วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2555

ผีเฮี้ยนที่ห้างดัง

ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนนะว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง จะพยายามไม่เอ่ยถึงสถานที่ชัดเจน เพื่อผลกระทบ…..ตอนนี้ก็ยังมีให้เห็นและเป็นอยู่….เคยโทรไปออนแอร์นานแล้วกับพิธีกรผีๆ กพล ทองพลับ เมื่อสิบกว่าปีมาแล้วครับ….ซึ่งญาติผมเป็นส่วนหนึ่งของเจ้าหน้าที่ทำงานด้าน วิศวกร ออกแบบ ก่อสร้าง…ไม่ขอเอ่ยนาม ห้างหนึ่งในกรุงเทพมหานครได้ทำการก่อสร้างและมีบริษัทรับเหมาทั้งออกแบบและก่อสร้าง ควบคุม ดูแลงาน…ได้มีการก่อสร้างตามขั้นตอนตามแบบแปลนที่วางไว้ จากชั้น 2 ไปชั้น 3 ขอย้ำนะครับว่า จากชั้น 2 ไปชั้นที่ 3 ….เรื่องเกิดตรงนี้… หลังจากสร้างเสร็จแล้ว มีการย้ายเข้าไปอยู่ของทางร้านค้าต่างๆ เป็นทั้งแบบดีพาร์ท และแบบให้เช่า อยู่ได้ไม่นานครับ เจ้ง ความว่า กลางคืน ทั้งยาม ทั้งแม่บ้าน เจอกันทุกราย เช่น หุ่นเดินได้ แม่บ้านทำความสะอาดที่มาทำงานก่อนห้างเปิด เจอคนนั่งร้องให้ เสื้อผ้าลอยได้ คนวิ่งเข้าไปในต้นเสา …ทีแรก นึกว่าเป็นขโมย ต้องตามยามมาค้นหา แต่ก็หาไม่เจอ…ช่วงห้างเลิก…วงจรปิดจับภาพคนได้ นึกว่าขโมยแอบเข้ามา ค้นหา ไม่เจอครับ พอมีการเปลี่ยนเจ้าใหม่ ก็ต้องมีการปิดปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ออกแบบภายในใหม่ โดยวิศวกรกลุ่มเดิม มาคุมงาน…หลังจากห้าทุ่มแล้ว พวกวิศวกรพากันขึ้นไปทานข้าวที่ห้องอาหารชั้น5 …ซึ่งปิดปรับปรุงเหมือนกัน แต่ก็ยังมีโต๊ะเก้าอี้ให้นั่ง โดยการซื้ออาหารมาทานเองครับ เหล่าคนงานที่มาตกแต่งร้านก็พากันกลับหมดแล้ว กลุ่มพวกวิศวะพากันนั่งทานอาหารกันอยู่นั้น เหลือบไปเจอผู้หญิงวัยกลางคนท่านหนึ่งนั่งหน้าเศร้าอยู่ในมุมมืด..มองมาทางกลุ่มที่ทาน ข้าวอยู่ หัวหน้า พูดกับลูกน้องว่า..ใครวะ ดึกๆ ดื่นๆ ยังไม่กลับอีก มานั่งอยู่ตรงนั้น ไปเรียกเขามาทานข้าวด้วยกันซิ…แล้วก็ให้ลูกน้องไปเรียก หญิงวัยกลางคนคนนั้นมาทานข้าวด้วย พี่ๆๆ ทำไมยังไม่กลับอีก มาทำอะไรอยู่ตรงนี้หรือ…ไม่มีเสียงตอบรับจากหญิงวัยกลางคนก็เลยสำทับกับคำถามเดิมอีกครั้ง…พี่ๆ ทำไมยังไม่กลับอีก มาทำอะไรอยู่ตรงนี้…หัวหน้าให้ผมมาเรียกไปทานอาหารด้วยกัน…มาม๊ะ มาทานอาหารด้วยกัน..เสียงหญิงคนนั้น พูดช้าๆเสียงออกทำนองอิสานว่า..บ่ไปหรอก..ให้หัวหน้าเธอมาทานที่นี่ซิ ฝ่ายลูกน้องก็ตะโกนไปบอกหัวหน้าที่นั่งห่างไม่ใกลเท่าไหร่ ประมาณสัก 5-6 เมตร ว่า หัวหน้า ..เธอไม่ไปหรอก เธอให้พวกเรา มาทานที่โต๊ะของเธอ…จะบ้าเรอะ พวกเราเยอะกว่า จะให้ย้ายไปที่คนน้อยกว่าได้ไง..มานั่งที่นี่ด้วยกันซิ..ผู้หญิงคนนั้นได้ยิน ค่อยๆหันหน้ามาทางหัวหน้าและกลุ่มวิศวะอย่างช้าๆมองแบบตาขวางๆหน้าเศร้าๆ แล้วพูดขึ้นมาว่า หัวหน้าไม่เจอกันตั้งนานยังใจดำเหมือนเดิมนะ….หัวหน้า งง ..ป้ารู้จักผมหรือ ทำไมผมไม่รู้จักป้าเลย….ทำไมจะไม่รู้จักละ ป้าตอบ เออ แล้วป้าเป็นใคร อยู่ที่ไหน มาทำอะไรที่นี่…เสียงจากหญิงลึกลับพูดมาว่า..เวลาผ่านมาไม่นาน ทำเป็นจำหนูไม่ได้ ก็หนูติดอยู่ที่ต้นเสาชั้นสอง ที่หัวหน้าไม่ยอมเอาหนูออกมาไง…เสียงตอบจากป้า ….แค่นั้น ละ…หัวหน้าวิศวะ วิ่งป่าราบ ก่อนเพื่อนเลย ลูกน้องที่นั่งอยู่ด้วย ก็วิ่งตาม…ไป และถามหัวหน้าข้างนอกตึกว่า วิ่งทำไมหรือ…หัวหน้าตอบว่า…มันไม่ใช่คน……………..แล้วก็เลยเล่าเรื่อง ที่เกิดขึ้นพลางสำทับไปว่า…ห้ามแพร่งพราย…ไม่งั้นเดือดร้อนกันทั่ว…จนกว่าเราจะหมดพันธะจากการเป็นที่ปรึกษาของบริษัทนี้ก่อน… เรื่องที่ปกปิดเป็นความลับ คือว่าห้างแห่งนี้ตอนก่อสร้าง ได้มีคนงานเป็นหญิงวัยกลางคนชาวอิสาน ได้ตกไปในเสาเอกหรือเสาหลัก ตอนเทปูน…มาเจอตอนที่เขาแกะบล็อกออกจากเสา จึงรู้ว่า มีคนอยู่ข้างใน…จะเอาออกก็ไม่ได้ ต้องทำการรื้อใหม่ทั้งชั้น จะสูญเสียงบไปหลายสิบล้านบาท…จึงหาวิธีแก้ โดยการโบกปูนฉาบทับไปเลยและปิดเป็นความลั สุดยอด…สอบถามถึงคนที่ติดอยู่ข้างใ เป็นใคร สุดท้ายจึงรู้ว่าเป็นเมียคนงานที่ทำงานอยู่ที่นี่…ฝ่ายผู้รับเหมาและวิศวะเลยต้องหาวิธีโดยไม่ต้องรื้อ…ทำไงหรือครับ เสนอเงินจำนวนหนึ่ง ให้ฝ่ายสามี…แล้วก็ฉาบปูนทับไปเลย ไม่มีการเอาศพออก….เรื่องก็เงียบไป….แต่อย่างว่าละครับ…มันเลยเป็นอาถรรณ์ ใครมาบริหารห้างนี้ เจ้งแล้ว เจ้งอีก ผมก็เคย ไปดูให้เห็นกับตามาแล้ว…แต่คนที่มาอยู่ใหม่ เจ้าใหม่ คงไม่รู้แน่ๆ ……ทุก วันนี้ ก็ยัง เฮี้ยนไม่เลิกครับ……สงสารเจ้าของใหม่ แม่บ้าน และยาม ที่เขาไม่รู้..ต้องเจอดี

สุสานผีดุ

การค้าขายแบบเร่ร่อน เป็นการค้าที่ต้องเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ เป็นหมู่คณะ บางครั้งต้องจากบ้านเป็นปีก็มีเมื่อมีงานพิธีที่ไหน เราก็เห็นพวกเขาที่นั่นเสมอ เช่นเดียวกับชาวอำเภอพรหมคีรี ซึ่งเป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดนครศรีธรรมราช ที่จะล่องเรือมาขายของในตลาดที่ผ่านเป็นประจำทุกปี ปีหนึ่งๆ ก็จะมากันหลายลำเรือ ของที่มาขายนั้นมีสารพัดอย่าง เรื่องที่ผมจะมาเล่าให้ฟังนี้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานแล้วซึ่งเป็นเรื่องที่ปู่เล่าให้ฟัง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในตำบลบางควาย ในสมัยก่อน เมื่อมีคนตายลูกหลานและญาติๆ จะนำร่างของคนตายไปทำพิธีในป่าลึกห่างไกลจากหมู่บ้านนับสิบกิโลเมตร ในยุคสมัยคุณทวดของผมอำเภอนี้ยังไม่เจริญไม่มีถนนลาดยาง รถราต่างๆ ก็ไม่มี ต้องเดินแบบบุกป่าฝ่าดงตลอดทางท่ามกลางสัตว์ดุร้าย งูเงี้ยว เขี้ยวขอมากมาย บางครั้งกว่าจะถึงที่หมายก็มืดค่ำ การนำร่างของคนตายนั้นจะใช้วิธีแบกไปโดยมีคนหาม 4 คน ผู้ติดตามที่จะไปทำพิธีนั้นมีเฉพาะพระและญาติพี่น้องเท่านั้น เมื่อถึงที่หมายก็จะเป็นสุสานที่มีแต่โครงกระดูกอยู่เกลื่อนกลาด เพราะศพนั้นจะตั้งบนดอนสูง ไม่มีการเผาหรือฝัง แม้กระทั่งโลงใส่ศพก็ไม่มี คนสมัยนั้นเชื่อกันว่าถ้านำเอาร่างคนตายใส่โลงวิญญาณคนตายจะไม่มีที่ไปและจะวนเวียนไม่มีทางออก ในปัจจุบันสุสานไร้นามถูกทำลายไปเกือบหมดแล้วเพราะเป็นสุสานที่มีความน่ากลัวและหลอกหลอนผู้คนอยู่ไม่เว้นแม้กลางคืนหรือกลางวัน เย็นวันหนึ่งซึ่งเป็นวันที่ชาวอำเภอพรหมคีรีจะล่องเรือมาขายอาหารในตลาด ในปีนี้พวกเขาล่องเรือมาทางสายน้ำใหม่ซึ่งจะต้องผ่านสุสานไร้นามแห่งหนึ่ง น่าแปลกที่ยามสนธยานั้นท้องฟ้าที่แดงฉานกลับมืดอย่างรวดเร็ว อากาศที่ร้อนระอุเปลี่ยนเป็นอากาศที่เย็นเยือกอย่างรวดเร็ว ในขณะนั้นบางคนในเรือม่อยหลับไปแล้วเหลืออยู่เพียง 4 – 5 คนเท่านั้นที่ยังไม่หลับ เวลา 4 ทุ่ม เรือได้แล่นมาถึงตลาดโต้รุ่งที่มีแสงไฟตะเกียงสว่างไสว เสียงพ่อค้าแม่ขายขายของกันดังเอะอะ ผู้คนเดินขวักไขว่มากมาย น่าสนุกสนาน คนที่ยังตื่นอยู่ในเรือรีบไปจอดเทียบท่าเพื่อที่จะเข้าไปชมตลาดแห่งนั้น โดยหารู้ไม่ว่ากำลังเจอดีเข้าแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปอย่างปกติคนเรือทั้ง 5 ชักชวนกันไปกินขนมจีน ทุกคนก้มหน้าก้มตากินอย่างเอร็ดอร่อยโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง หลังจากที่อิ่มหนำสำราญดีแล้วก็ไปชมหนังตะลุง เวลาผ่านไปถึงเวลากลับเรือ ก่อนจะกลับก็ต้องมีของติดไม้ติดมือไปคนละอย่าง โดยพวกเขาเลือกซื้อข้าวหลามไปฝากคนในเรือ เมื่อเรือเริ่มห่างจากตลาดโต้รุ่งออกไป คนที่ไปเที่ยวตลาดยังสนุกสนานอยู่จึงหันไปดูตลาดเพื่อจะจำไว้ว่าเคยมาสถาน ที่แห่งนี้ แต่ตลาดที่พวกเขาเห็นนั้นอันตรธานไปเสียแล้วมีแต่ความมืดและเงียบสงัด ทุกคนหันมามองหน้ากันอย่างตื่นกลัว พลันทั้ง 5 คน ก็เกิดอาการง่วงเหงาอย่างรุนแรงและผล็อยหลับไป ตอนเช้าทั้งหมดตื่นขึ้นมาอย่างมึนงง และไม่รู้ว่าตนได้หลับไปเมื่อใด คนที่ไปเที่ยวตลาดเริ่มมีอาการคลื่นไส้และอาเจียนออกมาอย่างยั้งไม่อยู่ อะไรกันนี่! สิ่งที่พวกเขาอาเจียนออกมาทั้งหมดนั้นคือ สายสิญจน์ที่มีเลือดและน้ำหนองผสมอยู่อย่างมากมาย ข้าวหลามก็กลับกลายเป็นโครงกระดูก ทั้งหมดต่างก็เสียขวัญและตกใจแทบสิ้นสติ และเพียงชั่วครู่ถัดมา ผู้ไปเที่ยวงานทั้ง 5 คน ก็ขาดใจตายโดยไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น จนกระทั่งเรือได้มาจอดหน้าวัดหนึ่ง (ขอไม่เอ่ยนาม) พวกที่เหลืออยู่จึงได้ทราบเรื่องราวทั้งหมดจากเจ้าอาวาส ว่าตลาดที่พวกเขาผ่านมานั้นแท้ที่จริงแล้วเป็นสุสาน ทุกคนต่างสลดใจและคิดว่ามันคงเป็นชะตากรรมที่ได้กระทำไว้แต่ปางก่อนถึงได้มีจุดจบอันน่าเวทนาอย่างนี้

12บ้านผีสิงสุดเฮี้ยน ในเมืองไทย

ก่อนหน้านี้ได้แนะนำบ้านผีเฮี้ยนไปแล้ว 10 อันดับ แต่ส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ คราวนี้ลองมาทัวร์บ้านผีสิงทั่วเมืองไทยที่ว่ากันว่าเฮี้ยนสุดๆ กันดีกว่า

1.สุสานโสเภณี จ.กาญจนบุรี สถานบันเทิงเก่าแก่ของจังหวัด เปิดให้บริการกับผู้ชายที่มีความต้องการทางเพศได้มาใช้บริการ ที่แห่งนี้มีหญิงบริการถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวถูกบังคับให้รับแขกอย่างทารุณ ไม่ได้พักผ่อน บ้างก็ถูกทำร้ายร่างกาย บ้างก็เป็นโรคร้าย จนสุดท้ายหญิงสาวทั้งหมดได้เสียชีวิตลงที่นี้อย่างมากมาย จนเราเรียกได้ว่าเป็น "สุสานโสเภณี" ซึ่งชาวบ้านบริเวณนั้น มักได้ยินเสียงผู้หญิงและเด็กร้องขอความช่วยเหลือเมื่อเข้าไปดูก็ไม่พบใคร เลย

2.บ้านผีมอญ จ.กาญจนบุรี คู่สามี-ภรรยาเจ้าของบ้านเป็นคนมอญที่มีนิสัยหวงของมาก จะดุด่าคนที่แอบมาขโมยผลไม้ในสวน ด้วยความที่เป็นคนหวงของและดุด่าเก่งมาก จึงทำให้ถูกฆ่าตายแล้วนำศพมาทิ้งไว้ที่ท้ายสวน วันหนึ่งมีคนเข้ามาเก็บผลไม้ในสวน แกก็ตามไปทวงถึงบ้าน จนคนที่เก็บไปรีบนำมาคืนแทบไม่ทัน นอกจากนี้ ยังมีศพชาวกะเหรี่ยง ๙ ศพ ที่ถูกวิสามัญฝังอยู่บริเวณบ้านหลังนี้

3.บ้านผมผี จ.กาญจนบุรี หญิงผู้เป็นเจ้าของบ้าน ตัดสินใจลาบวชด้วยความเสียใจที่คนในบ้านตายที่ละคนโดยไม่ทราบสาเหตุ หลังจากนั้นก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ปล่อยบ้านทิ้งไว้จนกลายเป็นสภาพบ้านร้าง ชาวบ้านบริเวณนั้น นึกว่าเจ้าของบ้านเสียชีวิตไปแล้ว จึงเข้าไปดูในบ้าน ปรากฏว่าเส้นผมเต็มไปหมด บางคนก็ได้ยินเสียงคนคุยกันอยู่ในบ้าน

4.โรงพยาบาลสยอง จ.ระยอง ด้วยพิษทางเศรษฐกิจเมื่อหลายปีก่อน ทำให้โรงพยาบาลแห่งนี้ปิดกิจการลง กลายเป็นโรงพยาบาลร้างในที่สุด ในเวลากลางคืนชาวบ้านมักเห็นไฟเปิดสว่างเต็มไปหมด บางคนเข้าไปก็เห็นเตียงนอนคนไข้เข็นเองได้ กลายเป็นเรื่องราวชวนสยองเลื่องลือถึงกิตติศัพท์ความน่ากลัวมาถึงปัจจุบัน

5.สุสานศพไร้ญาติ จ.ชลบุรี ศพไร้ญาติทั้งหลายเหล่านี้ ถูกนำมาขุดหลุมฝังเป็นสุสานไร้ญาตินับร้อยนับพัน ขุดเรียงรายกันเป็นทิวแถวยาว จนทำให้หลาย ๆ คนเล่ากันว่าเป็นฮวงซุ้ยที่น่ากลัวมาก ๆ หลายครั้งที่ได้ออก TV รายการต่าง ๆ มักไปทำที่นั่น

6.บ้าน ๔ ศพ จ.ชลบุรี ครอบครัวหนึ่งประกอบด้วยพ่อ แม่ และลูก ๒ คน เดินทางไปท่องเที่ยว แต่ระหว่างทางประสบอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำเสียชีวิตทั้งหมด บ้านหลังนั้นกลายเป็นบ้านร้าง แต่คนที่ผ่านไปมาเห็นเงาคนเหมือนมีคนอยู่ในบ้านอยู่เสมอ และยังเป็นที่พบศพถูกฆาตกรรมอย่างปริศนา มีห่วงเชือกผูกเป็นปมมัดอยู่ในบ้างหลังนั้น

7.บ้านผีนายพล จ.ชลบุรี เป็นบ้านพักตากอากาศชายทะเลที่ครอบครัวนายทหารมาพักผ่อน และถูกฆาตกรรมทั้งครอบครัว ศพทั้งหมดถูกยัดไว้ในห้องใต้ดินของบ้านพักตากกาศหลังนี้ มีคนเคยเห็นควันธูปลอยขึ้นมาในบริเวณบ้านหลังนี้ด้วย

8.บ้านผียายสรวง จ.อยุธยา หญิงชราเจ้าของบ้านผู้ชอบกินหมาก ได้เสียชีวิตลงภายในบ้าน พร้อมกับโลงศพที่พบภายในบ้านจนถึงทุกวันนี้ ผู้คนแถวนั้นยังคงได้ยินเสียงคนแก่พูด และเสียงตำหมากอยู่ทุกค่ำคืน

9.บ้านผีโหด อ.บางเลน จ.นครปฐม เกิดเหตุทะเลาะวิวาทฆ่ากันตาย พ่อตายิงลูกเขยเสียชีวิตลง แล้วนำศพไปทิ้งไว้ในบ่อหลังบ้าน ปัจจุบันยังคงมีคราบเลือดที่ขอบกำแพง

10.บ้านผีตายโหง หนองจอก เป็นบ้านร้างมาเกือบ ๑๐ ปี มีการเล่ากันว่า นอกจากจะมีการฆ่ากันตายในบ้านแล้ว ยังมีผู้หญิงเข้ามาผูกคอตายในบ้านหลังนี้อีก และยังมีการนำเอาศพมาทิ้งไว้ใต้บันไดเพื่ออำพรางคดีอีกด้วย

11.บ้านตรอมใจ หนองจอก หญิงสาวเจ้าของบ้านนับถือศาสนาพุทธรับการกระทำของสามีที่นับถือศาสนาอิสลามเกี่ยวกับเรื่องผู้หญิงไม่ได้ ทั้งสองจึงทะเลาะวิวาทกัน ฝ่ายชายหนีออกจากบ้านไป ฝ่ายหญิงได้แต่เฝ้ารออยู่ที่บ้าน จนกระทั่งล้มป่วยเพราะตรอมใจ และเสียชีวิตลงในที่สุด ชาวบ้านแถวนั้นมักได้เสียงร้องไห้คร่ำครวญของผู้หญิงเสมอ

12.บ้านเสาตกน้ำมัน จ.ราชบุรี บ้านทรงไทยที่มีเสาตกน้ำมันไหล จากข้างบนลงมาข้างล่าง ด้วยความที่เป็นบ้านร้างก็มีเถาตำลึงขึ้นเต็มไปหมด ชาวบ้านไปเก็บ ปรากฏว่ามีผู้หญิงใส่ชุดไทยมายืนชี้หน้าอยู่

ผีขึ้นจากหลุม ณ ป่าช้าเก่า

"สุริยา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากป่าช้าเก่า สมัยเด็กผมเคยอยู่ที่ภาคอีสานหลายจังหวัด สาเหตุเพราะพ่อรับราชการเป็นครูน่ะซีครับ ข้อดีก็คือได้เห็นท้องถิ่นแปลกหูแปลกตา ไม่นˆาเบื่อเหมือนกับต้องอยู่จำเจ แต่ข้อเสียก็คือไม่มีเพื่อนเก่า เจอะเจอแต่เพื่อนหน้าใหม่ๆ อยู่ร่ำไป เท่านันยังไม่พอ เมื่อตอนที่ย้ายไปอยู่ชัยภูมิผมยังโดนผีหลอกเอาเต็มเปา! ถึงแม้จะผ่านมานานแล้ว แต่ผมยังจำได้ว่าที่นั่นคือตำบลหนองฉิม อำเภอจัตุรัส สมัยนั้นเรียกว่าเป็นบ้านป่าก็คงไม่ผิดนัก เราไปอยู่ที่หมู่บ้านเล็กๆ ราวสองร้อยหลังคาเรือนเห็นจะได้ มีทั้งดงตาลและป่ากล้วยรายล้อม ยามลมพัดจะเกิดเสียงซู่ซ่าน่าวังเวงใจอย่างบอกไม่ถูก หลังหมู่บ้านมีลำห้วยที่แห้งแล้ง สองฝั่งมีแต่กอไผ่กับดงสะแกเรียงราย เวลาลงไปเล่นซ่อนหากันข้างล่าง เสียงใบไม้แห้งที่ทับถมกันมานานจะทำให้เกิดเสียงกรอบแกรบ ต้องหลบขึ้นไปซ่อนอยู่หลังกอไผ่หรือดงสะแกครับ คนหาจะได้หาเราได้ยากหน่อย แต่ที่สำคัญกว่าอะไรทั้งหมดก็คือ ผีดุบรรลัยจักรเชียวคุณเอ๋ย พวกผู้เฒ่าผู้แก่เล่าให้ฟังว่า ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่าหมู่บ้านนี้ตั้งเป็นกระจุกอยู่บนเนินดินกว้างขวาง...สมัยก่อนเคยเป็นป่าช้าครับ! พวกผู้ใหญ่เขาไม่แยแสกันเท่าไหร่ แต่เด็กๆ อย่างผมนˆะซี พอได้ยินก็เล่นเอาขนลุกขนพองไปหมด สันหลังงี้เย็นวาบๆ เชียว ...แหม! เด็กที่ไหนจะไม่กลัวผีล่ะครับ? บรื๋ออออ... ตอนแรกยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่พอเขาเล่าว่าพวกที่มาลงหลักปักฐานอยูใหม่ๆ ขุดดินลงเสาเรือน ล้วนแต่เจอะเจอโครงกระดูกผุพังกันทั้งนั้น จะปลูกต้นไม้ต้นไร่อะไรก็เจอแต่กระดูกของคนโบราณเป็นว่าเล่น...คว้ากระดูกขาวๆ ขึ้นมาได้ก็เหวี่ยงเข้ารกเข้าพงโดยไม่แยแส ระยะแรกๆ เราไปอยู่หลังสงกรานต์ อากาศค่อนข้างอบอ้าวเลยต้องมาปูเสื่อสาดนอนกันที่ระเบียง ถัดไปเป็นนอกชาน และรั้วไม้ระแนงล้อมรอบ มุ้งม่านอะไรนี่ไม่จำเป็น เพราะที่นั้นไม่มียุงมารบ กวน บ้านเช่าของเราน่ะอยู่กลางหมู่บ้านเลยนะครับ มีต้นตาลระเกะระกะพอๆ กับบ้านเล็กเรือนน้อย ตอนกลางคืนได้ยินเสียงลมพัดใบตาลแก่ๆ ดังแกร็กๆ นึกถึงเรื่องผีเรื่องเปรตที่เขาว่ามันร้องวี้ดๆเพราะปากแหลมเท่ารูเข็มแล้วเล่นเอาปากคอแห้งผากไปทันใด เวลาผ่านไปได้แค่ 2-3 คืนผมก็เจอดี! หน้าบ้านเช่าชั้นเดียวเตี้ยๆ ของเรามีต้นตาลที่สะบัดใบซ่าๆอยู่เป็นประจำ ยิ่งตอนกลางคืนยิ่งดังบ่อย บางครั้งผมนึกเอะใจว่าไม่มีลมพัดซักนิดทำไมใบตาลที่ห้อยลงมาน่ะมันแกว่งไกวได้ล่ะ? คืนนั้น...ขณะที่กำลังเคลิ้มหลับผมก็ต้องลืมตาตื่นเมื่อได้ยินเสียงแปลกประหลาดที่ดังมาจากหน้าบ้าน คือเสียงดังแกร็กๆ อยู่แถวต้นตาล จนทำให้ผมต้องหันหน้ามองขึ้นไปดู... ท่ามกลางแสงดาวระยิบระยับ เห็นต้นตาลยืนทะมึน ยอดตาลสงบนิ่ง แต่เสียงแปลกๆ นั่นยังดังอยู่ตามเดิม..ครั้นเงียหูฟังครู่หนึ่งก็ถอนใจยาวเมื่อรู้แน่ว่าเป็นเสียงเคาะไม้เบาๆ เป็นจังหวะมาจากโคนต้นตาลนั่นเอง เอ๊ะ! แล้วใครมาเคาะไม้หาสวรรค์วิมานอะไรในยามดึกดื่นแบบนี้ล่ะ ในเมื่อเลยค่ำไปไม่นานชาวบ้านก็หลับนอนกันจนหมดสิ้นแล้วนี่นา? จากเสียงเคาะไม้กลายเป็นเสียงเอี๊ยดอ๊าดมาจากรั้วไม้ระแนง อารามอยากรู้อยากเห็นทำให้ผมผงกหัวขึ้นมอง ท่ามกลางสายลมเยือกเย็นภายใต้แสงดาวส่องสลัว ผม ตกตะลึงตัวแข็งทื่อเมื่อเห็นภาพนั้นเข้าถนัดตาพอดี ร่างตะคุ่มๆ ของผู้ใหญ่สองกับเด็กหนึ่งกำลังช่วยกันดึงรั้วไม้โปร่งๆ อย่างเอาเป็นเอาตาย ทั้งสามมีผิวกายดำมืด มองไม่เห็น หน้าตา แต่ก็รู้ว่าไม่ใช่คนธรรมดาๆ อย่างพวกเราแน่ ท่าทางยงโย่ยงหยกคล้ายจะแหวกรั้วเข้ามาให้จงได้ เสียงเคาะไม้ดังขึ้นอีกครั้ง สั่นสะเทือนเข้าไปถึงหัวใจที่เต้นโครมครามเหมือนจะพังทลายออกมาข‰างนอก...อยากร้องเรียกพ่อแม่ก็ร้องไม่ออก ขณะที่ร่างทั้งสามหยุดชะงักราวจะรู้ว่ามีใครจ้องมอง ก่อนจะเงยหน้าดำปี๋ขึ้นมากระทบแสงดาว....ผมแผดร้องออกมาสุดเสียงในพริบตา! เมื่อพ่อแม่ตื่นขึ้นมาก็ไม่ปรากฏร่างอุบาทว์ทั้งสามให้เห็นเลย อาทิตย์ต่อมา มีชาวบ้านขุดพบโครงกระดูก 3 ร่างข้างๆ บ้านเรา เป?นผู้ใหญ่ 2 กับ เด็ก 1 สันนิษฐานว่าเป็นเป็นพ่อแม่ลูกที่ตายพร้อมกันเพราะโรคระบาด...เขาห่อกระดูกไปให้พระสวดมนต์แล้วฝากวัดไว้...ผมเองก็ไม่เคยเห็นภาพสยองอีกเลยครับ

วิญญาณเฮี้ยน เมื่อไปฟังสวดศพ

"ศศิพงศ์"เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อไปฟังสวดศพ ป้าเพลินเป็นหญิงชราอายุ 70 เศษ อยู่บ้านใกล้ๆ กับดิฉันที่หน้า ม.เกษตร นี่เองค่ะ แกเป็นย่าเป็นยายคนเกือบทั้งซอยก็ว่าได้ แต่ป้าเพลินเป็นเพื่อนกับแม่ของดิฉันมาตั้งแต่รุ่นสาว ตอนนั้นดิฉันยังตัวกะเปี๊ยกจนเดี๋ยวนี้เกือบจะถึงหลักสี่อยู่รอมร่อแล้ว ครอบครัวเราสนิทกันเหมือนญาติ นอกจากการไปมาหาสู่กันเป็นปกติ ก็ยังมีการไต่ถามสารทุกข์สุกดิบกันและกัน ใครทำอาหารดีๆ ก็ตักไว้ให้กันเป็นประจำ...ป้าเพลินชอบออกมาเดินเล่นในซอยแทบทุกเย็น บอกว่าเป็นการออกกำลังกายที่ดีที่สุด แต่คนเราก็หนีกฎธรรมชาติไม่พ้น ไม่ว่าเกิด แก่ เจ็บ ตาย! แม่ของดิฉันล่วงลับไปเมื่อเกือบ 3 ปีมาแล้วด้วยโรคมะเร็งในลำไส้ใหญ่ ป้าเพลินเสียน้ำตาให้เห็นเป็นครั้งแรก ทุ่มเทแรงกายแรงใจช่วยงานศพเต็มที่ บอกดิฉันว่า...คนรุ่นป้าพากันล่วงหน้าไปหมดแล้ว เหลือแต่ป้าคนเดียว ไม่รู้ว่าจะถึงเวลาเมื่อไหร่? แต่คงอีกไม่นานหรอก... ตั้งแต่นั้นมา ป้าเพลินก็ดูอิดโรยอ่อนล้า เจ็บป่วยกระเสาะกระแสะเรื่อยมา คิดๆ แล้วก็ใจหาย เมื่อนึกว่าชีวิตคนเรานับวันแต่จะโรยรา แก่ตัวก็เหมือนไม้ใกล้ฝั่ง ความเจ็บป่วยดาหน้าเข้ามาหา บั่นทอนสุขภาพลงไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงวันนั้น... ร่างเล็กๆ ของป้าเพลินออกมาเดินในซอยหน้าบ้านไม่ไหวอีกแล้ว นอกจากจะจับเจ่าอยู่ในบ้าน ในที่สุดก็ต้องนอนแซ่วอยู่บนเตียง นัยน์ตาสีน้ำข้าวฉายแววเจ็บปวดร้าวรานเหมือนนักโทษในกรงขังของร่างกายตัวเอง! ดิฉันใจหายทุกครั้งที่ไปเยี่ยมป้าเพลิน กุมมือเหี่ยวย่นและเย็นชืดนั้นไว้อย่างปลอบประโลม ไม่อยากพูดปดเพื่อปลอบใจว่าคุณป้าจะหายเร็วๆ นี้...รู้ดีว่าจะไม่มีวันนั้นแน่นอน "ป้าอยากจะออกไปเดินในซอย ขอแค่ไปยืนที่หน้าบ้านก็ยังดี!" เสียงแหบเครือกับแววตาสิ้นหวัง น้ำใสๆ รื้นเต็มเบ้าตา บ่งบอกว่านั่นเป็นความวาดหวังที่สูงส่งเกินไปจนสวรรค์ไม่มีจะให้...กระทั่งวันสุดท้ายมาถึง เมื่อป้าเพลินนอนหลับไปตลอดกาลนานในโลกมนุษย์... คืนแรกที่สวดศพในวัดนั่นเอง ป้าเพลินก็กลับมา! เพื่อนบ้านพากันไปฟังสวดอภิธรรมคับคั่ง รูปถ่ายของป้าเพลินสมัยสาวๆ ตั้งโดดเด่นอยู่หน้าโลงศพสีทอง...คุณน้าผ่องศรีนั่งพนมมือฟังพระสวดเสียงเยือกเย็นอยู่ดีๆ ก็เอียงหน้าเข้ามากระซิบดิฉันว่า...ป้าเพลินยิ้มให้น้าด้วยละ คนเราตาฝาดกันได้นะคะ โดยเฉพาะในแสงไฟท่ามกลางบรรยากาศเยือกเย็น ชวนให้วังเวงใจ คุณน้าผ่องศรีก็ใกล้จะ 70 อยู่แล้ว...แต่ตอนขากลับที่เราลงจากรถตู้ของคุณลุงจำนงในซอย แยกย้ายกันเข้าบ้าน สามีภรรยารุ่นพี่คู่หนึ่งก็ร้องวี้ดว้ายมากระทบหูจนพวกเราวิ่งไปดู หน้าตาซีดเซียว ปากคอสั่นทั้งคู่ ก่อนจะรวบรวมสติเล่าให้ฟังด้วยเสียงกระหืดกระหอบแทบฟังไม่รู้เรื่อง ปรากฏว่าเดินมาจะถึงบ้านอยู่แล้ว เห็นร่างเล็กๆ ผอมๆ ของหญิงชราที่คุ้นตาเดินนำหน้า ท่าทางลอยๆ ชอบกลเหมือนเท้าไม่แตะพื้น พอสะกิดกันดูก็พอดีหญิงชราผู้นั้นหันมามองยิ้มๆ...ป้าเพลินเองค่ะ! "คงจะตาฝาดไปเองน่ะค่ะ ไม่มีอะไรหรอก..." ดิฉันปลอบ...แต่ทันใดนั้นก็มีกลิ่นน้ำอบไทยอวลกรุ่นมาเข้าจมูก กลิ่นน้ำอบที่รดน้ำศพป้าเพลินเมื่อตอนเย็นนี้เอง! เล่นเอาเหลียวซ้ายแลขวากันเลิ่กลั่ก ก่อนจะรีบกลับบ้านใครบ้านมันทันที ยอมรับว่าดิฉันใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น สับสนงุนงงอย่างบอกไม่ถูก...วิญญาณมีจริงหรือนี่? วิญญาณป้าเพลินเฮี้ยนถึงปานนี้เชียวหรือ? วิญญาณที่ใฝ่ฝันก่อนตายอย่างรุนแรงที่จะได้ลุกจากเตียง เพื่อออกมาเดินเล่นในซอยอย่างที่เคยทำมาชั่วชีวิต...จนกระทั่งวิญญาณหลุดลอยออกจากร่าง ได้รับอิสรเสรีตามเดิม! ก้าวเข้าไปในบ้านที่ค่อนข้างเงียบเชียบ...กลิ่นน้ำอบไทยเย็นๆ ล่องลอยมาเข้าจมูกอีกแล้ว ดิฉันขนลุกซ่า เหลียวซ้ายแลขวาอย่างหวาดระแวง จนสายตาประสบกับภาพถ่ายขนาดใหญ่บนหลังตู้หนังสือ...ภาพของป้าเพลินกำลังยิ้มระรื่นเคียงคู่กับแม่ดิฉันที่ชายหาดแห่งหนึ่ง คุณพระช่วย! รอยยิ้มของป้าเพลินกว้างขวางขึ้นทุกที ดิฉันพร่ามึนจนเดินเข้าไปหาเหมือนถูกสะกด ก่อนจะหยุดเงยหน้ามองดูรอยยิ้มกับนัยน์ตาเศร้าๆ ของป้าเพลินที่มองตอบมา...น้ำตาเอ่อคลอก่อนจะไหลรินลงมาอย่างเชื่องช้า ดิฉันขนลุกซ่า กลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น...ขอให้ไปสู่สุคติเถอะค่ะ ป้าเพลิน!

ตำนานแฮปปี้แลนด์ สวนสนุกสุดสยอง สุดสะพรึง

เรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องที่เล่าสืบต่อกันมาตั้งแต่รุ่นปู่ของผม และเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงครับ "ตำนานแฮปปี้แลนด์ สวนสนุกสยอง" แฮปปี้แลนด์ ตั้งอยู่ตรงข้ามกับเดอะมอลล์บางกะปิ กรุงเทพมหานคร เป็นจุดที่รถเมล์สาย 8 หมดระยะ ไม่มีใครที่ไม่รู้จักแฮปปี้แลนด์ แฮปปี้แลนด์สมัยก่อนเป็นสวนสนุกที่มีตำนานที่น่าสะพรึงกลัวมาก มีเครื่องเล่นมากมายอย่างเช่น ชิงช้าสวรรค์ รถไฟเหาะ เรือหรรษา ปาเป้า ม้าหมุน ชิงช้า กระดานหก บ้านผีสิงหลังเล็กๆ และอื่นๆ อีกมากมาย แต่ไม่หรูเท่าแดนเนรมิต แฮปปี้แลนด์จะออกสไตล์สวนสนุกตามงานวัด เป็นสวนสนุกที่ทำให้คนชั้นกลางถึงชั้นรากหญ้าเล่นโดยเฉพาะ แดนเนรมิตจะไฮโซกว่ามาก คนสมัยก่อนนิยมไปเล่นที่นี่มากพอๆ กับที่แดนเนรมิต ตอนนั้นดรีมเวิลดิ์ยังไม่ได้สร้าง นานๆ เข้าเครื่องเล่นส่วนใหญ่ก็เก่าและชำรุดไปตามกาลเวลา ทำให้เกิดอุบัติเหตุจนคนเล่นบางคนตาย ซึ่งแปลกมากที่ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กๆ ทั้งนั้น เช่น นั่งชิงช้าสวรรค์หรือม้าหมุนแล้วพลัดตกลงมาตายบ้าง เล่นเรือหรรษาแล้วเกิดพลัดตกน้ำจมน้ำตายบ้าง ตกราวรถไฟเหาะตายบ้าง บางคนก็ถูกฆ่าหั่นศพในบ้านผีสิงแล้วเอาศพทิ้งไว้จนเน่าในนั้นเลย แต่ละคนตายแบบแปลกๆ และสยองขวัญมากๆ ตายแบบไม่มีคนเห็นด้วย ลือกันว่ามีฆาตกรโรคจิตคนหนึ่งชอบลักพาตัวเด็กที่มาเล่นเครื่องเล่นตอนกลาง วัน แล้วเชือดคอฆ่าทิ้งในตอนกลางคืน ทิ้งศพไว้ตามบริเวณต่างๆ ของสวนสนุก แฮปปี้แลนด์จึงเต็มไปด้วยศพของเด็กจำนวนมาก และไม่มีใครรู้ว่าฆาตกรคนนั้นเป็นใคร ทำไปเพื่อจุดประสงค์อะไร แต่ทางสวนสนุกต้องปิดข่าวเอาไว้เพราะกลัวคนที่มาเล่นจะตกใจ แฮปปี้แลนด์ในตอนนั้นจึงเป็นสวนสนุกที่เด็กมาเล่นแล้วตายมากที่สุด แต่ไม่ค่อยมีคนรู้ ! นานวันเข้า เครื่องเล่นเก่าและเจ๊งมากขึ้น คนเล่นก็ตายมากขึ้นด้วย ข่าวเริ่มปิดไม่มิด ทำให้สวนสนุกแฮปปี้แลนด์ไม่มีคนกล้ามาเล่นมากเท่าเมื่อก่อน ในที่สุดก็เจ๊ง ถูกรื้อ และกลายเป็นที่รกร้างไป ผ่านไปหลายปี มีคนคิดมาเปิดตลาดขายของที่นี่ และเปลี่ยนจาก สวนสนุกแฮปปี้แลนด์ เป็น “ ตลาดสด แฮปปี้แลนด์ “ จนถึงปัจจุบัน ( ป้ายยังมีอยู่ ถ้าไปก็ยังเห็นครับ ) ตอนนี้แฮปปี้แลนด์ไม่มีอะไรน่ากลัวอีกแล้วเพราะมีแต่ของมาขายเยอะมาก แต่กลางคืนก็ยังไม่คอยมีใครกล้าเดินแถวนั้นคนเดียวเพราะกลัวผี ลือกันว่าตอนดึกๆ คนที่มีบ้านอยู่แถวแฮปปี้แลนด์นั้นจะได้ยินเสียงเด็กๆ ร้องกันเสียงดังจ้อกแจ้กดังมาจากที่ไหนซักแห่งไกลๆ ราวกับว่าเด็กพวกนั้นกำลังเล่นเครื่องเล่นกันอยู่อย่างสนุกสนานเลยทีเดียว แต่พอออกไปดูก็ไม่เห็นอะไรเลย มีคนเคยบอกว่า เนื่องจากเด็กๆ พวกนี้ตายขณะที่ยังสนุกกับเครื่องเล่นอยู่ และพวกเขาอาจจะไม่รู้ว่าตนเองตายไปแล้ว พวกเขาจึงยังคงเล่นกันต่อไปจนกว่าจะไปเกิดใหม่ถึงแม้ว่าตอนนี้จะไม่มี เครื่องเล่นหลงเหลืออีกแล้วก็ตาม หรือไม่พวกเขาก็อาจจะกำลังหาเครื่องเล่นที่ตนเองเล่นก่อนจะตายอยู่ก็ได้ ไม่มีใครรู้แน่ชัด แต่สิ่งที่รู้คือ วิญญาณตายโหงของเด็กๆ พวกนั้นยังวนเวียนอยู่ในแฮปปี้แลนด์จนถึงทุกวันนี้ ทั้งหมดนี้คือตำนานของสวนสนุกแฮปปี้แลนด์ครับ ********************************************** เอาล่ะค่ะ กลับมาเข้าเรื่องของเรากันต่อดีกว่า เมื่อก่อนนี้สวนสนุกแห่งนี้ดังมากๆ น่าจะเมื่อประมาณเกือบ 30 ปีที่แล้ว เกิดไม่ทันกันใช่ไม๊ล่ะคะ อิอิ (ดิฉันก็เกิดไม่ทันเช่นกันค่ะ) สมัยก่อนสวนสนุกแห่งนี้ น่าจะเป็นสวนสนุกขนาดใหญ่แห่งเดียวใน กทม. ที่ใครเกิดทันในสมัยนั้นน่าจะต้องรู้จัก แต่ดิฉันเองไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามีคนเสียชีวิตเยอะขนาดนั้น (บรื้อ~) และก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีฆาตกรแอบฆ่าเด็ก *0* (น่ากลัวแฮะ) เพราะเท่าที่คุณพ่อเล่าให้ฟัง ก็คือสวนสนุกแห่งนี้เครื่องเล่นไม่ได้มาตรฐาน (ll ลองนึกถึงชิงช้าสวรรค์งานวัดดูแล้วจะรู้ค่ะ) มีเด็กเสียชีวิตหลายคน แต่ทางสวนสนุกปิดข่าว คนส่วนใหญ่ที่รู้คือคนที่อาศัยอยู่แถวๆ นั้นบอกต่อๆ กันมาค่ะ และกรณีล่าสุดที่เป็นสาเหตุให้สวนสนุกแห่งนี้ต้องปิดตัวไปก็คือ.... "ชิงช้าสวรรค์ที่ไม่ได้มาตรฐาน" เนื่องจากมีคนเห็นกันจะๆ และออกข่าวใหญ่โต อาจจะเป็นเพราะมีคนที่เห็นเหตุการณ์อยู่เป็นจำนวนมาก เลยไม่สามารถเอาดินกลบเรื่องราวที่มีคนตายได้อย่างที่แล้วๆ มา ...... คุณพ่อของดิฉันเล่าให้ฟังว่า มีครอบครัวหนึ่งพาลูกมาเที่ยวที่สวนสนุกแห่งนี้ แล้วก็พาลูกไปนั่งชิงช้าสวรรค์เพื่อชมวิวด้านบน ขอออกนอกเรื่องนิดนึงนะคะ.... เมื่อก่อนดิฉันก็ชอบนั่งชิงช้าสวรรค์เวลามีงานวัดแถวบ้านเช่นกัน ซึ่งกว่าจะอ้อนวอนและขู่เข็ญให้คุณพ่อพาขึ้นชิงช้าสวรรค์ได้ ก็นานพอสมควร และคุณพ่อก็มักจะล็อคตัวดิฉันเอาไว้ไม่ให้กระดุกกระดิกไปไหน พลางชี้ให้ดูเหล็กที่เชื่อมกับตัวชิงช้าที่มัน "งอๆ" ให้ดู.... แต่แหม...เด็กๆ มันจะไปคิดอะไรได้ จริงไม๊คะ ll ที่คุณพ่อกลัวชิงช้าสวรรค์....ก็เพราะสาเหตุมาจากเรื่องราวของ "สวนสนุกแฮปปี้แลนด์" นี่แหล่ะค่ะ ทำให้ฝังใจจนไม่กล้าให้ดิฉันนั่ง เข้าเรื่องกันต่อค่ะ......หลังจากที่ครอบครัวนี้ขึ้นไปนั่งบนชิงช้า สวรรค์มรณะแห่งนี้แล้ว....ทุกคน รวมถึงคนอื่นๆ ที่นั่งกระเช้าใกล้ๆ กันก็ไม่รู้เลยว่าจะมีเหตุการณ์สยดสยองเกิดขึ้น...... เมื่อ...กระเช้าชิงช้าแห่งนี้หมุนขึ้นไปได้ซักพักหนึ่ง เด็กคนนั้นก็ดีใจตามประสาเด็ก...ที่ตื่นเต้นกับวิวจากมุมสูงด้านบน ซักพัก...เด็กคนดังกล่าวก็ชะโงกศีรษะออกมาจากด้านนอกชิงช้า....โดยที่ไม่ได้ ระวังตัวเอง ซึ่งผู้ปกครองเองก็คงจะชะล่าใจไม่ทันระวังตัว (หรืออาจจะห้ามไม่ทัน) ทันใดนั้น !!.... ศีรษะของเด็กคนนั้นก็ขาดกระเด็น ตกลงมายังเบื้องล่าง... ท่ามกลางความตกตะลึงของผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด (คาดว่าน่าจะโดนส่วนใดส่วนหนึ่งของเหล็กของชิงช้าสวรรค์ตัดคอ) หากจะโทษว่าเป็นความผิดของสวนสนุก...ก็น่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ไม่ทำกระเช้าให้มิดชิด ไม่ให้มีชิ้นส่วนใด ของร่างกายสามารถยื่นออกมาได้ ดิฉันเองไม่แน่ใจว่ามีประมาณ 2 รายหรือเปล่า ที่เสียชีวิต (อันนี้ต้องกลับไปถามคุณพ่ออีกที) แต่ก็เป็นที่กล่าวขวัญกันของของแถวๆ นั้นค่ะ ว่าได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กๆ ในตอนกลางคืน และยังคงได้ยินกันมาตลอดหลังจากที่สวนสนุกแห่งนี้ปิดตัวลง ซึ่งเป็นเวลานานพอสมควร กว่าที่แห่งนั้นจะมีคนซื้อไปทำหมู่บ้านจัดสรร และสิ่งก่อสร้างอื่นๆ (แต่ตอนนี้ไม่ได้ยินแล้วมั้งคะ คนเยอะออกขนาดนั้น) สุดท้ายนี้ขอให้เพื่อน ๆ ที่ได้เข้ามาอ่านเรื่องนี้ตั้งจิตอธิษฐาน อุทิศส่วนกุศล ให้วิญญาณกับเด็ก ๆ ทั้งหลายเหล่านั้น ทั้งที่ไปเกิดแล้วก็ดี และยังไม่ได้ไปเกิดก็ดี ขอให้วิญญาณทั้งหลายเหล่านั้นได้พบหนทางแห่งความสว่าง และหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งมวลด้วยเทอญ สาธุ~ ปล. ใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาทนะคะทุกคน (นอนหลับฝันร้ายค่ะ แฮ่ๆ) บรื้อ~~~ เครดิต FW Mail ครับ...

อาถรรพ์ ทำไมใครๆ ก็พากันต้องตายในห้องเลข305

ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ กรุงเทพฯ 22 พ.ค.-หนุ่มใหญ่เสพยาเกินขนาด เสียชีวิตคาห้องพักย่านอ่อนนุช ตำรวจคาดเสียชีวิตมาแล้ว ไม่ต่ำกว่า 3 วัน นายเกียรติศักดิ์ กิตติโฆษน์ อายุ 39 ปี อาชีพคนขับรถ แท็กซี่นอนเสียชีวิตอยู่ในห้องพักเลขที่ 305 จุฑาแมนชั่น ตรงข้ามซอยอ่อนนุช 35 ที่เกิดเหตุพบสายยาง ซึ่งเป็น อุปกรณ์เสพยาตกอยู่ ตำรวจจึงสันนิษฐานว่า ผู้ตายอาจเสพยาเกินขนาดจนเสียชีวิต ทั้งนี้ ในห้องพักยังล็อกกลอนจากด้านใน ทำให้ตำรวจตัด ประเด็นชิงทรัพย์ทิ้ง เบื้องต้นได้ส่งศพไปชันสูตรที่สถาบัน นิติเวช โรงพยาบาลตำรวจแล้ว.-สำนักข่าวไทย อัพเดตเมื่อ 2009-05-22 03:09:26 คืออย่างนี้ครับ ไอ้ข่าวนี้มันเกิดขึ้นใกล้ตัวผมมาก เพราะผมอยู่ห้องตรงข้ามกับมัน ซึ่งวันที่เค้ามาเอาศพเหม็นมากครับแล้วทีนี้เลยลองมาหาข้อมูลในเนทว่าเค้าหน้าตายังไง คนไหนแต่ไม่ปรากฏหลักฐานแต่ดันไปรู้ข้อมูลที่น่าตกใจไปมากกว่านั้น คือ ผมใช้กูเกิ้ลค้นหาคำว่า "ตาย ห้อง305" ซึ่งมีหน้าที่แสดงขึ้นมามากมาย แต่ล้วนเป็นข่าวคนตายในห้อง305ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็รามอินทรา ลาดพร้าว มีนบุรี ต่างจังหวัดก็มี สาเหตุการตายก็เกิดจาก ฆ่ากันเสียเป็นส่วนมาก ไม่เชื่อ ลองเสิร์ชดูสิครับ แล้วการตายที่ว่าจะเกิดจากการทำตัวไม่ดีทั้งสิ้น ทั้งมีกิ้ก เสพยา ปล้น นอกจากห้องพักแล้วบ้านเลขที่ 305 ก็ยังมีคนตายอีกเป็นจำนวนมาก "ทำไมใครก็พากันต้องตายในห้อง305" ผมจึงเกิดความคิดขึ้นมาว่าถ้าเราค้นหาจนครบ จะมีคนตายในห้อง 305 จากแมนชั่น อพาร์ทเม้นต่างๆ กี่คน แล้วทำไมต้องตายเฉพาะเลข 305 นี้ ผมลองค้นหาเลขอื่นเช่น 306 307 408 409 สารพัด กลับไม่มีหรือมีก็น้อยมาก จากการวิเคราะห์ด้วยหลักฮวงจุ้ยของจีน เลข 305 แปลว่า ไม่ --เกิด 3 แปลว่าเกิด 5 แปลว่าไม่ รวมแล้วคือ ไม่เกิด นั่นก็คือ "ตาย"นั่นเอง ผมไปค้นหาต่อถึงข่าวอาชญากรรมต่างประเทศ มีเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับ 305 อีกมากมาย เช่นจำนวนคนตายในเหตุวินาศกรรม เลขทะเบียนรถที่ใช้ระเบิด เที่ยวบิน305 ที่ตกในเนปาล ขนาดภราดรไปพักโรงแรมห้อง 305 ไฟยังไหม้เลย และจากข้อมูลเหล่านี้ยิ่งทำให้ผมต้องค้นหาสาเหตุของมันต่อไปอีก ผมนำ 3 + 5 = 8 เลข 8 ถ้าเรากลับตัวมัน จะเป็นเครื่องหมาย อินฟินิตี้ ที่แปลว่า ไม่มีที่สิ้นสุด นั่นหมายถึง 305 จะก่อให้เกิดความตายอย่างไม่มีที่สิ้นสุด พระที่วัดลาดปลาเค้าท่าน ให้ความรู้มาว่า เลข 305 เกี่ยวข้องกับตำราโหราศาสตร์พม่า เป็นเลขที่ถูกสาปแช่งให้วิบัติ ใครที่เกี่ยวข้อง กับเลขนี้ต้องหายนะมานานนับร้อยๆ ปี เพราะวันที่! พม่าแพ้สงครามไทยนั้นเกิดขึ้น วันที่ 30 เดือน 5 พม่าแค้นมากจึงลงเลขยันต์ตัวนี้ใส่ไว้ใต้ฐานเจดีย์ ท่านบอกว่า 305 เป็นเลขผี เลขไม่มงคล เหมือ 13 ของฝรั่ง เลขไทยมีแต่รู้กันว่า 9 ดี 1 ดี แต่ไม่มีใครรู้ว่า 305 นั่นไม่ดี ท่านบอกว่าตอนนี้ใครที่มีความผูกพันธ์ ใกล้ชิดกับเลขนี้ ให้นำแผ่นทองไปติดทับเลข 5 เสีย ให้เหลือ 30 ไว้ จะได้ดีแทน ท่านยังบอกอีกว่า เวลาที่ผีออกมาอาละวาดผู้คน ก็จะออกกันตอน ตี 3.05 เช่นกัน " ระวังเอาไว้นะครับ 305 " ผมเตือนคุณแล้ว

สัมผัสที่ 6 ตามวันเกิด

สงสัย ไหมว่าทำไมบางคนถึงเห็นผี และเห็นบ่อยซะด้วย แต่บางคนก็ไม่เคยแม้แต่จะเจอ ลบหลู่ขนาดไหนก็ไม่เจอ ลองอ่าน นี่แล้วอาจจะเข้าใจมากขึ้น...แต่อ่านแล้วต้องใช้สติในการตัดสินใจนะครับ

1.เกิด วันอาทิตย์ ช่วง ไหนที่คุณเจ็บป่วย ไม่สบาย หรือไม่ก็อ่อนแอทางจิตใจ ให้หลีกเลี่ยงที่จะใกล้ชิดกับผู้หญิงที่กำลังตั้งท้อง เพราะพลังอะไรบางอย่างที่ลึกลับ อาจจะทำให้คุณเห็นผี หรือ วิญญาณ ได้

2.เกิด วันจันทร์ สำหรับ คุณแล้ว จะส่องกระจกน่ะส่องได้ แต่อย่าส่องหลังเวลาเที่ยงคืนถึงเช้า โดยเฉพาะในกระจกร้าว และถ้าได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ หรือเสียงเรียกเวลาค่ำคืน อย่าพูดทัก หรือขานตอบ เพราะนั่นอาจจะเป็นเสียงที่ทวงถามวิญญาณของคุณก็ได้

3.เกิด วันอังคาร คน เกิดวันอังคารลำบากกว่าคนเกิดวันอื่นเสียแล้ว เพราะคุณไม่ควรเข้าห้องน้ำนอกบ้าน ถ้าไม่มีธุระ คุณควรจะอยู่ให้ห่างจากห้องน้ำที่ไม่น่าไว้ใจเอาไว้ เพราะอาจมีบางอย่างแอบติดตามคุณออกมา หรือปรากฏให้คุณเห็น

4.เกิดวัน พุธ คุณ ไม่ควรไปงานศพ เพราะอาจจะมีวิญญาณติดตามตัวคุณกลับออกมา แต่ถ้าหากว่าเป็นงานที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หลังจากที่กลับมาจากงานศพแล้ว ให้รีบอาบน้ำก่อนเที่ยงคืน และถ้าจะให้ดีน้ำที่อาบควรเป็นน้ำว่าน

5.เกิด วันพฤหัส

ใน ยามวิกาล มืดๆ อย่ามองไปที่หัวบันได เพราะคุณอาจจะมีอะไรบางอย่างปรากฏให้คุณเห็นที่ตรงนั้น หากว่าได้ยินเสียงแป ลกๆ คล้ายๆ กับเรียกชื่อคุณ อย่าขานตอบ ให้ก้าวเท้าถอยหลัง 1 ก้าว แล้วเสียงนั้นจะหายไป

6.เกิดวันศุกร์ เคย ได้ยินหรือเปล่าว่าธาตุน้ำ อาจจะเป็นเหมือนประตูเชื่อมระหว่างโลกมนุษย์ กับ โลกวิญญาณ ดังนั้น คนที่เกิดวันศุกร์อย่างคุณควรหลีกเลี่ยงการเดินทางทางน้ำ

7.เกิดวัน เสาร์ ศาล พระภูมิ คือ สิ่งต้องห้ามสำหรับคนเกิ ดวันเสาร์ ไหว้ เคารพ ได้ แต่อย่ามองจ้อง หากได้ยินเสียงหมาเห่า หอน เกรียวกราว ใกล้ๆ ตัว นั่นอาจแปลได้ว่าคุณกำลังโดนติดตามโดยภูตผี วิญญาณ

ห้องน้ำผีสิง

"ดาวนิล" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากห้องเช่าเมื่อสิบปีเศษมาแล้ว ดิฉันเป็นรีเซฟชั่นที่โรงแรมระดับ 3 ดาวอยู่แถวประตูน้ำ มีแขกทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยว ถ้าเข้ากะเย็นก็ไปเลิกตีสอง ค่อนข้างเหนื่อยและปวดหัวกับแขกขี้เมา ส่วนมากจะอยู่ในคอฟฟี่ช็อป แม้ว่าจะมีกัปตันคอยดูแลก็จริง แต่หลายครั้งก็เดือดร้อนมาถึงดิฉันเข้าจนได้ ตอนหัวค่ำยังไม่เท่าไหร่ แต่พอเลย 4-5 ทุ่มแล้วซิคะ แขกหลั่งไหลเข้ามาแน่น โดยเฉพาะคืนศุกร์เสาร์ พอรู้ว่าเมามาจากที่อื่นก็มี เพิ่งออฟสาวจากผับย่านนั้นมาก็มี ขนาดมาจากโรงนวดแล้วก็ไม่น้อย แต่หลายๆ โต๊ะก็มาสนุกเฮฮากันเป็นขาประจำ ส่วนมากเมาแล้วมักชอบเจ๊าะแจ๊ะกับเด็กเสิร์ฟ ประเภทปากเปราะก็พูดสองแง่สองง่าม บางทีก็ล่วงเกินมาถึงดิฉัน เราทำงานแบบนี้นะคะ จะหงุดหงิดหรือรำคาญใจแค่ไหนก็ต้องยิ้มไว้ก่อน "น้องตูน" เป็นเด็กเสิร์ฟใหม่ อายุ 20 ต้นๆ ขาวสวย หุ่นดี พวกแขกไม่ว่าหนุ่มหรือแก่ก็คอยแทะโลมเป็นประจำ หรือไม่ก็แซวแบบคะนองปาก ถ้าลามปามจนทำท่าว่าจะล้ำเส้น ดิฉันก็จะเข้าไปปกป้องน้องตูนไว้ก่อน ทำให้เธอซาบซึ้งมากๆ ขอบคุณน้ำตาคลอเชียว วันหนึ่งเกิดเหตุการณ์กลับตาลปัตร..น้องตูนเป็นฝ่ายช่วยเหลือดิฉัน ราวกับจะเป็นโอกาสให้เธอได้ตอบแทนน้ำใจ โดยที่เราต่างก็ไม่ได้คาดคิดมาก่อนเลย ดิฉันเวียนหัวมาตั้งแต่หัวค่ำ อาจเป็นเพราะความดันเลือดต่ำทำพิษก็ได้ ต้องเข้าไปนอนพักในห้องพนักงานด้านหลังเคาน์เตอร์ โชคดีอย่างที่คืนวันพุธแขกน้อยกว่าวันอื่นๆ เป็นธรรมดาอยู่แล้ว ฝืนใจออกมาช่วยดูแลแขกตอนใกล้สองยาม แต่ไม่ช้าก็เกิดวิงเวียนอีก อยากจะขึ้นแท็กซี่กลับบ้านที่ดินแดงก็สองจิตสองใจ กลัวว่าจะไปเป็นอะไรกลางทางละแย่เลย! พอตีหนึ่งกว่า น้องตูนก็ไปบอกรองผู้จัดการว่าขอพาดิฉันไปหาหมอก่อน..แต่เมื่อขึ้นรถออกมาเธอก็พาดิฉันไปห้องพักแถวหน้าอินทรานั่นแหละค่ะ บอกว่าให้นอนค้างห้องเธอจนกว่าจะทุเลา ดิฉันถามว่าทำไมต้องโกหกด้วย คำตอบของน้องตูนก็คือ "ถ้าไม่บอกว่าพี่ดาวอาการหนักจนต้องพาไปหาหมอ มีหวังแกไม่ให้เราลางานแน่ๆ เลยค่ะ" น้องตูนเช่าห้องอยู่คนเดียว ดูสะอาดสะอ้านพอใช้ เธอเอาชุดลำลองมาให้เปลี่ยน ช่วยเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ด้วย คนเราจะเห็นใจกันก็ยามป่วยไข้นี่แหละค่ะ! ดับไฟแล้วก็เข้านอนด้วยกัน..ขณะที่กำลังเคลิ้มๆ ดิฉันก็ได้ยินเสียงสะอื้นมาเข้าหู ตอนแรกคิดว่าเสียงลมที่ดังผ่านหน้าต่างมุ้งลวดเข้ามา แต่เมื่อนิ่งฟังก็แน่ใจว่ามันดังอยู่ในห้องนั่นเอง..เดี๋ยวที่ห้องน้ำ เดี๋ยวหน้าประตูและมุมห้อง ไม่รู้ว่าของจริงอยู่ที่ไหนกันแน่? อากาศในฤดูฝนเย็นยะเยือก หันมองน้องตูนก็เห็นหลับสนิท ระบายลมหายใจสม่ำเสมอ ดิฉันเลยพลิกตัวนอนตะแคง สองมือซุกอกในท่าสบาย..เสียงประหลาดก็ดังขึ้นอีกแล้วค่ะ คราวนี้เป็นเสียงอาบน้ำ! เสียงซู่ซ่าดังชัดเจน ไม่ใช่หูแว่วเด็ดขาด!! ดิฉันตัดสินใจลุกมานั่งจ้องไปที่ประตูห้องน้ำ มันปิดสนิทก็จริง แต่เสียงตักน้ำราดเนื้อตัวยังดังไม่หยุด เอาละซี! ไม่ใช่ฝัน แต่เป็นของจริงแน่ๆ จะว่ากลัวก็กลัว จะว่ากล้าก็กล้าค่ะ..อาจจะเป็นเพราะมีน้องตูนนอนอยู่บนเตียงทั้งคน ตั้งแต่เข้าห้องมาก็ไม่ได้เปิดประตูออกไปรับใครซักคนนี่นา..แล้วใครมาอาบน้ำล่ะ? ตัดสินใจกดสวิตช์ไฟ เปิดประตูห้องน้ำผาง.. ท่ามกลางแสงสว่างเยือกเย็นนั้น มีแต่ความว่างเปล่า พื้นห้องก็แห้งสนิท..เล่นเอาม่านตาพร่าพรายอย่างช่วยไม่ได้ ปากคอแห้งผากไปหมดเลยค่ะ ตอนที่ถอยกลับมาที่เตียงโดยไม่ยอมปิดไฟ คุณพระช่วย! เพียงแต่ล้มตัวลงนอน ชักผ้าห่มขึ้นมาคลุมถึงอกเท่านั้น เสียงสะอื้นก็ดังขึ้นอีกแล้ว! ห้องนั้นดูสว่างขึ้นกว่าเดิม กลั้นใจมองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นอะไรเลย..น้องตูนก็ยังหลับสนิทจนน่าอิจฉา อยากจะปลุกขึ้นมาถามเหลือเกินว่าห้องนี้มีอะไรแน่? แต่ก็เกรงใจน้องที่กำลังนอนหลับอย่างผาสุก เสียงสะอึกสะอื้นคร่ำคราญหายไป..เสียงอาบน้ำซู่ซ่าดังขึ้นแทนที่! ดิฉันอ้าปากค้าง..ทั้งๆ ที่ประตูเปิดแง้ม ไฟยังสว่างโพลงตามเดิม โอย..ทนไม่ไหวแล้วค่ะ! "ตูนๆ" ต้องเขย่าแขนสาวน้อยให้ตื่นจนได้ เธอถามเสียงงัวเงียว่าอะไรคะพี่? ดิฉันยังไม่ทันตอบ เสียงราดน้ำน่าสยองขวัญก็หายไป แต่พอตูนหลับต่อเสียงซู่ซ่าก็ดังขึ้นมาอีก ดิฉันปลุกตูนขึ้นมาอีกครั้ง เธอคงนึกอะไรขึ้นมาได้ ถามว่าห้องน้ำทำพิษใช่ไหมคะ? แหม! ตูนก็ลืมบอกให้พี่จุดธูปบอกเขาก่อนนอน..แล้วเธอก็จัดการให้ดิฉันจุดธูปบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทาง เสียงต่างๆ ก็เงียบไป..ดิฉันสาบานว่าจะไม่ไปนอนค้างที่นั่นจนชั่วชีวิตเลยค่ะ! คอลัมน์ ขนหัวลุก

คืนเขย่าขวัญ ในแท็กซี่ยามดึก

คืนเขย่าขวัญ ในแท็กซี่ยามดึก "ปารณ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกในแท็กซี่ยามดึก เรื่องผีๆ สางๆ นี่ผมยังไม่กล้าฟันธงว่ามีจริงหรือไม่? แต่ถ้าถามถึงความเชื่อก็พอจะบอกได้ว่า 50-50 ครับ คือใจหนึ่งก็ไม่อยากเชื่อว่าผีมีจริง เพราะโลกเราเจริญขนาดนี้แล้วนี่นา แต่อีกใจก็ยังหวาดๆ เวลาอยู่ในที่เปลี่ยวๆ ตอนกลางคืน บางคนบอกว่า เพราะเรากลัวความมืด เราจึงกลัวผี! แต่บางคนก็บอกว่า ผีเกิดจากมโนคติหรือจิตใต้สำนึกของตัวเองต่างหาก คนเราส่วนมากจะมีจินตนาการเรื่องผี ในที่สุดก็สร้างผีขึ้นมา ทำให้ตัวเองเชื่อว่าผีมีจริง ทั้งหลายทั้งปวงก็แล้วแต่ใครจะเชื่อฝ่ายไหน? แต่ผมเองได้พบกับเรื่องแปลกประหลาดสุดๆ ในตอนดึกคืนหนึ่ง ไม่รู้ว่าสิ่งที่เจอะเจอเข้าอย่างจังๆ จะเป็นภูตผีปีศาจ หรือว่าสมองฟั่นเฟือน ขาดสติสัมปชัญญะไปชั่วครู่เพราะเกิดอุบัติเหตุ คืนนั้น ผมไปงานวันเกิดเพื่อนที่อยู่บริษัทเดียวกัน ที่ร้านอาหารริมถนนตัดใหม่ใต้ทางด่วนเอกมัย - รามอินทรา น่าแปลกอย่างที่เพื่อนๆ ดื่มเหล้าไปแค่ 2-3 แก้วก็จับบทคุยเรื่องผีกันแล้วครับ วิชิตอยู่แถวธัญญะ เล่าถึงกระสือที่วัดพญาปลาว่ามีตัวตนจริงๆ ตอนกลางคืนลอยมากินไก่ชาวบ้านจนเขาดักรอกัน พอเห็นมีดวงไฟเหลืองๆ ลอยมาที่ใต้ถุนบ้านแล้วกลายเป็นคนผิวดำๆ ผมยาวสยาย ก็ช่วยกันล้อมจับ แต่ผีกระสือไวมากจนแหวกวงล้อมไปได้ เพื่อนบ้านคนหนึ่งคว้าได้ท่อนไม้ก็ขว้างใส่ โดนขาจนมันแผดร้องเสียงโหยหวนก่อนจะหนีเตลิดไป...รุ่งขึ้นจึงเห็นหญิงชราผู้หนึ่งเดินลากขามาซื้อของที่ร้านชำ ใครถามก็บอกว่าหกล้มเมื่อคืน แต่ไม่มีใครเชื่อ ยืนยันว่าแกเป็นผีกระสือที่ดอดมากินเป็ดกินไก่ชาวบ้านเป็นประจำ...ในที่สุดก็ขับไล่แกออกไปจากหมู่บ้านจนได้! ต่อจากวิชิต คนอื่นๆ ก็ผลัดกันเล่าเรื่องผีกันอย่างสนุกสนาน...สมานอยู่พระโขนงเล่าว่ามีคนโดนรถชนตายในซอยเมื่อเดือนก่อน...อีกไม่กี่วันก็มีคนเห็นร่างโชกเลือดเดินเปะปะอยู่แถวนั้น หมาหอนโหยหวนทุกคืนจนพากันขนลุกขนพองไปตามๆ กัน หลายๆ คนยืนยันว่าโดนผีหลอกชนิดเต็มตา...ผีที่ตายเพราะโดนรถชนยังเดินวนเวียนอยู่ในซอยหลายวันกว่าจะหายไป บ้านผมอยู่หลังไทยอินเตอร์ มีถนนคดเคี้ยวกับบ้านช่องเยอะแยะ ไม่มีอะไรน่ากลัว แถมยังมี วินมอเตอร์ไซค์อยู่ใกล้ๆ บ้านอีกด้วย ราวสองยามก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ผมนั่งแท็กซี่ก็มานึกถึงเรื่องผีๆ สางๆ ที่เพิ่งได้ฟังมาหยกๆ ถ้าเราไปเจอร่างโชกเลือดในที่เปลี่ยวก็คงสยองน่าดูเหมือนกัน...พอดีรถเข้าซอย...เลี้ยวขวาเลี้ยวซ้ายตามที่ผมบอก ถนนโล่งว่างอยู่ในแสงไฟเยือกเย็น... ทันใดนั้นเอง ร่างดำๆ ก็พุ่งพรวดออกมาจากข้างทาง! "เฮ้ย! ไอ้เห้..." คนขับแท็กซี่ร้องลั่น หักรถหลบวูบแต่คงไม่พ้น เพราะได้ยินเสียงโครม! ผมกระเด็นไปฟาดประตูรถด้านซ้ายเต็มแรง...แสงสว่างดับวูบ โลกทั้งโลกกลายเป็นความมืดมิดราวกับขุมนรกอเวจีในบัดดล สรรพสิ่งเงียบเชียบ...เงียบเหลือเกิน ผมคงจะตายไปแล้ว แต่ไม่มีความเจ็บปวดอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว! ผมพยายามเบิ่งตามองฝ่าความมืดออกไป...แปลก! ไม่ยักมืดมิดเหมือนตอนแรกหรอก แต่เห็นแสงเหลืองๆ จากเสาไฟฟ้าส่องลงมาเยือกเย็น ร่างผมนอนเค้เก้อยู่ในพงหญ้าริมทาง ใกล้ๆ กับรั้วบ้านใครก็ไม่รู้... อ้าว? แท็กซี่คันนั้นล่ะ หายไปไหนแล้ว? เพิ่งนึกออกว่ามีคนตัดหน้า เสียงโครม...รถคงชนหรือไม่ก็หักหลบไปชนเสาไฟฟ้าก็ไม่รู้ เพราะผมหมดสติไปก่อน...ว่าแต่ร่างที่ตัดหน้าไปไหน? คงจะไม่โดนชนละมั้ง? ว่าแต่แท็กซี่คันนั้นน่าจะอยู่ใกล้ๆ ผมนะ ทำไมถึงได้พลอยหายเงียบไปด้วย? ทั้งเงียบเชียบและเปล่าเปลี่ยวเหมือนตกอยู่ในโลกร้างไม่มีผิด! ผมพยุงกายลุกขึ้นยืน...เอ๊ะ! ไม่ได้เจ็บปวดหรือเป็นอะไรมากนี่นา หัวไม่ได้แตกแข้งขาก็ไม่ได้หัก มองเห็นมะขามใหญ่จากที่ว่างแผ่กิ่งก้านสาขาออกมานอกรั้ว...คลุมมาถึงเพิงแท็กซี่ในหมู่บ้านที่ผมจำได้ดี ปกติเคยเห็นพวกวินมอเตอร์ไซค์จับกลุ่มคุยกัน รถที่จอดอยู่ก็มีหมวกกันน็อกสีขาวทุกคัน แต่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่เลย รถราก็ไม่เหลือแม้แต่คันเดียว อ้อ! ดึกดื่นป่านนี้แล้วนี่นา...ผมเดินไปที่เพิ่งร้าง ดูเปล่าเปลี่ยวและเงียบเชียบว่าจะนั่งพักเอาแรง กำลังสำรวจร่างกายให้แน่ใจว่าไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ พลางนึกถึงแท็กซี่คันนั้น... ให้ตายเถอะ! เขาไม่น่าจะทิ้งผู้โดยสารไว้ข้างถนนแบบนั้นนี่นา ใจดำชะมัดเลย! แต่...นรกเถอะ! นั่นอะไรที่อยู่บนเพิงไม้เตี้ยๆ แคบๆ มีผ้าใบเก่าๆ คลุมเป็นหลังคาอยู่ใต้กิ่งใบมะขามร่มครึ้มน่ะ? ถึงแม้จะเป็นภาพสลัวๆ ก็ยังเห็นได้ชัดว่าเป็นหญิงชายคู่หนึ่งที่กำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอย่างลืมตัวลืมตาย...ผมชะงัก เกือบเป็นพริบตาเดียวกับที่ร่างทั้งสองลุกพรวดพราดขึ้นมาหันมองจนผมตกใจ ผงะหน้า ร้องอุทานออกมาอย่างไม่รู้ตัว คราวนี้โลกทั้งโลกแตกเป็นเสี่ยงๆ ทันที เมื่อมองเห็นใบหน้าแหลกยับเปรอะเลือดของหญิงชายคู่นั้น ตามลำคอและทรวงอกก็เต็มไปด้วยเลือด...เลือด และเลือดทั้งนั้น! "เฮ้ย! อะไรกัน..." ผมร้องตะโกนสุดเสียง ม่านตาลายพร่าด้วยความหวาดกลัวสุดขีด พลันได้ยินเสียงปนหัวเราะ...ไม่เป็นไร ผมหลบไอ้บ้านั่นทันพอดี! คราวนี้กะพริบตาถี่ๆ มองเห็นคนขับแท็กซี่หันมายิ้มฟันขาว...ผมตกตะลึงไปหมด เหลียวซ้ายแลขวางุนงงก็พบว่าตัวเองยังนั่งอยู่ในรถแท็กซี่ตามเดิม...แสงไฟส่องลงมาเห็นเพิงว่างเปล่าใต้ร่มเงามะขามพอดี ลงจากแท็กซี่หน้าบ้าน ขาสั่นระริกพอๆ กับหัวใจที่ยังเต้นระทึก...ไม่รู้ว่าสิ่งที่เห็นเป็นผีจริงๆ หรือเป็นเพียงภาพหลอนเท่านั้น แต่นึกถึงแล้วขนหัวลุกทุกทีเลยครับ!

โค้ง....ผีเฮี้ยน

แก้วตา วงศ์หน่อแก้ว เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากโค้งผีสิง ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าจะพบเห็นเกี่ยวกับเรื่องราวของผีๆ สางๆ อยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่เคยมีครั้งไหนจะชวนให้น่าสยดสยองพองขนเหมือนครั้งนี้มาก่อนเลย เรื่องมีอยู่ว่า เพื่อนร่วมงานของพี่สาว ขอสมมติว่าชื่อแหม่มได้มาเที่ยวบ้านที่ อ.แม่ทา จ.ลำพูน พูดคุยกันเพลิดเพลินจนถึงประมาณ 3 ทุ่มจึงได้ขี่มอเตอร์ไซค์กลับบ้านซึ่งอยู่ห่างกันหลายกิโลเมตร... เป็นทางเปลี่ยวและค่อนข้างอันตรายอยู่ แต่พี่เขาบอกว่าไม่เป็นไร เวลาประมาณ 3 ทุ่มครึ่ง พี่แหม่มโทร.หาพี่สาวข้าพเจ้า แต่ไม่ได้ยินเสียงเรียกเข้า พอพี่เขาดูแล้วก็บอกว่าเพื่อนคงจะกลับถึงบ้านแล้ว จึงโทร.กลับไปถามให้แน่ใจ...ที่ไหนได้ล่ะ มีเสียงตอบมาว่ายังไปไม่ถึงไหนเลย เกิดประสบอุบัติเหตุนิดหน่อยอยู่ใกล้ๆ นี่เอง อารามเป็นห่วง เราเลยรีบพากันออกตามหา โดยไม่นึกเลยว่าพี่แหม่มจะไปรถแฉลบล้มตรงบริเวณที่เรียกกันว่า "ผีเฮี้ยน" แต่กว่าจะหากันพบเราต้องโทร.ถึงกันตลอดเวลา...พี่แหม่มดีใจมากที่เห็นหน้าพวกเรา บอกว่ายังไม่มีใครเห็นเลยแม้แต่คนเดียว คนที่ขับรถผ่านมาก็ไม่เห็น...ขับเลยไปหมดทุกคน! ข้าพเจ้ากับพี่สาวมองหน้ากันอย่างงุนงง เพราะเราขับรถวนหาพี่แหม่มถึงสามรอบด้วยกัน...คือรอบแรกที่ผ่านตรงนั้น ข้าพเจ้าเป็นคนมองหา ส่วนผีสาวเป็นคนขับรถ ข้าพเจ้ามองเห็นพี่แหม่มเป็นกองผ้ากองหนึ่งเท่านั้น ครั้นบอกให้พี่สาวกลับรถและโทร.หาอีก พี่เขาก็บอกว่าเพื่อนนอนอยู่ข้างๆ ทางใกล้กับหลักกิโลเมตร รอบที่สอง ข้าพเจ้าก็ให้พี่สาวขับต่อ ส่วนตัวเองมองหาอีกครั้ง ปรากฏว่าคราวนี้เห็นแต่หมวกกันน็อก ก็ยังขับเลยพี่แหม่มไปอีก ข้าพเจ้าเลยบอกพี่สาวให้กลับรถไปยังที่ที่เห็นหมวกกันน็อก ปรากฏว่าได้เจอพี่แหม่มในรอบที่สามนี้เอง! พี่แหม่มนอนอยู่ข้างทางแท้ๆ แต่ไม่มีใครเห็นเลย คิดแล้วน่าประหลาดใจจริงๆ เรื่องแบบนี้คนทางภาคเหนือเขาเรียกว่า "ปีกุ๋ม" คือมันต้องการพวกเพิ่มจนบังตาไม่ให้เราหาเจอ บริเวณนั้นค่อนข้างมืดสลัว พี่สาวรีบเข้าไปประคองศีรษะเพื่อนแล้วเรียกให้ได้สติ พอดีมีรถมอเตอร์ไซค์อีกคันผ่านมา... ตอนแรกเขาเลยไปแล้ว แต่แฟนเขาคงบอกให้จอดช่วยเพราะเห็นว่าเรามีแต่ผู้หญิงสามคนเท่านั้น...เมื่อเขาเลี้ยวรถกลับมา ข้าพเจ้าจึงให้เขาช่วยหันหน้ารถ เพื่อให้ไฟตรงรถของพี่สาวเพื่อเอาพี่แหม่มขึ้นมา หนุ่มสาวคู่นั้นบอกว่าจะไปบอกตำรวจให้นะ...แล้วพี่สาวก็พาเพื่อนไปส่งโรงพยาบาล ส่วนข้าพเจ้าก็เป็นหน่วยกล้าตายยืนเฝ้ารถให้พี่แหม่ม... จนกระทั่งรถตำรวจมาถึง...คุณพระช่วย! ทั้งที่ข้าพเจ้าใส่เสื้อขาวและจูงรถไปรออยู่ตรงหน้าปั๊มลูกทุ่ง แถมโบกมือเรียกแต่ตำรวจกลับมองไม่เห็น เล่นเอาขนลุกเกรียว! นี่มันเกิดอะไรขึ้นแน่! ยังดีที่เขาย้อนกลับมาอีกครั้ง คราวนี้มองเห็นและพาไปอยู่ที่ป้อมตำรวจ รอจนกระทั่งหลานชายมารับข้าพเจ้า ครั้นกลับถึงบ้านก็ยังใจสั่นจนนอนไม่หลับ...นึกได้ว่าอารามตกใจ รีบไปตามหาพี่แหม่ม ข้าพเจ้าและพี่สาวจึงไม่ได้ห้อยพระ...พอนึกได้ก็เลยลุกขึ้นหาพระมาห้อยคอ จิตใจสับสนวุ่นวายเพราะเป็นห่วงพวกพี่ๆ จึงตัดสินใจออกไปยืนรอที่หน้าบ้าน... ทันใดนั้น เจ้าแต้ม-หมาแสนรู้ก็ปราดออกจากใต้ถุนไปยืนเห่าอะไรเบาๆ ก่อนจะเงียบเสียง ตัวแข็งทื่อ จ้องมองไปทางประตูรั้ว เล่นเอาเย็นวาบไปทั้งตัว! วิญญาณร้ายคงจะตามมาด้วยความโกรธแค้น ที่เราขัดขวางจนมันเอาพี่แหม่มไปอยู่ด้วยไม่สำเร็จ รุ่งขึ้นคือเช้าวันจันทร์ แฟนพี่เขาก็พาพ่ออุ๊ยแม่อุ๊ย (คนแก่เฒ่า) มาช้อนขวัญตามประเพณีทางเหนือ แล้วเลี้ยงเจ้าที่ ลาบ แกงอ่อม บุหรี่ ฯลฯ จิตใจของแต่ละคนจึงค่อยๆ ดีขึ้น...ข้าพเจ้าก็เลี้ยงผีที่หน้าบ้านด้วย...เชิญวิญญาณที่ตามมาให้กลับไปที่เดิม เมื่อพี่แหม่มอาการทุเลาลงจึงถามว่า ทำไมเอารถไปตกตรงนั้น? พี่แหม่มบอกว่าจู่ๆ ไฟหน้ารถก็ดับเอง แล้วรถก็ไถลไปตามทางนั้น...จะลุกก็ลุกไม่ไหวจึงโทร.หาพี่สาวข้าพเจ้า ตอนที่คุยกันครั้งแรก พี่สาวเปิดลำโพงปรากฏว่ามีเสียงแทรกเข้ามา...มาทั้งเสียงเด็ก, ผู้หญิง, หนุ่ม, แก่ มีหมด แต่พี่แหม่มบอกว่าไม่มีใครเลย แล้วมันเป็นเสียงใครล่ะถ้าไม่ใช่เสียงผี? เพราะเราแยกได้ว่าเป็นเสียงใครบ้าง แต่จับใจความไม่ได้ว่าเขาพูดอะไรกัน? ที่แน่ๆ ก็คือ...มันไม่ใช่ภาษามนุษย์ค่ะ! แต่ที่หาพี่เขาเจอเชื่อว่าเป็นเพราะข้าพเจ้าเกิดวันพฤหัสบดี พี่สาวเกิดวันอาทิตย์ รวมกันแล้วจึงแรงกว่าอำนาจผี ทำให้เราหาพี่แหม่มจนเจอ... ตั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้าไม่กล้าผ่านถนนสายนั้นอีกเลย สุดท้ายนี้ขอขอบพระคุณหลานชาย-หญิงคู่นั้นมากที่ช่วยเอารถขึ้น และไปช่วยบอกตำรวจให้... แต่ที่น่ากลัวมากๆ ก็คือ หากวันนั้นเราหาพี่แหม่มไม่เจอจะเป็นยังไง? คิดแล้วขนหัวลุกค่ะ! ขอขอบคุณข้อมูลจาก

ผีในหอพัก

ความจริงผีก็มีอะไรคล้ายๆ คนเรานี่เองเพียงแต่มักจะฝังใจในการทำอะไรสักอย่าง เพราะไม่รู้ว่าควร จะทำอะไรต่อไป ในหอพักเก่าแก่แห่งหนึ่งในลอนดอนประเทศอังกฤษ นักศึกษาชายคนหนึ่งถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา เวลาตีสอง ในคืนวันหนึ่ง เพราะมีเสียงก้าวเดินหนักๆ จากห้องครูใหญ่ ทีละก้าวทีละก้าวช้าๆ ไปตามทางเดิน ผ่านห้องของเขา ตรงไปหยุดยังห้องน้ำอีกด้านหนึ่ง นักศึกษาผู้นั้นไม่สนใจว่าเป็นเสียงอะไรเขาเข้านอนต่อทันที คืนต่อมาเวลาตีสองเช่นเดิม ก็มีเหตุการณ์ทำนองเดียวกันเกิดขึ้นอีก คราวนี้เขาไม่คิดว่าเขาดูหนังสือมาก จนเพลีย เพราะเสียงนั้นดังชัดมากในความเงียบสงัด เหตุการณ์เกิดขึ้นเหมือนเดิมเปี๊ยบ จนไม่น่าเชื่อว่าจะมีใครมา เข้าห้องน้ำในลักษณะเดียวกัน ในเวลาเดียวกัน โดยบังเอิญขนาดนี้ เขาอดถามครูใหญ่ในเช้าวันรุ่งขึ้นไม่ได้ว่า ครูใหญ่ ไปห้องน้ำในเวลาตีสองหรือ เปล่าคำตอบจากครูใหญ่คือ เปล่าเลย คำตอบนี้ทำให้นักศึกษาหนุ่มขน ลุกเกรียว แต่ก็ยัง ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ อย่างนั้น โดยเฉพาะเขาเองก็เป็นคนหัวสมัยใหม่อย่างนี้ คืนที่3 นักศึกษาหนุ่มก็ตัดสินใจว่า ถ้ามีเสียงเดินอีก เขาจะออกไปดูให้ได้ว่า ใครทำเช่นนั้น หลังจากดื่มกาแฟ แก่ๆ ไปหลายแก้ว แทนที่จะตาค้าง เขากลับผลอย หลับไปง่ายๆ มาตกใจตื่นขึ้นอีกครั้งเวลาตี 2 พอดี พร้อมๆ กับ ที่ได้ยินเสียงคนเดินเช่น 2 คืนที่ผ่านมา เขากระโจนออกจากเตียงทัน ทีเปิดประตูผาง แล้วยื่นศรีษะออกไปนอกห้อง มองไปยังประตูห้องครูใหญ่ ทางเดินทั้งสองข้างและประตูห้องน้ำ เขาไม่พบใครเลย แต่น่าประหลาดเสียงนั้น ยังคงก้องเหมือนมีใครกำลังเดินผ่านเขาไปยังประตูห้องน้ำ เหมือนเช่นเคยเสียงนั้นหยุดลงที่หน้าประตู เหมือนทุกคืน ที่ผ่านมา ชายหนุ่มตัวชาไปหมด เขากลับเข้านอน แต่คืนนั้นทำอย่างไร ก็ไม่สามารถหลับลงได้ เช้าวันรุ่งขื้นเขาจึงพยายามไต่ถาม จากที่ต่างๆ เพื่อแสวงหาความจริง จนพบว่าเมื่อ 14 ปีที่แล้ว มีครูใหญ่ คนหนึ่งตายในห้องน้ำ ห้องนั้น เขาฆ่าตัวตายด้วยการ แขวนคอ !!! น่าเสียดายที่ไม่มีใครพยายามช่วยเหลือ ท่านครูใหญ่ผู้น่าสงสาร ให้หลุดพ้น จาก วงเวียนกรรม ไม่มีใครช่วยชี้ทางออกให้ ท่านจึงยังคงต้องเดินจากห้องเดิมที่ท่านเคย อยู่ เดินไปยังห้องน้ำด้วยฝีเท้าหนัก ๆ เพื่อพบตัวเองแขวนคออยู่ในนั้นทุกคืน... ทุกคืน คุณคงนึกบ้างแล้วใช่ไหมว่า ถ้าเกิดจะต้องพบ กับประสบการณ์น่าขนลุกเช่นนี้ กับตัวเอง ขึ้นมาจริงๆ คุณจะทำอย่างไร วิ่งหนี อยู่สู้ พูดกับผี หรือทำเฉยๆ น่าเสียดายที่ไม่มีใคร เขียนคู่มือการจัดการกับผีขึ้นไว้เสียด้วย แต่ถ้ามีเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นจริงๆ วิธีง่ายๆ ก็คือ ทำใจเย็นไว้ ตั้งสติให้ดีถ้าทำได้ แล้วอย่าลีมว่า ผีก็(เคย)เป็นคน เช่น เดียวกับเรา .