วันศุกร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2555

คืนเขย่าขวัญ

'ก้อง' เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากถนนอรุณอมรินทร์ ตอนแรกๆ ผมไม่เคยเชื่อเรื่องผีๆ สางๆ เลยครับ เพราะคิดว่าคนที่ตายไปแล้วก็ถูกเผาหรือถูกฝัง กลายเป็นเถ้าธุลี...เป็นซากที่ต้องผุพังไป ส่วนวิญญาณจะไปสวรรค์หรือนรกก็ไม่รู้ว่าจะมีจริงหรือเปล่า? แล้วจะมีผีสางที่ไหนมาหลอกหลอนคนเป็นๆ อย่างพวกเราที่มีลมหายใจได้ล่ะ? แต่แล้ว ผมเองก็ต้องประสบกับเหตุการณ์น่าอกสั่นขวัญแขวนเข้าเต็มเปา แถมเรื่องราวน่าขนหัวลุกยังเกิดขึ้นที่หน้าห้องพักโดยไม่นึกไม่ฝัน ผมเป็นคนธนบุรี เช่าห้องพักอยู่ที่อรุณอมรินทร์ 44 นี่เองครับ! คืนเกิดเหตุตรงกับวันเสาร์ เพื่อนชวนไปเที่ยวบาร์คาราโอเกะแถวปิ่นเกล้าที่อยู่ใกล้ๆ ห้างพาต้า มีเจ้าผึ่งกับเจ้าบี๋และผม...แหม! พวกเรายังโสดสนิทกันทุกคนแม้ว่าอายุจะขึ้นเลขสามแล้ว แต่เพื่อนๆ อีกหลายคนอายุย่างสี่สิบยังโสดอยู่ก็มี อ้อ! ต๋อยแฟนสาว ก็ไปเยี่ยมบ้านที่ปราจีนบุรีตั้งแต่วันศุกร์ กำหนดกลับเย็นวันอาทิตย์ เราคุยกันทางมือถือบ่อยๆ ตั้งแต่เธอขึ้นรถไปจนถึงจุดหมายโดยปลอดภัย วันนี้ผมก็โทร.ไปหาเธอ อ้อนว่าคิดถึงมากๆ จนหัวใจไปอยู่ที่ปราจีนฯ แล้ว อยากเร่งรัดเวลาให้ถึงพรุ่งนี้เร็วๆ จะไปรอรับที่ท่ารถเพราะอยากเห็นหน้าสวยๆ หวานๆ จนใจแทบจะขาดแล้ว ต๋อยหัวเราะคิกคัก...ถึงยังไงคนเราก็ชอบฟังคำพูดหวานๆ ได้ยินแล้วชื่นใจกันทุกคนน่ะแหละครับ ขนาด หิโตปเทศยังสอนว่า 'อย่ากล่าวคำพูดไม่น่าฟังกับเพื่อนมนุษย์' คิดดูแล้วกัน! สาเหตุที่เอาเรื่องโทรศัพท์มาบอกกล่าวก็เพราะมันนี่เอง ที่ทำผมโดนผีหลอกเต็มรักใคร่แทบจับไข้หัวโกร๋นเลยละครับ!! ตอนที่กำลังสนุกอยู่ในบาร์ราวสี่ทุ่ม เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น...ต๋อยโทร.มาหานั่นเอง 'โหลวๆ ยังไม่นอนอีกหรือจ๊ะ รู้มั้ยว่าพี่คิดถึงแค่ไหน...' 'พี่ก้อง...พี่ก้องพูดดังๆ ซีคะ ต๋อยไม่ได้ยิน' 'แต่พี่ได้ยินเสียงต๋อยชัดแจ๋วเลย...' 'พี่ก้องว่ายังไงนะ? โหลวๆ ได้ยินหรือเปล่าคะ?' 'ได้ยินจ้ะ...' ผมเสียงดังขึ้น...คงจะเป็นเพราะเสียงเพลงที่ดังกระหึ่มทำให้เธอไม่ได้ยินเสียงผม เอ๊ะ! แปลกแฮะ...แล้วทำไมผมได้ยินเสียงเธอชัดเจนล่ะ? สักพักใหญ่ๆ ผมก็ยอมแพ้ หันไปบอกเพื่อนเรื่องสัญญาณไม่ดีเลยไม่ได้คุยกัน เจ้าผึ่งกำลังเพลินกับสาวโคโยตี้ที่กำลังโลดเต้นไฟแลบอยู่บนเวที เด้งหน้าเด้งหลังจนผ้าผืนน้อยแทบจะถูกสองเต้าดันผลัวะออกมาอาบแสงไฟอยู่รอมร่อ 'เฮ่ย! แฟนลื้อคงจะโทร.มากู๊ดไนต์น่ะ อย่าคิดมาก ดูสะโพกใหญ่เบ๊อะบ๊ะนั่นส่ายร่อนซีวะ อื้อฮือ! เวลาอยู่กับแฟนจะทำแบบนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้' ผมไม่สนใจ มัวแต่พะวงถึงเรื่องที่ต๋อยไม่ได้ยินเสียงผม แต่ผมกลับได้ยินเสียงเธอชัดแจ๋วทุกถ้อยคำ...ราวครึ่งชั่วโมงต่อมา อดรนทนไม่ไหวต้องควักมือถือออกมาโทร.หาเธออีก...แต่ผลที่ได้ก็เป็นไปตามเดิม! ต๋อยบอกให้ผมพูดดังๆ แต่ก็ไร้ผล ส่วนผมได้ยินเสียงเธอชัดแจ๋วเหมือนกำลังพูดอยู่ข้างๆ หูไม่มีผิด...ตื๊อเท่าไหร่ก็ไร้ผลจนต้องยอมแพ้อีกครั้ง กระทั่งขากลับราวสองยาม...เจ้าผึ่งแยกกลับบ้านแถววัดระฆัง เจ้าบี๋ขี่แมงกะไซค์ให้ผมซ้อนไปส่งหน้าตึกแถวที่ผมเช่าห้องอยู่ที่นั่น ส่วนมันบึ่งกลับบ้านแถวบางพลัด ตัดสินใจโทร.หาแฟนสาวอีกครั้ง...ให้ตายเถอะ! แบตฯ หมดพอดี! ความที่กลัวต๋อยจะน้อยใจ ผมรีบผลุนผลันออกจากห้อง จ้ำอ้าวไปทางปากซอยผ่านวินมอเตอร์ไซค์ที่ไม่เหลืออยู่ซักคัน ตรงหัวมุมด้านซ้ายมีตู้โทรศัพท์สาธารณะตั้งเด่น...รีบหยอดเหรียญมือไม้สั่น ไม่สนใจกับถนนเปล่าเปลี่ยวอยู่ในแสงไฟ ในซอยก็ไม่มีรถราผ่านเข้าออกเลย ใจเต้นระทึก ฟังเสียงสัญญาณเรียกยาวๆ 4 ครั้ง 5 ครั้งก็แล้วแต่ไม่มีเสียงตอบรับ ต๋อยอาจจะหลับไปแล้ว หรืองอนผม...แหละหรือว่าเป็นเบอร์แปลกตาเลยไม่ยอมรับก็เป็นได้ ผมวางหูแล้วลองโทร.ใหม่ แต่ก็ไม่มีการตอบรับเหมือนเดิม อยากจะลองอีกครั้งก็ชักท้อ อาจจะรบกวนเวลานอนของสาวคนรักก็เป็นได้ อ้าว? เหรียญห้าก็ไม่เหลือแล้ว ผมออกจากตู้เดินคอตก คิดว่าพรุ่งนี้จะรีบโทร.หาแฟนแต่เช้า...แต่รถมอเตอร์ไซค์คันนั้นมาจอดอยู่ที่วินตอนที่ผมเข้าไปโทรศัพท์ ก้าวขึ้นซ้อนท้ายบอกจุดหมายที่ใครๆ ก็รู้จักดี...เสียง สตาร์ตรถดังกระหึ่ม รถพุ่งพรวดเหมือนจะแข่งนรกเล่นเอาผมใจหายวาบ ต้องเกาะเอวพี่คนขับไว้แน่น...แทบจะในพริบตาก็ถึงจุดหมาย ผมลงมาล้วงกระเป๋าหยิบเงิน แต่มอเตอร์ไซค์นั่นเลี้ยวขวับกลับทางเดิม...แล้วรถที่ว่างเปล่าไร้คนขับก็แล่นหายไปในแสงไฟเยือกเย็น...ผมไม่ช็อกตายคาที่ก็บุญเต็มทีแล้วครับ...บรื๋อส์!!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น