์ที่ไม่เหลืออยู่ซักคัน ตรงหัวมุมด้านซ้ายมีตู้โทรศัพท์สาธารณะตั้งเด่น...รีบหยอดเหรียญมือไม้สั่น ไม่สนใจกับถนนเปล่าเปลี่ยวอยู่ในแสงไฟ ในซอยก็ไม่มีรถราผ่านเข้าออกเลย ใจเต้นระทึก ฟังเสียงสัญญาณเรียกยาวๆ 4 ครั้ง 5 ครั้งก็แล้วแต่ไม่มีเสียงตอบรับ ต๋อยอาจจะหลับไปแล้ว หรืองอนผม...แหละหรือว่าเป็นเบอร์แปลกตาเลยไม่ยอมรับก็เป็นได้ ผมวางหูแล้วลองโทร.ใหม่ แต่ก็ไม่มีการตอบรับเหมือนเดิม อยากจะลองอีกครั้งก็ชักท้อ อาจจะรบกวนเวลานอนของสาวคนรักก็เป็นได้ อ้าว? เหรียญห้าก็ไม่เหลือแล้ว ผมออกจากตู้เดินคอตก คิดว่าพรุ่งนี้จะรีบโทร.หาแฟนแต่เช้า...แต่รถมอเตอร์ไซค์คันนั้นมาจอดอยู่ที่วินตอนที่ผมเข้าไปโทรศัพท์ ก้าวขึ้นซ้อนท้ายบอกจุดหมายที่ใครๆ ก็รู้จักดี...เสียง สตาร์ตรถดังกระหึ่ม รถพุ่งพรวดเหมือนจะแข่งนรกเล่นเอาผมใจหายวาบ ต้องเกาะเอวพี่คนขับไว้แน่น...แทบจะในพริบตาก็ถึงจุดหมาย ผมลงมาล้วงกระเป๋าหยิบเงิน แต่มอเตอร์ไซค์นั่นเลี้ยวขวับกลับทางเดิม...แล้วรถที่ว่างเปล่าไร้คนขับก็แล่นหายไปในแสงไฟเยือกเย็น...ผมไม่ช็อกตายคาที่ก็บุญเต็มทีแล้วครับ...บรื๋อส์!!